วิทยาลัยโลจิสติกส์และซัพพลายเชน มหาวิทยาลัยศรีปทุม จัดกิจกรรม “The Professional: ประสบการณ์จากมืออาชีพเพื่อพัฒนาบัณฑิตพันธุ์ใหม่” ภายใต้หัวข้อ “THE TRUMP SHOCK: เปิดเกมรับ–เกมรุก ส่งออกไทย 2026! ชี้เป้าสินค้ารอดตาย และแผนการใช้สิทธิประโยชน์สูงสุดจากรัฐบาล” เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2568 ณ ห้อง Auditorium 2 อาคาร 11 ชั้น 14 โดยได้รับเกียรติจาก คุณคงฤทธิ์ จันทริก ผู้อำนวยการบริหาร สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (TNSC) ถ่ายทอดมุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับผลกระทบของนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาต่อการค้าระหว่างประเทศ และแนวทางที่ผู้ประกอบการไทยควรปรับตัวรับมือ ดำเนินรายการโดย ดร.สุวัฒน์ จรรยาพูน ผู้อำนวยการหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน

ในการเสวนาครั้งนี้ คุณคงฤทธิ์ได้อธิบายถึงนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลใหม่ของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่อาจส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก โดยเฉพาะนโยบาย Reciprocal Tariff หรือ “ภาษีตอบโต้” ซึ่งหมายถึงการเก็บภาษีสินค้าจากประเทศที่สหรัฐฯ มองว่าเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากอเมริกาสูงเกินไป เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศตนเอง มาตรการนี้อาจส่งผลให้ต้นทุนสินค้าส่งออกของไทยไปยังตลาดสหรัฐฯ สูงขึ้น ขณะเดียวกันยังมีแนวโน้มเกิดมาตรการใหม่อย่าง US Port Fee หรือ “ค่าธรรมเนียมท่าเรือสหรัฐฯ” ที่จะเก็บเพิ่มจากเรือขนส่งที่ผลิตหรือเป็นเจ้าของโดยจีน ซึ่งจะกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานและต้นทุนโลจิสติกส์ทั่วโลกในระยะยาว


อย่างไรก็ตาม ข่าวดีสำหรับผู้ประกอบการไทยคือ ค่าระวางเรือหรือราคาค่าขนส่งสินค้าทางเรือทั่วโลกกำลังปรับลดลง ซึ่งช่วยลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ในช่วงสั้น แต่สิ่งที่ต้องเร่งทำคือการปรับโครงสร้างห่วงโซ่การผลิตให้สอดคล้องกับเกณฑ์ RVC (Regional Value Content) หรือ “สัดส่วนเนื้อหาภูมิภาค” ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่ใช้ตรวจสอบว่าชิ้นส่วนในสินค้าถูกผลิตภายในประเทศหรือภูมิภาคมากเพียงใด หากสินค้าของไทยใช้วัตถุดิบจากจีนในสัดส่วนสูง ก็อาจไม่ผ่านเกณฑ์และต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงขึ้น
ทั้งนี้ กลุ่มสินค้าที่มีแนวโน้มไปต่อได้ดีในปี 2026 ได้แก่ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน เครื่องจักรบางประเภท ชิ้นส่วนยานยนต์เพื่อการซ่อมบำรุง รวมถึงสินค้าเกษตรและอาหารแปรรูปที่ใช้วัตถุดิบไทย ขณะที่กลุ่มเสี่ยงที่อาจถูกกระทบหนักจากมาตรการภาษี ได้แก่ รถยนต์สำเร็จรูป เครื่องปรับอากาศ แผงวงจรไฟฟ้าที่พึ่งพาวัตถุดิบจากจีน และผลไม้สดบางชนิดที่ขึ้นอยู่กับฤดูกาลและข้อจำกัดทางการขนส่ง

เวทีเสวนายังได้เสนอแนวทาง “ตั้งรับให้ไว – รุกให้ถูกจุด” เพื่อเตรียมพร้อมรับมือปี 2026 โดยผู้ประกอบการควรตรวจสอบห่วงโซ่การผลิตของตนเองเพื่อลดการพึ่งพาชิ้นส่วนจากจีน และเพิ่มสัดส่วนวัตถุดิบจากประเทศในอาเซียนหรือในประเทศ ควบคู่กับการใช้โอกาสจากข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) เพื่อเปิดตลาดใหม่ เช่น สหภาพยุโรป ตะวันออกกลาง และอเมริกาใต้ รวมถึงการลงทุนปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในโรงงาน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและผ่านเกณฑ์มาตรการสิ่งแวดล้อมของประเทศคู่ค้าในอนาคต
นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอเชิงนโยบายจากภาคเอกชนให้รัฐบาลดูแลค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่ง ลดอัตราดอกเบี้ยและต้นทุนทางธุรกิจ สนับสนุนสินเชื่อสำหรับผู้ส่งออกขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME) เร่งเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีกับประเทศคู่ค้าสำคัญ และควบคุมสินค้านำเข้าคุณภาพต่ำที่อาจเข้ามาแย่งตลาดในประเทศ พร้อมทั้งผลักดันระบบราชการดิจิทัล (Digital Government) เพื่อให้การทำงานของภาครัฐคล่องตัว โปร่งใส และตอบโจทย์ภาคธุรกิจได้มากขึ้น


กิจกรรม “The Professional” ในครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งเวทีแห่งการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงโลกวิชาการกับโลกธุรกิจจริง เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้เข้าใจความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจโลก และเห็นแนวทางการปรับตัวของผู้ประกอบการไทยในสถานการณ์จริง เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเป็นบัณฑิตพันธุ์ใหม่ที่มีความเข้าใจทั้งด้านโลจิสติกส์ การค้าโลก และกลยุทธ์การบริหารธุรกิจในยุคที่ทุกการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

#SPULogistics #TheProfessional #TrumpShock #GlobalTrade #Export2026 #LogisticsSPU #เรียนกับตัวจริงประสบการณ์จริง #SPU #LogisticsFuture #SDGs #มหาวิทยาลัยศรีปทุม #วิทยาลัยโลจิสติกส์และซัพพลายเชน #SPUเรียนกับตัวจริงประสบการณ์จริง