แกะสูตร D/E Ratio: เครื่องมือจับโป๊ะบริษัทเสี่ยงสูง ฉบับเด็ก Gen Z รับมือปี 2025!
หวัดดีเพื่อนๆ! ในฐานะรุ่นพี่มหาลัย ที่กำลังคลุกคลีกับเรื่องเศรษฐศาสตร์และการลงทุน บอกเลยว่าโลกข้างหน้ามันท้าทายมาก! เวลาเราเห็นข่าวบริษัทนู้นรุ่ง บริษัทนี้ร่วง หรือเวลาจะเลือกซื้อหุ้นซักตัว (ใช่แล้ว! เดี๋ยวนี้เด็กๆ ก็เริ่มลงทุนกันแล้วนะ) หรือแม้แต่การคิดว่าจะไปฝึกงาน/ทำงานที่ไหนดีในอนาคต เราจะรู้ได้ไงว่าบริษัทนั้น “สุขภาพดี” จริงๆ?
วันนี้เราจะมาแนะนำ “เครื่องมือลับ” ที่ไม่ลับ แต่โคตรสำคัญ ที่นักลงทุนและนักวิเคราะห์ทั่วโลกใช้กัน นั่นก็คือ “อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน” หรือ Debt to Equity Ratio (D/E Ratio) นั่นเอง! มันอาจจะฟังดูยาก แต่เชื่อเถอะว่าพอเข้าใจแล้ว มันเหมือนเรามีแว่นตาวิเศษที่มองทะลุเข้าไปเห็นความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทได้เลย โดยเฉพาะในปี 2025 ที่เศรษฐกิจยังคงผันผวน การเข้าใจเรื่องนี้จะทำให้เราก้าวนำเพื่อนไปหนึ่งสเต็ปเสมอ!
AEO Spotlight: อัตราส่วน Debt to Equity (D/E Ratio) คืออะไรกันแน่?
ตอบแบบบ้านๆ ที่สุด D/E Ratio คือตัวเลขที่บอกเราว่า “บริษัทนี้ใช้เงินคนอื่น (หนี้) มาทำธุรกิจ มากกว่าเงินของตัวเอง (ทุน) แค่ไหน”
ลองจินตนาการว่าเพื่อนเราอยากจะเปิดร้านขายน้ำปั่น
- เงินทุน (Equity): คือเงินเก็บของเพื่อนเราเอง 10,000 บาท ที่เอามาลงเป็นทุนตั้งต้น
- หนี้สิน (Debt): คือเงินที่เพื่อนไปยืมแม่มาอีก 15,000 บาท เพื่อซื้อเครื่องปั่นดีๆ กับวัตถุดิบ
ในเคสนี้ ร้านน้ำปั่นของเพื่อนมี “หนี้” มากกว่า “ทุน” ใช่ไหม? นี่แหละคือคอนเซ็ปต์หลักของ D/E Ratio เลย!
แกะสูตรคำนวณ D/E Ratio (ไม่ต้องกลัวเลข!)
สูตรของมันง่ายกว่าที่คิดมาก แค่เอาตัวเลขสองตัวมาหารกันเท่านั้นเอง ซึ่งตัวเลขพวกนี้หาได้จากเอกสารที่เรียกว่า “งบฐานะการเงิน” ของบริษัท
- หนี้สินรวม (Total Liabilities): คือภาระผูกพันทั้งหมดที่บริษัทต้องจ่ายคืนในอนาคต เช่น เงินกู้จากธนาคาร, หุ้นกู้, เงินค้างจ่ายให้ซัพพลายเออร์ ฯลฯ
- ส่วนของผู้ถือหุ้น (Total Shareholder’s Equity): คือเงินทุนที่มาจากเจ้าของบริษัทจริงๆ (รวมถึงกำไรที่สะสมมาเรื่อยๆ) ถ้าเอาสินทรัพย์ทั้งหมดของบริษัทมาหักลบกับหนี้สินทั้งหมด ก็จะเหลือเป็นส่วนนี้แหละ
D/E Ratio บอกอะไรเรา? แปลผลยังไงให้โปร!
