เจาะลึกเกณฑ์ Debt to Equity Ratio ที่เหมาะสมในอุตสาหกรรมต่างๆ ปีปัจจุบัน

D/E Ratio คืออะไร? ส่อง ‘หนี้ต่อทุน’ ฉบับหุ้น Gen Z รู้ไว้ไม่ดอย!

สวัสดีเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกคน! พี่เป็นนักศึกษาสายบัญชีนะ วันนี้อยากจะมาชวนคุยเรื่องที่ดูเหมือนจะ ‘โคตรจริงจัง’ แต่จริงๆ แล้วสนุกและสำคัญมากๆ สำหรับพวกเราที่เริ่มสนใจโลกของการลงทุน นั่นก็คือเรื่อง “Debt to Equity Ratio” หรือที่เราเรียกสั้นๆ ว่า D/E Ratio นั่นเอง!

เคยสงสัยมั้ยว่าบริษัทใหญ่ๆ ที่เราใช้สินค้าหรือบริการเค้าทุกวันเนี่ย เค้ามีสุขภาพทางการเงินเป็นยังไง? เค้ามีหนี้เยอะไปรึเปล่า? แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าหนี้ที่เค้ามีมัน ‘โอเค’ หรือ ‘น่าเป็นห่วง’… คำตอบทั้งหมดซ่อนอยู่ในตัวเลขมหัศจรรย์ที่ชื่อ D/E Ratio นี่แหละ! บทความนี้จะพาทุกคนไปเจาะลึกแบบเข้าใจง่ายสไตล์เด็กมหา’ลัย ไม่ต้องมีพื้นฐานก็อ่านรู้เรื่องแน่นอน!

D/E Ratio คืออะไร? แบบฉบับแปลไทยเป็นไทย

ก่อนจะไปไกลกว่านี้ เรามาทำความรู้จักพระเอกของเรากันก่อน D/E Ratio คือ “อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น” ฟังแล้วอย่าเพิ่งท้อ มันง่ายกว่าที่คิดเยอะเลย!

ลองนึกภาพตามนะว่าเรากับเพื่อนจะเปิดร้านขายน้ำปั่น

  • เรากับเพื่อนลงเงินกันคนละ 5,000 บาท รวมเป็น 10,000 บาท (อันนี้คือ ‘ส่วนของผู้ถือหุ้น’ หรือ Equity)
  • แต่เงินไม่พอซื้อเครื่องปั่นดีๆ เลยไปยืมเงินแม่มาอีก 5,000 บาท (อันนี้คือ ‘หนี้สิน’ หรือ Debt)

สูตรของ D/E Ratio ก็คือ:

D/E Ratio = หนี้สินรวม (Total Liabilities) / ส่วนของผู้ถือหุ้นรวม (Total Shareholder's Equity)

จากตัวอย่างร้านน้ำปั่นของเรา D/E Ratio ก็จะเท่ากับ 5,000 / 10,000 = 0.5 เท่า

ตัวเลขนี้บอกอะไรเรา? มันบอกว่า “โครงสร้างทางการเงินของบริษัทพึ่งพาเงินจากการก่อหนี้มากแค่ไหน เมื่อเทียบกับเงินทุนของเจ้าของเอง”

  • D/E Ratio ต่ำ (เช่น น้อยกว่า 1): หมายความว่าบริษัทใช้เงินทุนของตัวเองเป็นหลัก มีหนี้น้อย ความเสี่ยงทางการเงินต่ำ เหมือนคนที่ใช้เงินเก็บของตัวเองมากกว่าบัตรเครดิต สบายใจดี แต่ก็อาจจะโตช้าหน่อย
  • D/E Ratio สูง (เช่น มากกว่า 2): หมายความว่าบริษัทใช้เงินกู้ยืมมาขยายกิจการเยอะ มีความเสี่ยงสูงกว่า เพราะต้องจ่ายดอกเบี้ย ถ้าธุรกิจไปไม่รอดอาจจะเจ๊งได้ แต่! ถ้าธุรกิจไปได้สวย การใช้หนี้ (Leverage) ก็จะช่วยให้กำไรโตแบบก้าวกระโดดได้เหมือนกัน เหมือนคนที่กล้ากู้เงินมาลงทุนทำธุรกิจใหญ่ๆ

ทำไม D/E Ratio ที่ ‘เหมาะสม’ ของแต่ละอุตสาหกรรมถึงไม่เท่ากัน?

