เจาะลึกองค์ประกอบ ROE ด้วย DuPont Analysis: วิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อนธุรกิจยุคใหม่
หวัดดีเพื่อนๆ! เคยรู้สึกแบบนี้ป่ะ เวลาเห็นข่าวบริษัท A กำไรพุ่งทะลุฟ้า หรือบริษัท B ออกผลิตภัณฑ์ใหม่แล้วหุ้นขึ้นพรวดๆ แล้วเราก็ได้แต่นั่งเกาหัวว่า “เอ…แล้วบริษัทนี้มันดีจริงป่าว?” หรือบางทีแค่ดูกำไรเยอะๆ มันอาจจะไม่ใช่คำตอบทั้งหมดก็ได้
ในฐานะรุ่นพี่ที่คลุกคลีกับวิชาการเงินและการลงทุนมาสักพัก (เรียกว่าโดนอาจารย์เคี่ยวมาอย่างหนัก 555) วันนี้เราอยากจะมาแชร์ “เครื่องมือลับ” ที่นักวิเคราะห์มือโปรเขาใช้กัน แต่จะเล่าในเวอร์ชันที่เข้าใจง่ายเหมือนเพื่อนคุยกัน เครื่องมือที่ว่านี้ชื่อว่า DuPont Analysis มันคือสุดยอดเครื่องมือที่จะช่วยเราแงะตัวเลขที่ชื่อว่า ROE (Return on Equity) ออกมาดูไส้ในทีละชิ้นๆ เหมือนเรากำลังแยกชิ้นส่วนรถสปอร์ตเพื่อดูว่าเครื่องยนต์มันแรงมาจากไหนกันแน่!
ก่อนจะไป DuPont, ROE คืออะไรกันแน่นะ?
ก่อนที่เราจะไปแยกชิ้นส่วน เราก็ต้องรู้จักตัวรถก่อนใช่ป่ะ? ROE หรือ Return on Equity ถ้าแปลแบบตรงๆ ตัวก็คือ “ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น” แต่ถ้าให้พูดภาษาคนง่ายๆ มันคือตัวเลขที่บอกว่า “เงินลงทุนของผู้ถือหุ้น 100 บาท สามารถสร้างกำไรกลับมาได้กี่บาท”
คิดง่ายๆ: ถ้าบริษัท A มี ROE 15% แปลว่าทุกๆ 100 บาทที่เจ้าของ (ผู้ถือหุ้น) ลงเงินไป บริษัทสามารถเอาเงินนั้นไปหมุนทำธุรกิจจนสร้างกำไรกลับมาได้ 15 บาทต่อปี ยิ่งสูงก็เหมือนจะยิ่งดี เพราะมันแปลว่าบริษัทเก่งในการเอาเงินของเราไปปั๊มเงินเพิ่มนั่นเอง
ฟังดูดีใช่ไหม? บริษัทไหน ROE สูงๆ ก็แปลว่าเจ๋งไปเลยสิ… แต่เดี๋ยวก่อน! นี่แหละคือกับดักที่คนส่วนใหญ่มักจะพลาดกัน การมี ROE สูงๆ มันอาจจะมาจากเหตุผลที่ดีมากๆ หรืออาจจะมาจากความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ก็ได้ แล้วเราจะรู้ได้ยังไงล่ะ? คำตอบก็คือ… ใช้ DuPont Analysis ไง!
พระเอกมาแล้ว! DuPont Analysis คืออะไร? ทำไมต้องใช้?
