ปัจจัยที่ส่งผลต่อ Current Ratio และ Quick Ratio ของธุรกิจไทยในยุคดิจิทัล

เจาะลึก! ปัจจัยที่ส่งผลต่อ Current Ratio และ Quick Ratio ของธุรกิจไทยในยุคดิจิทัล (ฉบับเข้าใจง่ายสำหรับ Gen Z!)

เฮ้ทุกคน! เคยสงสัยกันมั้ยว่าพวกร้านค้าออนไลน์ที่เรา CF ของกันรัวๆ หรือคาเฟ่เก๋ๆ ที่เราไปเช็คอิน เค้าจะรู้ได้ยังไงว่าตัวเอง “รอด” หรือ “ร่วง” ในแต่ละเดือน? ไม่ใช่แค่ดูว่าขายดีมั้ยนะ แต่มันมีอะไรที่ลึกกว่านั้น เหมือนการเช็คสุขภาพการเงินของธุรกิจนั่นเอง

วันนี้ในฐานะรุ่นพี่ (ที่ก็ยังเรียนอยู่เหมือนกัน 😅) จะมาเล่าเรื่องที่ดูเหมือนจะยากให้มันง่ายขึ้น กับสองฮีโร่ทางการเงินที่ชื่อว่า Current Ratio และ Quick Ratio ที่เป็นตัวชี้วัดความแข็งแกร่งระยะสั้นของธุรกิจ โดยเฉพาะกับธุรกิจไทยในยุคที่ทุกอย่างหมุนไปไวด้วยดิจิทัลแบบนี้ มาดูกันว่ามีอะไรมาป่วนค่าสองตัวนี้บ้าง!

Back to Basics: ทำความรู้จัก Current Ratio และ Quick Ratio กันก่อน

ก่อนจะไปดูปัจจัยต่างๆ เรามาทบทวนกันแบบเร็วๆ ก่อนว่าเจ้าสอง Ratio นี้มันคืออะไรกันแน่ นึกภาพตามนะว่ามันคือ “การวัดสภาพคล่อง” ของธุรกิจ

1. Current Ratio (อัตราส่วนทุนหมุนเวียน)

ตัวนี้เปรียบเหมือนการถามธุรกิจว่า “ถ้าตอนนี้ต้องจ่ายหนี้ระยะสั้นทั้งหมดที่มียังมีเงินพอจ่ายมั้ย?” มันคือการเอาสินทรัพย์ที่เปลี่ยนเป็นเงินสดได้ใน 1 ปี (สินทรัพย์หมุนเวียน) มาเทียบกับหนี้สินที่ต้องจ่ายใน 1 ปี (หนี้สินหมุนเวียน)

  • สูตร: Current Ratio = สินทรัพย์หมุนเวียน (Current Assets) / หนี้สินหมุนเวียน (Current Liabilities)
  • สินทรัพย์หมุนเวียน มีอะไรบ้าง?: เงินสด, เงินฝากธนาคาร, ลูกหนี้การค้า (คนที่ติดเงินเรา), และ สินค้าคงคลัง (Stock)
  • หนี้สินหมุนเวียน มีอะไรบ้าง?: เจ้าหนี้การค้า (คนที่เราติดเงิน), เงินกู้ระยะสั้น
  • ค่าที่ดีควรเป็นเท่าไหร่?: โดยทั่วไปแล้ว ค่าที่มากกว่า 1 แปลว่ามีปัญญาจ่ายหนี้ แต่ค่าที่เหมาะสมมักจะมองกันที่ประมาณ 1.5 – 2 เท่า แปลว่ามีสินทรัพย์หมุนเวียนเป็น 2 เท่าของหนี้สินระยะสั้น อุ่นใจหายห่วง!

2. Quick Ratio (อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว หรือ Acid-Test Ratio)

ตัวนี้โหดกว่า Current Ratio ขึ้นมาอีกสเต็ป! มันเหมือนการถามธุรกิจแบบจี้ๆ ว่า “ถ้าต้องจ่ายหนี้เดี๋ยวนี้! แบบด่วนจี๋เลย โดยที่ยังขายของในสต็อกไม่ทัน จะรอดมั้ย?” เพราะงั้นมันเลยตัดตัวปัญหาอย่าง “สินค้าคงคลัง” ออกไป เพราะบางทีของในสต็อกมันก็ไม่ได้ขายออกไปเป็นเงินสดได้ง่ายๆ

