วันนี้ (1 มิถุนายน 2563) ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานการประชุมเพื่อลงนามความร่วมมือ ตามโครงการพัฒนาทักษะกำลังคนของประเทศ (Reskill/ Upskill/ Newskill) ร่วมกับสถาบันอุดมศึกษา 19 แห่ง ในการจัดหลักสูตรประกาศนียบัตร (Non degree) ที่ผ่านการคัดเลือกจาก อว. ในวันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน 2563 เวลา 10.30 น. ณ ห้องประชุมศาสตราจารย์ประเสริฐ ณ นคร ชั้น 3 อาคารอุดมศึกษา 1 สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ศรีอยุธยา) โดยมี รองศาสตราจารย์ นายแพทย์สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ดร.อรสา ภาววิมล รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา คุณสัมพันธ์ ศิลปนาฎ ประธานกรรมการบริหารโครงการพัฒนาทักษะกำลังคนของประเทศฯ ผู้บริหาร สป.อว และผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาเข้าร่วมงานในห้องประชุมและร่วมงานออนไลน์ผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของเครือข่าย UniNet เป็นจำนวนกว่า 100 คน

ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า อว, มีหน้าที่หลักในการพัฒนากำลังคนของประเทศ ดังนั้น อว.จึงต้องเร่งเตรียมความพร้อมให้คนไทยเพื่อรองรับการทำงานในอนาคตหลังวิกฤต COVID-19 ที่จะส่งผลกระทบถึงความเปลี่ยนแปลงทั้งทางเศรษฐกิจ สังคมและวิถีการดำเนินชีวิตคน ด้วยการพัฒนาทักษะกำลังคนของประเทศ (รูปแบบ Reskill / Upskill / Newskill) เพื่อรองรับงานใหม่ๆ ในรูปแบบใหม่ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยจะเริ่มจัดอบรมตั้งแต่เดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งจะครอบคลุม 9 ทักษะใน 12 สาขาอุตสาหกรรม 8 กลุ่มสาขาวิชาชีพ ได้แก่ 1) Smart Innovative Entrepreneur 2) Smart Farming 3) Care Giver 4) Smart Tourism 5) Data Science 6) Creative content 7) Food for the future และ 8) Robotic/AI
รองศาสตราจารย์ นายแพทย์สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมกล่าวว่า สถาบันอุดมศึกษานำร่องในโครงการที่ผ่านการคัดเลือกจำนวน 19 แห่งนั้น มีมหาวิทยาลัยของรัฐ 17 แห่งได้แก่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสานวิทยาเขตนครราชสีมา มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต และมีมหาวิทยาลัยเอกชนนำร่อง 2 แห่งได้แก่ มหาวิทยาลัยศรีปทุม มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โดยโครงการฝึกอบรมที่จะจัดได้ผ่านการพิจารณาคัดเลือกจากกรรมการฯ ของ อว. แล้ว ในหลักสูตรประกาศนียบัตร (Non degree) รวม 30 หลักสูตร จะเน้นเป็นหลักสูตรเพิ่มทักษะรองรับงานหลังวิกฤต COVID-19 ซึ่งสถาบันอุดมศึกษานำร่องจะต้องดำเนินการตามเงื่อนไขภายใต้คุณภาพมาตรฐานตามกฏหมาย และเข้าสู่กระบวนการประเมินผลโครงการเพื่อความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณ โดย สป.อว.จะสนับสนุนงบประมาณรวมทั้งสิ้น 14,000,000.- บาท ซึ่งคาดจะพัฒนาคนได้กว่า 3,000 คน ภายในปี 2563