DuPont Analysis ไม่ใช่ชื่อสารเคมีนะเพื่อนๆ 555 มันเป็นชื่อโมเดลที่บริษัท DuPont พัฒนาขึ้นมาเมื่อนานมาแล้ว หลักการของมันง่ายมาก คือแทนที่จะดู ROE เป็นเลขก้อนเดียวโดดๆ เราจะ “ทุบมันออกมาเป็น 3 ส่วน” เพื่อดูว่าที่มาของ ROE สูงๆ (หรือต่ำๆ) นั้นมาจากอะไรกันแน่
เหมือนเวลาเราได้เกรด 4 วิชาคณิตฯ แทนที่จะดีใจแค่ว่าได้เกรด 4 เราลองไปดูรายละเอียดคะแนนสิ ว่าเราได้คะแนนดีเพราะเก่งเรื่องพีชคณิต ตรีโกณมิติ หรือแคลคูลัสกันแน่ การทำแบบนี้ทำให้เรารู้ทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเองชัดเจนขึ้น DuPont ก็ทำหน้าที่แบบนั้นกับบริษัทเลย
สมการ ROE ปกติคือ:
แต่ DuPont จะแปลงร่างสมการนี้เป็น:
ดูเหมือนจะยาวขึ้นใช่ไหม? แต่อย่าเพิ่งถอดใจ! เพราะแต่ละวงเล็บมันมีความหมายที่ลึกซึ้งซ่อนอยู่ มาดูกันทีละตัวเลย
เจาะลึก 3 องค์ประกอบหลัก: ความลับเบื้องหลังตัวเลข ROE
เรามาแยกชิ้นส่วน ROE กันเถอะ! แต่ละส่วนจะบอกเล่าเรื่องราวที่แตกต่างกันของบริษัท
1. ความสามารถในการทำกำไร (Profitability) – Net Profit Margin
สูตร: (กำไรสุทธิ / ยอดขาย)
ตัวแรกนี้ตรงไปตรงมาที่สุด มันคือ “อัตรากำไรสุทธิ” บอกเราว่า “ทุกๆ ยอดขาย 100 บาท บริษัทเหลือเป็นกำไรจริงๆ กี่บาท” หลังจากหักต้นทุน ค่าใช้จ่าย ภาษี ทุกอย่างหมดแล้ว
- ถ้าค่านี้สูง: แปลว่าบริษัทเก่งมากในการควบคุมต้นทุน ขายของได้ราคาดี หรือมีแบรนด์ที่แข็งแกร่งจนคนยอมจ่ายแพง เช่น บริษัทขายสินค้าลักชัวรี่ หรือบริษัทซอฟต์แวร์ที่มีต้นทุนการผลิตซ้ำต่ำ
- ถ้าค่านี้ต่ำ: อาจจะแปลว่าบริษัทอยู่ในธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงมาก ต้องทำสงครามราคาตลอดเวลา (เช่น ร้านค้าปลีก) หรืออาจจะควบคุมต้นทุนได้ไม่ดี
เปรียบเทียบ: เหมือนเราเปิดร้านขายน้ำปั่น ขายได้แก้วละ 50 บาท (ยอดขาย) แต่หลังหักค่าน้ำแข็ง ค่าผลไม้ ค่าแก้ว ค่าไฟแล้ว เราเหลือกำไรจริงๆ 15 บาท (กำไรสุทธิ) Net Profit Margin ของเราก็จะเท่ากับ 15/50 = 30%
2. ประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์ (Efficiency) – Asset Turnover
สูตร: (ยอดขาย / สินทรัพย์รวม)
ตัวที่สองนี้คือ “อัตราการหมุนของสินทรัพย์” มันบอกเราว่า “บริษัทใช้สินทรัพย์ที่มีอยู่ (เช่น โรงงาน เครื่องจักร ที่ดิน สินค้าคงคลัง) ได้อย่างมีประสิทธิภาพแค่ไหนในการสร้างยอดขาย”