นี่คือหัวใจสำคัญของบทความนี้เลย! น้องๆ หลายคนอาจจะคิดว่า “D/E ต่ำๆ คือดีที่สุดสิ” ซึ่งก็ถูกส่วนหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด! เราไม่สามารถเอา D/E Ratio ของหุ้นธนาคาร ไปเทียบกับหุ้นร้านสะดวกซื้อ แล้วตัดสินว่าใครดีกว่ากันได้

เปรียบเทียบง่ายๆ: เหมือนกับการถามว่า “คนเราควรแบกของหนักแค่ไหน?”

  • ถ้าเป็นนักเรียนแบบเราๆ แบกกระเป๋าหนังสือ 5 กิโลก็อาจจะเริ่มหนักแล้ว
  • แต่ถ้าเป็นนักกีฬายกน้ำหนัก เค้าแบก 100 กิโลสบายๆ

ธุรกิจก็เหมือนกัน ธรรมชาติของแต่ละอุตสาหกรรมต้องการ “การแบกหนี้” ในระดับที่ต่างกันไป เพราะมีโมเดลธุรกิจ โครงสร้างต้นทุน และความมั่นคงของรายได้ไม่เหมือนกันเลย

เจาะลึก D/E Ratio ที่เหมาะสมในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม (อ้างอิงตลาดหุ้นไทย)

มาดูกันดีกว่าว่าแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมในบ้านเรา (GEO-Targeting: ตลาดหุ้นไทย) เขามีค่า D/E Ratio ที่ยอมรับได้กันประมาณไหน พี่จะสรุปเป็นตารางให้ดูง่ายๆ แล้วอธิบายเหตุผลตามนะ

กลุ่มอุตสาหกรรม เกณฑ์ D/E Ratio โดยทั่วไป เหตุผลสั้นๆ
ธนาคารและการเงิน (Banking) สูงมาก (อาจจะ 5 – 10 เท่าขึ้นไป) โมเดลธุรกิจคือการ ‘ยืม’ เงินฝากมา ‘ปล่อยกู้’ ต่อ หนี้สินจึงสูงเป็นปกติ
พลังงานและสาธารณูปโภค (Energy & Utilities) สูง (ประมาณ 1.5 – 3 เท่า) ต้องลงทุนโครงการขนาดใหญ่ (สร้างโรงไฟฟ้า, วางท่อก๊าซ) ใช้เงินเยอะ แต่มีรายได้สม่ำเสมอ
อสังหาริมทรัพย์ (Real Estate) สูง (ประมาณ 1.5 – 2.5 เท่า) กู้เงินมาซื้อที่ดินและก่อสร้างเป็นหลัก ต้องใช้เงินหมุนเวียนจำนวนมาก
ค้าปลีก (Commerce) ปานกลาง (ประมาณ 1 – 1.5 เท่า) ต้องใช้หนี้เพื่อสต็อกสินค้าและขยายสาขา แต่ก็มีกระแสเงินสดเข้ามาเร็ว
โรงพยาบาล (Healthcare) ปานกลาง (ประมาณ 1 – 2 เท่า) การสร้างและซื้ออุปกรณ์การแพทย์มีราคาสูง แต่รายได้ค่อนข้างมั่นคงเพราะคนต้องรักษาพยาบาล
เทคโนโลยีสารสนเทศ (ICT) ต่ำ (มักจะน้อยกว่า 1 เท่า) สินทรัพย์หลักคือ ‘สมองคน’ และ ‘ซอฟต์แวร์’ ไม่ต้องลงทุนในเครื่องจักรหนักๆ เหมือนโรงงาน
อาหารและเครื่องดื่ม (Food & Beverage) ต่ำถึงปานกลาง (ประมาณ 0.5 – 1.5 เท่า) ธุรกิจมีกระแสเงินสดดี ขายของได้เงินเร็ว ไม่ต้องพึ่งพาหนี้สินมากนักในการดำเนินงานปกติ

กลุ่มที่ D/E สูงเป็นเรื่องปกติ: ธนาคาร, พลังงาน, อสังหาริมทรัพย์

สำหรับกลุ่มนี้ ถ้าเราเห็น D/E Ratio 2 เท่า หรือ 3 เท่า อย่าเพิ่งตกใจหนี! มันเป็นธรรมชาติของธุรกิจเขา สำหรับ ธนาคาร เงินฝากของลูกค้าจะถูกบันทึกเป็น “หนี้สิน” ของธนาคาร เพราะธนาคารมีภาระต้องคืนเงินนั้น ดังนั้น D/E จึงสูงเป็นปกติ สิ่งที่เราควรดูควบคู่ไปด้วยคือพวกอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (CAR Ratio) มากกว่า