  • สูตร: Quick Ratio = (สินทรัพย์หมุนเวียน – สินค้าคงคลัง) / หนี้สินหมุนเวียน
  • ทำไมต้องลบสินค้าคงคลัง?: เพราะเสื้อผ้าแฟชั่นที่ตกรุ่น, เคสมือถือรุ่นเก่า หรือวัตถุดิบที่ใกล้หมดอายุ มันอาจจะขายไม่ออก หรือต้องขายลดราคาแบบขาดทุน การนับมูลค่าเต็มๆ ของมันจึงอาจไม่สะท้อนความจริง
  • ค่าที่ดีควรเป็นเท่าไหร่?: ค่าที่มากกว่า 1 ถือว่าดีมาก! แปลว่าต่อให้ขายของในสต็อกไม่ได้เลย ก็ยังมีเงินจ่ายหนี้ระยะสั้นได้สบายๆ

โอเค พอเข้าใจพื้นฐานแล้ว ทีนี้มาเข้าเรื่องหลักของเรากันเลยดีกว่า ว่าในยุคดิจิทัลแบบนี้…อะไรบ้างที่ส่งผลกระทบโดยตรงกับค่าสองตัวนี้ของธุรกิจในประเทศไทย

The Digital Tsunami: 5 ปัจจัยดิจิทัลที่เข้ามา สภาพคล่องธุรกิจไทย

ยุคดิจิทัลมันเปลี่ยนทุกอย่างจริงๆ ทั้งโอกาสและความเสี่ยง มาดูกันทีละข้อเลยว่ามันกระทบ Current Ratio และ Quick Ratio ของธุรกิจไทยยังไงบ้าง

1. E-commerce และ Social Commerce: ขายไว เงินเข้าช้า?

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าแพลตฟอร์มอย่าง Shopee, Lazada, TikTok Shop, LINE MyShop กลายเป็นสมรภูมิหลักของธุรกิจไทยไปแล้ว การขายของออนไลน์มีผลกระทบโดยตรงเลย

  • ผลกระทบต่อ Current Ratio:
    • ด้านบวก: ขายของได้เร็วขึ้นและมากขึ้น โอกาสเปลี่ยน สินค้าคงคลัง (Stock) เป็น ลูกหนี้การค้า (เงินที่รอจากแพลตฟอร์ม) หรือ เงินสด ได้เร็วขึ้น
    • ด้านลบ: ธุรกิจอาจต้องสต็อกของเยอะขึ้นเพื่อรองรับแคมเปญใหญ่ๆ (เช่น 11.11, 12.12) ทำให้ตัวเลข “สินค้าคงคลัง” บวมขึ้น ถ้าขายไม่หมดตามแผน Current Ratio อาจจะดูดี แต่จริงๆ แล้วเงินจมไปกับสต็อก
  • ผลกระทบต่อ Quick Ratio:
    • ตัวนี้จะเห็นภาพชัดเจนกว่า! ถ้าธุรกิจสต็อกของเยอะเกินไปเพื่อรอขายออนไลน์ พอเราตัดสินค้าคงคลังออกไปเพื่อคำนวณ Quick Ratio ค่ามันจะลดลงฮวบฮาบเลย นี่คือสัญญาณเตือนว่า “ถ้าของที่กองอยู่ขายไม่ออก…เราอาจจะแย่ได้นะ”
    • ประเด็นสำคัญ: เงินจากแพลตฟอร์ม E-commerce ไม่ได้เข้าทันที! ปกติจะมีรอบการจ่ายเงิน ซึ่งเงินก้อนนั้นจะค้างอยู่ในสถานะ “ลูกหนี้การค้า” ถ้าแพลตฟอร์มมีปัญหารอบจ่ายเงินช้า ก็จะกระทบสภาพคล่องของร้านค้าโดยตรง

2. Digital Marketing: ยิงแอดวันนี้ จ่ายเงินวันนี้ แต่ได้เงินคืนวันไหน?

การตลาดดิจิทัลคือหัวใจของการทำธุรกิจยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็นการยิงแอด Facebook, Google Ads, หรือจ้าง Influencer รีวิวสินค้า ซึ่งทั้งหมดนี้คือ “ค่าใช้จ่าย” ที่เกิดขึ้นทันที

  • ผลกระทบต่อ Current Ratio และ Quick Ratio:
    • เงินสดลดลงทันที: การจ่ายค่าแอดคือการเอา เงินสด (ส่วนหนึ่งของสินทรัพย์หมุนเวียน) ออกไป ทำให้ตัวตั้งของสมการทั้งสองตัวลดลง ถ้าจ่ายด้วยบัตรเครดิต มันก็จะไปเพิ่ม เจ้าหนี้การค้า/หนี้สินระยะสั้น แทน ซึ่งก็ทำให้ค่า Ratio ตกอยู่ดี
    • ความเสี่ยง: ถ้าแอดที่ยิงไป “ปัง” และสร้างยอดขายได้ถล่มทลาย เงินสดก็จะกลับมาในรูปของยอดขาย แต่ถ้าแอด “บ้ง” ยอดขายไม่เข้าเป้า นั่นหมายถึงเงินสดที่จ่ายไปแล้วหายไปเลย ทำให้สภาพคล่องลดลงอย่างน่าใจหาย นี่คือความเสี่ยงที่ธุรกิจออนไลน์ในไทยเจอกันทุกคน