- ถ้าค่านี้สูง: แปลว่าบริษัทเก่งในการสร้างประสิทธิภาพจากสินทรัพย์ที่มีอยู่ ใช้เครื่องจักรได้คุ้มค่าทุกนาที ขายของใน สต็อกได้เร็ว ไม่ต้องจมเงินไปกับของที่ขายไม่ออก บริษัทประเภทค้าปลีกที่ขายของเร็วๆ อย่าง 7-Eleven มักจะมีค่านี้สูง
- ถ้าค่านี้ต่ำ: อาจแปลว่าบริษัทมีสินทรัพย์ที่ไม่ได้ใช้งานเยอะเกินไป เช่น มีโรงงานที่เดินเครื่องไม่เต็มกำลัง หรือมีสินค้าคงคลังบวมมากๆ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
เปรียบเทียบ: กลับมาที่ร้านน้ำปั่นของเรา ถ้าเรามีเครื่องปั่น 1 เครื่อง (สินทรัพย์) แล้วทั้งวันเราปั่นขายได้ 100 แก้ว (สร้างยอดขาย) เทียบกับร้านข้างๆ ที่มีเครื่องปั่นเหมือนกันแต่ขายได้แค่ 50 แก้ว แปลว่าร้านเรามี Asset Turnover ที่สูงกว่า คือใช้เครื่องปั่นได้คุ้มกว่านั่นเอง
3. การใช้หนี้ (Leverage) – Financial Leverage
สูตร: (สินทรัพย์รวม / ส่วนของผู้ถือหุ้น)
ตัวสุดท้ายนี้อาจจะดูซับซ้อนนิดหน่อย แต่มันคือ “อัตราส่วนหนี้สิน” มันบอกเราว่า “บริษัทใช้เงินที่กู้ยืมมา (หนี้สิน) มากแค่ไหนเมื่อเทียบกับเงินของเจ้าของเองในการทำธุรกิจ”
จำไว้ว่า สินทรัพย์รวม = หนี้สิน + ส่วนของผู้ถือหุ้น ดังนั้นถ้าค่านี้สูง แปลว่าบริษัทมี “หนี้สิน” ในสัดส่วนที่เยอะเมื่อเทียบกับ “ทุน” ของตัวเอง
- ถ้าค่านี้สูง: มันเป็นเหมือนดาบสองคม ด้านหนึ่งคือบริษัทใช้เงินกู้มาขยายกิจการ ซึ่งถ้าธุรกิจไปได้สวย กำไรที่ได้ก็จะโตแบบก้าวกระโดด (เพราะใช้เงินคนอื่นมาต่อยอด) แต่อีกด้านหนึ่งคือความเสี่ยงที่สูง ถ้าธุรกิจสะดุดขึ้นมาเมื่อไหร่ ภาระดอกเบี้ยมหาศาลอาจจะทำให้บริษัทล้มได้เลย ธุรกิจที่ต้องลงทุนสูงๆ เช่น โรงไฟฟ้า หรืออสังหาริมทรัพย์ มักจะมีค่านี้สูง
- ถ้าค่านี้ต่ำ (ใกล้เคียง 1): แปลว่าบริษัทใช้เงินทุนของตัวเองเป็นหลัก มีหนี้น้อยมาก ซึ่งถือว่าปลอดภัย แต่ก็อาจจะโตได้ช้ากว่าบริษัทที่กล้ากู้
เปรียบเทียบ: เราอยากขยายร้านน้ำปั่น เราใช้เงินเก็บตัวเอง 10,000 บาท (ส่วนของผู้ถือหุ้น) แต่ไปกู้เพื่อนมาอีก 40,000 บาท (หนี้สิน) เพื่อซื้ออุปกรณ์เพิ่ม รวมแล้วเรามีเงินทำร้าน 50,000 บาท (สินทรัพย์รวม) Financial Leverage ของเราจะเท่ากับ 50,000 / 10,000 = 5 เท่า! ถือว่าสูงมาก ถ้าขายดีก็รวยเร็ว แต่ถ้าเจ๊งขึ้นมาก็หนี้บานเลย
Case Study ฉบับย่อ: Cafe A vs Cafe B
เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ลองดูตัวอย่างสมมตินี้ ทั้งสองร้านมี ROE 20% เท่ากันเป๊ะ!