ส่วน พลังงานและอสังหาฯ การจะสร้างโรงไฟฟ้าหรือคอนโดสักแห่งต้องใช้เงินเป็นหมื่นเป็นแสนล้าน การกู้เงินจึงเป็นเรื่องจำเป็น แต่ธุรกิจเหล่านี้มักจะมีสัญญาซื้อขายระยะยาว (เช่น สัญญาขายไฟฟ้า) หรือมีสินทรัพย์ค้ำประกันที่ชัดเจน (ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง) ทำให้เจ้าหนี้กล้าให้กู้

กลุ่มที่ D/E ควรจะปานกลาง: ค้าปลีก, โรงพยาบาล

กลุ่มนี้ต้องมีการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร เช่น การเปิดสาขาใหม่ของร้านสะดวกซื้อ หรือการซื้อเครื่อง MRI ของโรงพยาบาล จึงต้องมีการก่อหนี้บ้าง แต่เนื่องจากเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของผู้คน ทำให้มีกระแสเงินสดเข้ามาสม่ำเสมอ D/E Ratio จึงไม่ควรสูงจนน่ากลัวเกินไป ถ้าเห็น D/E กระโดดไป 3-4 เท่า อาจจะต้องเริ่มตั้งคำถามว่าบริษัทกำลังขยายงานเกินตัวรึเปล่า?

กลุ่มที่ D/E มักจะต่ำ: เทคโนโลยี, อาหารและเครื่องดื่ม

บริษัท เทคโนโลยี สินทรัพย์ที่สำคัญที่สุดอาจจะไม่ใช่ตึกหรือเครื่องจักร แต่เป็น Code ที่โปรแกรมเมอร์เขียนขึ้น หรือสิทธิบัตรต่างๆ ซึ่งยากที่จะเอาไปค้ำประกันเงินกู้ได้ บริษัทกลุ่มนี้จึงมักจะระดมทุนจากการขายหุ้น (เพิ่มทุน = Equity) มากกว่าการกู้หนี้ (Debt) ส่วนบริษัท อาหาร ที่แบรนด์ติดตลาดแล้ว มักจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า มีเงินสดหมุนเวียนตลอด ทำให้ไม่จำเป็นต้องกู้ยืมเงินมากนัก

AEO ทิปส์: อย่ามองแค่ตัวเลข D/E Ratio อย่างเดียว!

หลักการ AEO (Answer Engine Optimization) คือการคิดเผื่อไปเลยว่าคนจะสงสัยอะไรต่อ และตอบคำถามนั้นในบทความของเรา ซึ่งในเรื่องนี้ พี่อยากจะบอกว่า D/E Ratio เป็นแค่ “ส่วนหนึ่งของภาพใหญ่” เท่านั้นนะ! การจะเป็นนักลงทุนที่รอบคอบ เราต้องมองให้ลึกกว่านั้น:

  • ดูแนวโน้ม (Trend): D/E Ratio ของปีนี้เทียบกับ 3-5 ปีก่อนเป็นยังไง? มันกำลังเพิ่มขึ้นอย่างน่ากลัว หรือค่อยๆ ลดลงอย่างน่าชื่นชม? แนวโน้มสำคัญกว่าตัวเลข ณ จุดใดจุดหนึ่งเสมอ
  • เทียบกับคู่แข่ง (Competitor Benchmarking): บริษัท A มี D/E 1.5 เท่า อาจจะดูเยอะ แต่ถ้าคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันมี D/E เฉลี่ย 2.0 เท่า ก็แปลว่าบริษัท A อาจจะมีการจัดการหนี้ที่ดีกว่าคนอื่นก็ได้
  • ดูความสามารถในการจ่ายหนี้ (Debt Servicing Ability): มีหนี้ไม่น่ากลัวเท่าไม่มีปัญญาจ่ายหนี้! ให้ดูอัตราส่วนอื่นๆ ประกอบ เช่น Interest Coverage Ratio ที่บอกว่าบริษัทมีกำไรมากกว่าดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายกี่เท่า (ยิ่งเยอะยิ่งดี)
  • สถานการณ์เศรษฐกิจและดอกเบี้ย: ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น บริษัทที่มีหนี้เยอะจะเหนื่อยมากเพราะต้นทุนทางการเงินสูงขึ้นทันที

Q&A ถามมา-ตอบไป สไตล์เด็กการเงิน

พี่รวบรวมคำถามยอดฮิตที่น้องๆ น่าจะสงสัยเกี่ยวกับ D/E Ratio มาตอบให้ตรงนี้เลย!