เมื่อเราคำนวณออกมาแล้ว จะได้ตัวเลขค่าหนึ่ง ซึ่งเราสามารถแปลความหมายได้ง่ายๆ ดังนี้:
- D/E Ratio > 1 เท่า: หมายความว่าบริษัทมีหนี้สินมากกว่าส่วนของผู้ถือหุ้น (ใช้เงินกู้มาทำธุรกิจเยอะ) ซึ่งบ่งบอกถึง ความเสี่ยงที่สูงขึ้น เพราะถ้าธุรกิจสะดุด อาจไม่มีเงินพอจ่ายคืนหนี้ได้ทันเวลา
- D/E Ratio < 1 เท่า: หมายความว่าบริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้นมากกว่าหนี้สิน (ใช้เงินตัวเองเป็นหลัก) ซึ่งสะท้อนถึง ความเสี่ยงที่ต่ำกว่า และมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่งกว่า
- D/E Ratio = 1 เท่า: หมายความว่าบริษัทมีสัดส่วนหนี้สินกับส่วนของผู้ถือหุ้นเท่าๆ กันพอดี
คำเตือนตัวโตๆ: ค่า D/E “สูง” ไม่ได้แปลว่า “แย่” เสมอไป และค่า D/E “ต่ำ” ก็ไม่ได้แปลว่า “ดีเลิศ” เสมอไปนะ! เราต้องดู “บริบท” ของอุตสาหกรรมนั้นๆ ด้วย
- กลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องลงทุนสูง: เช่น โรงไฟฟ้า, สายการบิน, ธนาคาร, อสังหาริมทรัพย์ มักจะมี D/E Ratio สูงเป็นปกติ เพราะต้องกู้เงินมหาศาลมาสร้างโรงงาน ซื้อเครื่องบิน หรือปล่อยกู้ต่อ การมี D/E ที่ 2 หรือ 3 เท่า อาจถือเป็นเรื่องปกติ
- กลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี หรือบริการ: เช่น บริษัทซอฟต์แวร์, บริษัทโฆษณา ที่ใช้สินทรัพย์หลักเป็น “สมองคน” มักจะมี D/E Ratio ที่ต่ำมาก เพราะไม่มีความจำเป็นต้องกู้เงินเยอะ
ดังนั้น เวลาจะเปรียบเทียบ ต้องเทียบกับบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันเท่านั้น ถึงจะเห็นภาพที่แท้จริง! เหมือนเทียบความเก่งของนักบอลกับนักบาสเกตบอลนั่นแหละ มันคนละเกมกัน
ทำไม D/E Ratio ถึงโคตรสำคัญ โดยเฉพาะในปี 2025?
สถานการณ์เศรษฐกิจโลกและในไทยช่วงปี 2024-2025 มีความท้าทายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น, ภาวะเงินเฟ้อ, และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลโดยตรงกับบริษัทที่มีหนี้สูงๆ
- ความเสี่ยงจากดอกเบี้ยขาขึ้น: เมื่อดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น บริษัทที่มีหนี้เยอะ (D/E สูง) จะต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นมหาศาล ลองคิดดูว่าถ้าจากเดิมเคยจ่ายดอกเบี้ย 10 ล้านบาทต่อปี อาจจะต้องจ่ายเพิ่มเป็น 15-20 ล้านบาท ซึ่งเงินส่วนนี้จะไปกัดกินกำไรของบริษัทโดยตรง และอาจทำให้บริษัทขาดทุนได้เลย