Cafe A: ร้านกาแฟพรีเมียม
- Net Profit Margin: 20% (ขายกาแฟแพง คุมต้นทุนดี กำไรต่อแก้วสูง)
- Asset Turnover: 0.5 (ร้านสวย นั่งสบาย แต่คนหมุนเวียนไม่เร็วมาก)
- Financial Leverage: 2.0 (มีหนี้สินเท่ากับเงินทุน)
- ROE = 20% x 0.5 x 2.0 = 20%
Cafe B: ร้านกาแฟแบบ Grab & Go
- Net Profit Margin: 5% (ขายราคาถูก เน้นปริมาณ กำไรต่อแก้วน้อย)
- Asset Turnover: 2.0 (ร้านเล็กๆ อุปกรณ์น้อย แต่ขายเร็วมาก คนหมุนเวียนสูง)
- Financial Leverage: 2.0 (มีหนี้สินเท่ากับเงินทุน)
- ROE = 5% x 2.0 x 2.0 = 20%
เห็นไหมครับ? แม้ ROE จะเท่ากัน แต่ที่มาต่างกันลิบลับ! Cafe A มีจุดแข็งที่ “ความสามารถในการทำกำไร” ส่วน Cafe B มีจุดแข็งที่ “ประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์” ถ้าเราดูแค่ ROE 20% เราจะไม่มีทางรู้เรื่องราวเบื้องหลังเหล่านี้เลย
แล้วเราจะหาข้อมูลพวกนี้มาวิเคราะห์บริษัทในไทยได้จากไหน? (GEO-Targeting)
โอเค ฟังดูน่าสนุกใช่ไหมล่ะ? การเป็นนักสืบธุรกิจเนี่ย! คำถามต่อมาคือ แล้วเราจะไปหาข้อมูลพวกนี้จากบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ยังไง? ไม่ยากเลยเพื่อนๆ
- เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (www.set.or.th): นี่คือขุมทรัพย์ของเราเลย! แค่พิมพ์ชื่อย่อหุ้นที่สนใจ (เช่น AOT, CPALL, PTT) เข้าไปในช่องค้นหา แล้วมองหาเมนู “ข้อมูลงบการเงิน/ผลประกอบการ”
- Factsheet: ในหน้าของหุ้นแต่ละตัว จะมีเอกสารที่ชื่อว่า Factsheet สรุปข้อมูลสำคัญๆ ไว้ให้ ซึ่งมักจะมีค่าอัตราส่วนทางการเงินพวกนี้อยู่แล้ว สะดวกมากๆ
- 56-1 One Report: ถ้าอยากเจาะลึกแบบสุดๆ ให้อ่านเอกสารที่ชื่อ “แบบ 56-1 One Report” (รายงานประจำปี) ในส่วนของ “งบการเงิน” และ “คำอธิบายและการวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ (MD&A)” จะมีข้อมูลทุกอย่างที่เราต้องการเลย
- แอปพลิเคชัน Streaming: ถ้าใครเปิดบัญชีหุ้นแล้ว ในแอป Streaming ก็จะมีข้อมูลสรุปพวกนี้ให้ดูเหมือนกัน
ลองเอาไปใช้กับบริษัทที่เราคุ้นเคยดูสิ เช่น บริษัทเจ้าของ 7-Eleven (CPALL) หรือบริษัทสนามบิน (AOT) แล้วลองวิเคราะห์ดูว่า ROE ของเขามาจากส่วนไหนเป็นหลัก มันจะทำให้เรามองธุรกิจรอบตัวเปลี่ยนไปเลย!
Q&A ถาม-ตอบ เคลียร์ทุกข้อสงสัยสไตล์เด็กมหาลัย
เรารวบรวมคำถามที่เพื่อนๆ น่าจะสงสัยมาไว้ให้ตรงนี้แล้ว!
DuPont Analysis มันยากไปไหมสำหรับมือใหม่?
