บทสัมภาษณ์ ผศ.ดร.วิรัช เลิศไพฑูรย์พันธ์ โดย สำนักข่าวอิศรา
ผศ.ดร.วิรัช เลิศไพฑูรย์พันธ์ รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ ม.ศรีปทุม (SPU) เห็นด้วยกับนโยบายผลิตบัณฑิตพันธุ์ใหม่ เพราะสอดคล้องกับแนวทางที่ม.ศรีปทุม ดำเนินการอยู่ผลิตบัณฑิตให้ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมและเป็นมืออาชีพ
“มหาวิทยาลัยมีวิสาหกิจศึกษาทุกหลักสูตรปริญญาตรี นักศึกษาต้องออกไปฝึกประสบการณ์อย่างน้อย 1 ภาคการศึกษา แล้วก่อนหน้าจะไป จะต้องเรียนร่วมกับสถานประกอบการ โดยเชิญสถานประกอบการมืออาชีพเข้ามาให้ความรู้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งคีย์เวิร์ด คือ เรียนกับตัวจริง ประสบการณ์จริง ซึ่งตรงมาก ๆ”
ผศ.ดร.วิรัช ยกตัวอย่างจัดการเรียนการสอนในบางหลักสูตร เช่น หลักสูตรการเงิน ม.ศรีปทุมได้ร่วมมือกับ บริษัท หลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตั้งเป็นศูนย์ไอร่าเซ็นเตอร์ (SPU Investment Center by AiRa (SICA) ในมหาวิทยาลัย เพื่อให้นักศึกษาได้เรียนกับตัวจริง
ส่วนหลักสูตรปริญญาโท-เอก นั้น เขาระบุว่าในหนึ่งภาคการศึกษา มีการเรียน 15 ครั้ง มหาวิทยาลัยกำหนดว่า จะต้องพบกับภาคอุตสาหกรรมอย่างน้อย 2 ครั้ง ฉะนั้นจะเห็นได้วา ทุกหลักสูตรมีรูปแบบการเรียนกับผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมที่เป็นโครงสร้างโดยตรง
หลายคนอาจตั้งคำถามการฝึกประสบการณ์ 1 ภาคการศึกษา เพียงพอหรือไม่ รองอธิการบดีฯ ชี้ว่า ความจริงแล้วการเรียนการสอนมีหลายรูปแบบ เช่น หลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับโรงแรม นอกจากต้องฝึกประสบการณ์ในปีสุดท้ายแล้ว ระหว่างทางยังมีการออกไปฝึกอีกส่วนหนึ่งด้วย ดังนั้น แต่ละหลักสูตรย่อมแตกต่างกัน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการปรับให้ตรงกับข้อกำหนดกับหลักสูตรนั้น ๆ บางหลักสูตรทำได้มาก บางหลักสูตรทำได้น้อย
“เราไม่คิดว่าทุกหลักสูตรต้องทำแบบเดียวกัน แต่ละหลักสูตรมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง ผู้ประกอบการก็เช่นเดียวกัน บางสถานประกอบการ มีความสามารถในการดูแลเด็กได้ดี ฉะนั้นอุตสาหกรรมนี้เหมาะที่จะทำด้วย แต่บางอุตสาหกรรมส่งไปการดูแลอาจจะไม่ใช่แบบที่ต้องการ ดังนั้นการส่งนักศึกษาออกไปอยู่เป็นเวลานาน อาจไม่ใช่คำตอบ”
จุดแข็ง ผลิตบัณฑิต ตอบโจทย์ภาคอุตฯ
ปัจจุบัน ม.ศรีปทุม ร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมจำนวนมาก ขึ้นอยู่กับว่า จะใช้แบบใด ที่สำคัญมีอาจารย์จากสถานประกอบการเข้ามาอยู่กับเรา อาจเรียกว่า อาจารย์พิเศษก็ได้ ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ทุกหลักสูตรของ ม.ศรีปทุมเป็นไปในทิศทางการนำภาคอุตสาหกรรมเข้ามามีส่วนร่วมในการผลิตบัณฑิตด้วยกัน