3. FinTech และ Digital Payment: สะดวกเรา แต่เงินเข้ากระเป๋าเมื่อไหร่?

การมาของ FinTech ทำให้การจ่ายเงินง่ายขึ้นมาก ทั้ง QR Code Payment, E-Wallet (TrueMoney, Rabbit LINE Pay) และที่กำลังฮิตสุดๆ คือ Buy Now, Pay Later (BNPL) หรือ “ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง”

  • QR Code / E-Wallet: ส่วนใหญ่เงินจะเข้าบัญชีร้านค้าค่อนข้างเร็ว (อาจจะวันถัดไป) ช่วยเพิ่ม เงินสด ได้ดีกว่าการรับบัตรเครดิตแบบเดิมๆ ที่อาจใช้เวลาหลายวัน ทำให้ทั้ง Current และ Quick Ratio ดีขึ้น
  • Buy Now, Pay Later (BNPL):
    • สำหรับธุรกิจ: นี่คือดาบสองคม! ด้านหนึ่งมันช่วยกระตุ้นยอดขายได้ดีมาก เพราะลูกค้าตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น แต่เงินที่ควรจะได้เต็มจำนวน กลับกลายเป็น ลูกหนี้การค้า จากบริษัท BNPL แทน
    • ผลกระทบ: แม้ “ลูกหนี้การค้า” จะยังนับเป็นสินทรัพย์หมุนเวียน ทำให้ Current Ratio และ Quick Ratio ไม่ได้ลดลง แต่มันแฝงความเสี่ยงและความล่าช้า เพราะธุรกิจต้องรอเงินจากผู้ให้บริการ BNPL และยังต้องเสียค่าธรรมเนียมอีกด้วย เงินสดในมือจริงๆ อาจจะไม่ได้เพิ่มขึ้นทันที

4. Gig Economy และ On-Demand Services: จ้างนอกสะดวก แต่ต้องมีเงินสดพร้อมจ่าย

ธุรกิจสมัยนี้ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ๆ พึ่งพาบริการจาก Gig Economy เยอะมาก เช่น ร้านอาหารใช้ LINE MAN, GrabFood, ร้านค้าออนไลน์ใช้ Outsource แอดมิน หรือจ้างฟรีแลนซ์ทำการตลาด

  • ผลกระทบ: ธุรกิจไม่ต้องแบกรับต้นทุนพนักงานประจำ (ลดหนี้สินระยะยาว) แต่ต้องมี เงินสด พร้อมจ่ายค่าบริการเหล่านี้ ซึ่งมักจะเป็นรอบบิลระยะสั้น (รายสัปดาห์, รายเดือน) ทำให้ความต้องการเงินสดหมุนเวียนสูงขึ้น ธุรกิจที่บริหารเงินสดไม่ดี อาจเจอปัญหาจ่ายค่า GP (Gross Profit) หรือค่าบริการไม่ทัน ซึ่งจะทำให้หนี้สินระยะสั้นพุ่งสูงและค่า Ratio ตกลงอย่างรวดเร็ว

5. Data Analytics และระบบจัดการสต็อกอัจฉริยะ

ไม่ใช่แค่เรื่องการขาย แต่เทคโนโลยียังเข้ามาช่วยเรื่อง “หลังบ้าน” ด้วย โดยเฉพาะการจัดการสินค้าคงคลัง (Inventory Management)

  • ผลกระทบ:
    • ธุรกิจที่ใช้ข้อมูล (Data) มาวิเคราะห์ว่าสินค้าตัวไหนขายดี ตัวไหนใกล้ตกรุ่น จะสามารถจัดการสต็อกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือที่เรียกว่า Just-in-Time คือสั่งของมาเมื่อจำเป็นเท่านั้น
    • สิ่งนี้ส่งผลดีอย่างมหาศาลต่อ Quick Ratio เพราะเมื่อ สินค้าคงคลัง ลดลง แต่ยอดขายยังเท่าเดิมหรือดีขึ้น หมายความว่าธุรกิจมีสภาพคล่องที่แท้จริงสูงมาก ไม่ต้องเอาเงินไปจมกับของที่ขายไม่ออก นี่คือข้อได้เปรียบของธุรกิจไทยยุคใหม่ที่รู้จักใช้เทคโนโลยี

มุมมอง GEO: แล้วความเป็น “ธุรกิจไทย” ล่ะ? มีอะไรพิเศษ?