ดร.อรสา ภาววิมล รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา กล่าวว่า โครงการพัฒนาทักษะกำลังคนของประเทศ (Reskill/ Upskill/ Newskill) เพื่อการมีงานทำและเตรียมความพร้อมรองรับการทำงาน ในอนาคตหลังวิกฤตการระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) มีวัตถุประสงค์ที่จะพัฒนาและยกระดับศักยภาพคนไทยให้พร้อมทำงานในอนาคตหลังสถานการณ์โควิด-19 ดังนั้น กลุ่มเป้าหมายของโครงการ จึงครอบคลุมทั้งผู้ว่างงานที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด แรงงานคืนถิ่น และกลุ่มกำลังคนในภาคอุตสาหกรรมการผลิตและบริการที่จำเป็นต้องยกระดับทักษะชั้นสูงให้สอดคล้องกับการทำงานในโลกอนาคต ซึ่งในระยะแรกสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้เชิญชวนสถาบันอุดมศึกษาทั้งรัฐและเอกชนในสังกัด จำนวน 24 สถาบัน มาร่วมพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม (Non Degree) เพื่อ Reskill/ Upskill/ Newskill ให้กับกลุ่มเป้าหมาย ครอบคลุมหลักสูตรเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของประเทศอย่างเร่งด่วน ใน 8 กลุ่มทักษะอาชีพ ได้แก่ 1) Smart Innovative Entrepreneur 2) Smart Farming 3) Care Giver 4) Smart Tourism 5) Data Science 6) Creative content 7) Food for the future และ 8) Robotic/AIซึ่งได้รับการตอบรับจากสถาบันอุดมศึกษาส่งหลักสูตรเข้ามามากกว่า 400 หลักสูตร คณะกรรมการบริหารโครงการฯ ได้พิจารณาคัดเลือกตามหลักเกณฑ์ประกอบด้วย
1 หลักสูตรที่เสนอต้องตรงกับความเชี่ยวของสถาบันอุดมศึกษา
2 สามารถระบุความต้องการและกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนและผูกโยงกับการได้งานทำ
และการทำงานที่มีคุณภาพ
3 หลักสูตรสามารถระบุทักษะที่มีมาตรฐานพร้อมวิธีวัดและประเมินผล 4 แต่ละหลักสูตรต้องมีผู้เข้ารับการอบรม ไม่น้อยกว่า 30 คน
5 วิทยากร มีคุณวุฒิและประสบการณ์เพียงพอในการถ่ายทอดความรู้
6 มีอุปกรณ์ เครื่องมือพื้นฐานเพียงพอต่อการจัดอบรวม และ
7 มีการประเมินผลเพื่อตรวจสอบคุณภาพมาตรฐานทั้งก่อนและหลังการอบรม
ทั้งนี้มีหลักสูตรที่ผ่านการพิจารณาจำนวน 30 หลักสูตร 19 สถาบัน ซึ่งหลักสูตรส่วนใหญ่เป็นการเรียนฟรีที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ และมีเพียงบางหลักสูตรที่เก็บค่าใช้จ่ายซึ่งจะไม่เกิน 1,000 บาท โดยจะเริ่มลงทะเบียนได้ตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายน 2563 เป็นต้นไป นอกจากนี้ คณะกรรมการบริหารโครงการฯ จะจัดให้มีกระบวนการ POST AUDIT เพื่อการรับรองหลักสูตร ซึ่งหลักสูตรที่ผ่านการรับรองจะได้รับการส่งเสริมให้สามารถสะสมหน่วยกิตเพื่อรับปริญญา (Degree) ได้ต่อไปเพื่อการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตของคนไทย
1 หลักสูตรที่เสนอต้องตรงกับความเชี่ยวของสถาบันอุดมศึกษา
2 สามารถระบุความต้องการและกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนและผูกโยงกับการได้งานทำ
และการทำงานที่มีคุณภาพ
3 หลักสูตรสามารถระบุทักษะที่มีมาตรฐานพร้อมวิธีวัดและประเมินผล 4 แต่ละหลักสูตรต้องมีผู้เข้ารับการอบรม ไม่น้อยกว่า 30 คน
5 วิทยากร มีคุณวุฒิและประสบการณ์เพียงพอในการถ่ายทอดความรู้
6 มีอุปกรณ์ เครื่องมือพื้นฐานเพียงพอต่อการจัดอบรวม และ
7 มีการประเมินผลเพื่อตรวจสอบคุณภาพมาตรฐานทั้งก่อนและหลังการอบรม
ทั้งนี้มีหลักสูตรที่ผ่านการพิจารณาจำนวน 30 หลักสูตร 19 สถาบัน ซึ่งหลักสูตรส่วนใหญ่เป็นการเรียนฟรีที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ และมีเพียงบางหลักสูตรที่เก็บค่าใช้จ่ายซึ่งจะไม่เกิน 1,000 บาท โดยจะเริ่มลงทะเบียนได้ตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายน 2563 เป็นต้นไป นอกจากนี้ คณะกรรมการบริหารโครงการฯ จะจัดให้มีกระบวนการ POST AUDIT เพื่อการรับรองหลักสูตร ซึ่งหลักสูตรที่ผ่านการรับรองจะได้รับการส่งเสริมให้สามารถสะสมหน่วยกิตเพื่อรับปริญญา (Degree) ได้ต่อไปเพื่อการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตของคนไทย


ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักมาตรฐานและประเมินผลอุดมศึกษา สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ศรีอยุธยา) โทรศัพท์ 0-2039-5612 โทรสาร 0-2039-5664