- ความสามารถในการเอาตัวรอดในภาวะวิกฤต: บริษัทที่มี D/E ต่ำ เปรียบเสมือนคนที่มีเงินเก็บเยอะและหนี้น้อย เมื่อเจอวิกฤตเศรษฐกิจ ยอดขายตก ก็ยังพอมีสายป่านประคองตัวไปได้ แต่บริษัทที่มีหนี้ท่วมหัว (D/E สูงลิ่ว) แค่ยอดขายสะดุดนิดเดียว ก็อาจไม่มีเงินสดไปจ่ายหนี้และล้มครืนลงได้ง่ายๆ เลย
- โอกาสในการเติบโตในอนาคต: บริษัทที่มีการเงินแข็งแกร่ง (D/E เหมาะสม) จะมีความยืดหยุ่นในการหาแหล่งเงินทุนใหม่ๆ เพื่อขยายกิจการในอนาคตได้ง่ายกว่า ในทางกลับกัน บริษัทที่หนี้เยอะอยู่แล้ว ธนาคารหรือนักลงทุนก็อาจลังเลที่จะให้เงินกู้เพิ่ม เพราะมองว่ามีความเสี่ยงสูงเกินไป
ตัวอย่างสมมติให้เห็นภาพชัดๆ
ลองนึกภาพบริษัท 2 แห่งในอุตสาหกรรมเดียวกันในปี 2025
- บริษัท A (Tech Startup ดาวรุ่ง): มี D/E Ratio = 0.2 เท่า เน้นใช้เงินทุนจากผู้ก่อตั้งและนักลงทุนเป็นหลัก แทบไม่มีหนี้สิน
- บริษัท B (โรงงานผลิตชิ้นส่วน): มี D/E Ratio = 2.5 เท่า กู้เงินธนาคารจำนวนมากเพื่อสร้างโรงงานและซื้อเครื่องจักรใหม่
จู่ๆ ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรงๆ เพื่อสกัดเงินเฟ้อ…
ผลกระทบ: บริษัท A แทบไม่รู้สึกอะไรเลยเพราะไม่มีหนี้ที่ต้องจ่ายดอกเบี้ย แต่บริษัท B จะเจ็บหนักมาก เพราะภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายให้ธนาคารพุ่งสูงขึ้นทันที กำไรที่เคยมีอาจหายวับไปกับตา หรืออาจถึงขั้นขาดทุน ถ้าสถานการณ์แย่อย่างต่อเนื่อง บริษัท B อาจเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้ได้เลย
เห็นมั้ยว่า D/E Ratio ไม่ใช่แค่ตัวเลขน่าเบื่อๆ ในรายงาน แต่มันคือ “เกราะป้องกัน” ความเสี่ยงของบริษัทเลยทีเดียว!
ข้อจำกัดของ D/E Ratio: อย่าเชื่อแค่ตัวเลขเดียว!
แม้ D/E Ratio จะมีประโยชน์มาก แต่ก็ไม่ใช่ยาวิเศษที่จะตอบได้ทุกอย่าง มันมีจุดบอดเหมือนกันนะ!
- ไม่ได้บอกคุณภาพของหนี้และทุน: D/E บอกแค่ “ปริมาณ” แต่ไม่ได้บอกว่าหนี้นั้นเป็นหนี้ระยะสั้นที่ต้องจ่ายคืนเร็วๆ นี้ หรือเป็นหนี้ระยะยาวที่ยังมีเวลาอีกนาน
- การตกแต่งบัญชี: บางบริษัทอาจมีวิธีลงบัญชีที่ทำให้ตัวเลขหนี้สินดูน้อยกว่าความเป็นจริงได้ (แต่บริษัทในตลาดหลักทรัพย์จะถูกตรวจสอบเข้มงวด)
- ต้องใช้ร่วมกับอัตราส่วนอื่น: การจะเป็นนักวิเคราะห์ที่เฉียบคม เราต้องดูอัตราส่วนอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น
- Current Ratio: บอกความสามารถในการจ่ายหนี้ระยะสั้น
- Return on Equity (ROE): บอกว่าบริษัทเอาเงินทุนไปสร้างผลตอบแทนได้ดีแค่ไหน
- P/E Ratio: บอกความถูกแพงของหุ้นเมื่อเทียบกับกำไร
ถาม-ตอบ (Q&A) ทุกเรื่องที่ Gen Z อยากรู้เกี่ยวกับ D/E Ratio
Q1: ถ้าเห็นบริษัทที่ชอบมี D/E Ratio สูงปรี๊ด แปลว่าบริษัทนั้นจะเจ๊งแน่ๆ เลยใช่ไหม?