ด้วยเหตุนี้ มหาวิทยาลัยจึงมีความโดดเด่นในหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม โดยเฉพาะ ‘โลจิสติกส์’ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีความต้องการมาก เราได้ทำความร่วมมือกับสมาพันธ์และสมาคมวิชาชีพต่าง ๆ เพื่อหวังจะได้ทำงานอย่างใกล้ชิด
“วิทยาลัยโลจิสติกส์และซัพพลายเชน มีคณบดีสองท่าน นอกจากคณบดีปกติแล้ว ยังได้รับเกียรติจากนายนพพร เทพสิทธา จากภาคอุตสาหกรรม ดำรงตำแหน่งเป็นคณบดีกิตติคุณ ด้วย
เขาย้ำว่า โครงการนี้ต้องวัดผลสัมฤทธิ์จากตัวเด็กว่ามีพัฒนาการในเรื่องเหล่านี้ตรงตามที่วางแผนหรือไม่ และต้องคุยกับภาคอุตสาหกรรมที่ร่วมมือด้วยว่า ตอบโจทย์หรือไม่ ในสิ่งที่เราออกแบบและร่วมกันทำ
สุดท้ายผศ.ดร.วิรัช ตั้งใจว่าจะมุ่งพัฒนาบัณฑิตพันธุ์ใหม่ให้ดีที่สุด ในแบบของเรา และเชื่อว่าจะตอบโจทย์สังคมได้ ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมและประเทศ จึงน่าจะเป็นปัจจัยหลักที่เรามุ่งทำมากกว่า ส่วนการแข่งขันกันระหว่างมหาวิทยาลัยด้วยกันนั้น มองในแง่การช่วยกันทำให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ มากกว่าการทำให้สถาบันอื่นแย่ลง
“การผลิตบัณฑิตให้ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรม มองว่านี่คือจุดแข็งของม.ศรีปทุม ก่อนที่จะมีโครงการนี้เป็นเวลา 10 ปีแล้ว”
แล้วอนาคตการศึกษาไทยควรเดินไปในทิศทางใดนั้น รองอธิการบดีฯ ยืนยันว่า ต้องเริ่มที่ความแตกต่าง การวางนโยบาย การกำหนดเกณฑ์ต่าง ๆ ต้องเป็นไปในทิศทางของความแตกต่างได้ เพราะว่าที่ผ่านมา เราอาจติดอยู่กับ ‘กับดัก’ อันหนึ่งที่ว่า ต้องกำหนดมาเหมือนกันหมด นั่นจึงทำให้ทั้งประเทศเป็นแบบเดียวกันหมด ซึ่งไม่ใช่ทางออกที่ดีของการศึกษา ถ้าจะให้ดีควรจะมีพื้นที่ให้มีความแตกต่าง ยิ่งแตกต่างมากเท่าไหร่ จะยิ่งเกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศของเรา หากสอนไปในมิติเดียวกันหมด เชื่อว่าไม่ช่วยให้ประเทศแข็งแรงขึ้น
“เราอย่าไปให้ความสำคัญกับการจัดอันดับในเชิงโลกที่พยายามบังคับให้เราเป็น ที่พูดไม่ใช่ว่าไม่สนใจ แต่ไม่ควรให้ความสำคัญจนไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศ การจัดอันดับจะไม่ช่วยประเทศโดยตรง ถ้าจะช่วยโดยตรงก็ต่อเมื่อมหาวิทยาลัยผลิตบัณฑิตออกไปแล้วตอบโจทย์อุตสาหกรรม คิดว่าบ้านเราต้องการอันนี้ก่อน และ ม.ศรีปทุมเชื่อแบบนั้น” ผศ.ดร.วิรัช กล่าวทิ้งท้าย
คลิกวิดีโอ https://www.youtube.com/watch?v=a28QA8ETNRA