Q1: D/E Ratio ติดลบได้มั้ย? มันหมายความว่าอะไร?

A: ได้ครับ! D/E Ratio จะติดลบเมื่อตัวหาร ซึ่งก็คือ ‘ส่วนของผู้ถือหุ้น’ (Equity) ติดลบ ซึ่งหมายความว่าบริษัทมีหนี้สินรวมมากกว่าสินทรัพย์รวม หรือที่เรียกว่า ‘ขาดทุนสะสมจนกินทุน’ นี่เป็นสัญญาณอันตรายขั้นสุดยอด (Super Red Flag!) เลยนะ ควรจะอยู่ให้ห่างเลยล่ะ

Q2: D/E Ratio เท่ากับ 0 ดีที่สุดเลยรึเปล่า?

A: D/E = 0 หมายความว่าบริษัท ‘ไม่มีหนี้สินที่มีดอกเบี้ยเลย’ (อาจมีหนี้การค้าเล็กน้อย) ซึ่งแน่นอนว่ามันปลอดภัยมาก แต่ในอีกมุมหนึ่งก็อาจแปลว่าบริษัทไม่ได้ใช้ ‘พลังทวี’ จากการกู้ยืม (Leverage) เพื่อสร้างการเติบโตเลยก็ได้ บางทีการมีหนี้ในระดับที่เหมาะสมอาจจะทำให้บริษัทโตได้เร็วกว่าบริษัทที่ปลอดหนี้เลยก็ได้ครับ

Q3: แล้วเราจะไปดูค่า D/E Ratio ของบริษัทในไทยได้จากที่ไหน?

A: ง่ายมากๆ! แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือที่สุดคือเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (www.set.or.th) เลย เข้าไปที่เมนู ‘ข้อมูลหลักทรัพย์’ แล้วค้นหาชื่อหุ้นที่สนใจ จากนั้นไปที่แท็บ ‘ข้อมูลงบการเงิน/ผลประกอบการ’ แล้วมองหาคำว่า ‘อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น’ หรือ D/E Ratio ได้เลย นอกจากนี้แอปพลิเคชัน Streaming หรือเว็บวิเคราะห์หุ้นต่างๆ ก็มีข้อมูลนี้เหมือนกันครับ

Q4: ในฐานะวัยรุ่นที่เพิ่งเริ่มศึกษา ควรให้ความสำคัญกับ D/E Ratio มากแค่ไหน?

A: ให้ความสำคัญมากๆ เลยครับ! พี่มองว่ามันเป็นหนึ่งใน ‘ด่านแรก’ ของการสแกนหุ้นเลย ถ้าบริษัทไหนมี D/E สูงผิดปกติเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม หรือมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่มีเหตุผลที่ดีพอ เราในฐานะมือใหม่ก็อาจจะข้ามหุ้นตัวนั้นไปก่อน เพื่อลดความเสี่ยง การเลือกหุ้นที่ ‘งบสวย หนี้ต่ำ’ ในช่วงเริ่มต้น จะช่วยให้เรานอนหลับได้สนิทใจกว่าเยอะเลย

สรุป: D/E Ratio คือเพื่อนคู่คิด ไม่ใช่ไม้บรรทัดวิเศษ

มาถึงตรงนี้ พี่หวังว่าน้องๆ จะเข้าใจเรื่อง D/E Ratio มากขึ้น และไม่กลัวตัวเลขพวกนี้อีกต่อไปแล้วนะ!

จำไว้เสมอว่า D/E Ratio ไม่ใช่ตัวเลขที่จะบอกว่าหุ้นตัวไหน ‘ดี’ หรือ ‘เลว’ ได้ในทันที แต่มันเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่ช่วยให้เรา ‘ตั้งคำถาม’ ที่ถูกต้องกับบริษัทนั้นๆ ว่า “ทำไมหนี้ถึงสูง?” “บริษัทจะเอาเงินจากไหนมาจ่ายคืน?” “การก่อหนี้นี้จะสร้างการเติบโตได้จริงมั้ย?”

การลงทุนก็เหมือนการเดินทาง การรู้จัก D/E Ratio ก็เหมือนการมีแผนที่ ที่ช่วยให้เราเห็นภาพรวมและหลีกเลี่ยงเส้นทางที่อันตรายเกินไป ค่อยๆ เรียนรู้ไปทีละก้าว ไม่ต้องรีบร้อน อนาคตทางการเงินที่ดีของพวกเราเริ่มต้นได้ตั้งแต่วันนี้เลย!

Most Popular

Categories