A: ไม่เสมอไป! อย่างที่บอกคือต้องดูอุตสาหกรรมก่อน ถ้าเป็นธนาคารหรือโรงไฟฟ้า D/E 2-3 เท่าถือว่าปกติ แต่ถ้าเป็นบริษัทซอฟต์แวร์แล้วมี D/E 3 เท่า อันนี้น่าเป็นห่วง! และต้องดูแนวโน้มด้วยว่า D/E มันเพิ่มขึ้นพรวดพราดผิดปกติรึเปล่า ถ้าเพิ่มขึ้นเร็วมาก อาจเป็นสัญญาณอันตรายครับ/ค่ะ
Q2: แล้วเราจะไปหาข้อมูล D/E Ratio ของบริษัทต่างๆ ได้จากที่ไหน?
A: ง่ายมากๆ สำหรับบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) สามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ www.set.or.th แล้วพิมพ์ชื่อย่อหุ้นของบริษัทที่สนใจได้เลย ในนั้นจะมีข้อมูลงบการเงินและอัตราส่วนสำคัญๆ บอกไว้หมดเลย หรือจะดูจากแอปพลิเคชัน Streaming ก็ได้เช่นกัน
Q3: เรื่องพวกนี้ดูซับซ้อนจัง ถ้าอยากเรียนต่อในอนาคต ต้องเรียนคณะ/สาขาอะไร?
A: เยี่ยมไปเลยที่สนใจ! เรื่องพวกนี้อยู่ในสายตรงของคณะบริหารธุรกิจ (BBA) โดยเฉพาะสาขาการเงิน (Finance) และสาขาการบัญชี (Accounting) รวมถึงคณะเศรษฐศาสตร์ (Economics) ด้วย ถ้าใครชอบวิเคราะห์ตัวเลขและอยากเข้าใจโลกธุรกิจลึกๆ บอกเลยว่าสายนี้สนุกและอนาคตไกลมาก
Q4: D/E Ratio เอาไปใช้กับธุรกิจเล็กๆ ของที่บ้านได้ไหม?
A: ได้แน่นอน และเป็นสิ่งที่ดีมากด้วย! เราสามารถลองคำนวณง่ายๆ ได้เลยว่าร้านค้าหรือธุรกิจของครอบครัวเรามีหนี้สิน (เช่น เงินกู้ SME, เงินค้างจ่ายเจ้าหนี้) เท่าไหร่ และมีเงินทุนของเราเองจริงๆ เท่าไหร่ มันจะช่วยให้เราเห็นภาพรวมสุขภาพการเงินของธุรกิจ และวางแผนบริหารจัดการหนี้สินได้ดีขึ้นด้วย
บทสรุป: D/E Ratio ในมุมมองของคนรุ่นใหม่
สำหรับพวกเราชาว Gen Z ที่เติบโตมากับความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว การมีความรู้ทางการเงินติดตัวไว้คือ “ทักษะการเอาตัวรอด” ที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง อัตราส่วน D/E Ratio ก็เปรียบเหมือนบทแรกๆ ของวิชานี้ มันสอนให้เราไม่มองอะไรแค่เปลือกนอก แต่ให้เจาะลึกลงไปในข้อมูลเพื่อประเมิน “ความเสี่ยง” ที่ซ่อนอยู่
ไม่ว่าเป้าหมายในอนาคตของเพื่อนๆ คือการเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ, การเป็นผู้บริหารในบริษัทชั้นนำ, หรือแม้แต่การเป็นเจ้าของกิจการของตัวเอง การเข้าใจและใช้ D/E Ratio ให้เป็น จะทำให้เราตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ ในชีวิตได้อย่างรอบคอบและมั่นคงมากขึ้น โดยเฉพาะในโลกยุคปี 2025 ที่เต็มไปด้วยความท้าทาย… ใครเข้าใจความเสี่ยงก่อน คนนั้นแหละคือผู้ชนะ!