ไม่เลย! ตอนแรกอาจจะดูเหมือนมีหลายตัวเลข แต่หัวใจของมันคือการทำความเข้าใจ “เรื่องราว” เบื้องหลังแต่ละส่วนมากกว่าการจำสูตร แค่เข้าใจว่า Profitability, Efficiency, และ Leverage คืออะไร เราก็เริ่มวิเคราะห์ได้แล้ว
ต้องใช้โปรแกรมอะไรพิเศษในการวิเคราะห์ไหม?
ไม่จำเป็นเลย! แค่มี Microsoft Excel หรือ Google Sheets ก็เหลือเฟือแล้ว เราสามารถดึงข้อมูลจากเว็บ SET มาใส่ตารางแล้วคำนวณสูตรง่ายๆ ได้เลย หรือแค่ดูค่าที่เขาคำนวณมาให้แล้วใน Factsheet ก็ยังได้
แล้วค่าแต่ละตัวควรจะอยู่ที่เท่าไหร่ถึงจะเรียกว่า “ดี”?
เป็นคำถามที่ดีมาก! ไม่มีคำตอบตายตัวว่า “เท่าไหร่ถึงจะดี” เพราะมันขึ้นอยู่กับ “อุตสาหกรรม” ของธุรกิจนั้นๆ เช่น ธุรกิจค้าปลีกมักจะมี Net Profit Margin ต่ำแต่ Asset Turnover สูง ในขณะที่ธุรกิจเทคโนโลยีอาจจะมี Margin สูงแต่ Asset Turnover ต่ำ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือการ “เปรียบเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน” หรือ “เปรียบเทียบกับผลงานในอดีตของบริษัทตัวเอง”
ใช้ DuPont Analysis กับบริษัท Startup ที่ยังไม่เข้าตลาดหุ้นได้ไหม?
ใช้ได้! ตราบใดที่ Startup นั้นมีการทำบัญชีและงบการเงิน (ซึ่งควรจะต้องทำอยู่แล้ว) เราก็สามารถคำนวณหาทั้ง 3 องค์ประกอบได้เช่นกัน มันจะเป็นประโยชน์มากๆ สำหรับผู้ก่อตั้งในการดูว่าธุรกิจของตัวเองมีจุดแข็งจุดอ่อนตรงไหน ควรจะไปเน้นเพิ่มกำไร เพิ่มประสิทธิภาพ หรือจะใช้หนี้เพื่อโตดี
บทสรุป: มองให้ลึกกว่าแค่ “กำไร”
มาถึงตรงนี้ เราหวังว่าเพื่อนๆ จะเห็นแล้วว่า DuPont Analysis มันเจ๋งแค่ไหน มันเปลี่ยนจากการมองตัวเลข ROE แบบผิวเผิน ให้กลายเป็นการวิเคราะห์เชิงลึกที่ทำให้เราเข้าใจ “โมเดลธุรกิจ” และ “กลยุทธ์” ของบริษัทนั้นๆ ได้อย่างแท้จริง
มันสอนให้เรารู้ว่า ROE ที่สูงอาจไม่ได้มาจากความสามารถในการทำกำไรเสมอไป แต่อาจมาจากประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์ หรือแม้กระทั่งการก่อหนี้มหาศาลก็ได้ ซึ่งแต่ละแบบก็มีความแข็งแกร่งและความเสี่ยงที่แตกต่างกันไป
ดังนั้น ครั้งต่อไปที่เห็นข่าวบริษัทไหนทำผลงานได้ดี อย่าเพิ่งรีบเชื่อทั้งหมด ลองใช้สกิลนักสืบที่เราได้เรียนรู้กันวันนี้ ไปดูไส้ในด้วย DuPont Analysis แล้วเพื่อนๆ จะกลายเป็นคนที่มองธุรกิจได้ขาดและเฉียบคมกว่าใครแน่นอน!
ผู้จัดทำ อาจารย์ยุทธนา แช่มชูกุล อาจารย์ประจำคณะบัญชี
