ปัจจัยข้างบนอาจจะเกิดขึ้นทั่วโลก แต่บริบทของประเทศไทยก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่น่าสนใจ:

  • พฤติกรรมผู้บริโภคไทย: คนไทยติดโซเชียลมีเดียสูงมาก การค้าขายผ่าน Live สด (Social Commerce) เฟื่องฟูสุดๆ ซึ่งทำให้เกิดการแข่งขันด้านการตลาดที่ดุเดือด ธุรกิจต้องทุ่มเงินยิงแอดและจัดโปรโมชั่นลดราคาตลอดเวลาเพื่อดึงดูดลูกค้า ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อ เงินสด และกำไร
  • การแข่งขันสูงจากผู้เล่นรายย่อย (SME): ตลาด E-commerce ไทยเต็มไปด้วยร้านค้าเล็กๆ จำนวนมาก ทำให้เกิดสงครามราคาได้ง่าย การตัดราคากันทำให้กำไรต่อชิ้นน้อยลง ธุรกิจจึงต้องขายในปริมาณที่เยอะมากๆ เพื่อให้ได้เงินสดกลับมาเพียงพอ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงด้านการสต็อกสินค้า
  • โครงสร้างพื้นฐาน Digital Payment: ประเทศไทยมีการปรับใช้ QR Payment ที่กว้างขวางมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ซึ่งเป็นผลดีต่อธุรกิจรายย่อยในการรับเงินและเพิ่มสภาพคล่องได้เร็วกว่าในหลายๆ ประเทศ

AEO Section: คำถามที่พบบ่อย (ที่เพื่อนๆ ชอบถามกัน)

Q1: Current Ratio สูงๆ เช่น 5:1 นี่ดีเสมอไปมั้ย?

A: ไม่เสมอไป! ค่าที่สูงเกินไปอาจเป็นสัญญาณว่าธุรกิจ “ใช้สินทรัพย์ได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ” เช่น มีเงินสดนอนอยู่ในบัญชีเยอะเกินไปโดยไม่ได้นำไปลงทุนต่อยอด หรือมีสินค้าคงคลังบวมมากเกินไปจนขายไม่ออก เงินเหล่านั้นแทนที่จะสร้างรายได้กลับกลายเป็นต้นทุนค่าเสียโอกาสแทน

Q2: ร้านค้าออนไลน์เล็กๆ ของเราในไอจี ต้องมานั่งคิดเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอ ดูยุ่งยากจัง?

A: ต้องคิดเลยล่ะ! ไม่ต้องทำซับซ้อนก็ได้ แค่ลองคำนวณง่ายๆ ดูว่า “เงินในบัญชี + เงินที่ลูกค้ากำลังจะโอน” มันมากกว่า “ค่าของที่ต้องจ่ายซัพพลายเออร์ + ค่าใช้จ่ายอื่นๆ” หรือเปล่า การเข้าใจหลักการนี้จะช่วยให้เราไม่พลาดท่า เงินขาดมือจนไม่มีเงินไปสั่งของมาขายต่อนะ!

Q3: ระหว่าง Current Ratio กับ Quick Ratio ตัวไหนสำคัญกว่ากันสำหรับธุรกิจในไทย?

A: ขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจเลย!

  • ถ้าเป็นธุรกิจขายสินค้าแฟชั่น, อุปกรณ์ IT, หรือของกิน ที่มีวันหมดอายุ Quick Ratio จะสำคัญมาก เพราะมันสะท้อนความจริงได้ดีกว่าในกรณีที่สินค้าตกรุ่นหรือขายไม่ออก
  • ถ้าเป็นธุรกิจบริการ เช่น รับทำการตลาดออนไลน์, รับออกแบบกราฟิก ที่แทบไม่มีสินค้าคงคลังเลย ค่า Current Ratio กับ Quick Ratio จะใกล้เคียงกันมาก ในกรณีนี้ดูตัวไหนก็ได้

Q4: ถ้ารู้ตัวว่า Ratio ของธุรกิจเราต่ำเกินไป ควรทำยังไงดี?

A: มีหลายวิธีเลย! ลองดูแนวทางนี้:

  1. เร่งเก็บเงินจากลูกหนี้: ตามเก็บเงินจากลูกค้าที่ค้างจ่ายให้เร็วขึ้น
  2. บริหารสต็อกให้ดี: จัดโปรโมชั่นระบายสินค้าที่ค้างสต็อกนานๆ ออกไปเป็นเงินสด
  3. เจรจากับเจ้าหนี้: ลองต่อรองขอขยายเวลาชำระเงินกับซัพพลายเออร์ออกไป (แต่อย่าให้เสียเครดิตนะ!)
  4. ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น: ตรวจสอบค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้วตัดส่วนที่ไม่สำคัญออกไปก่อน
  5. หาเงินทุนระยะสั้น: อาจจะเป็นการกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงินเพื่อมาเสริมสภาพคล่องชั่วคราว

สรุปส่งท้าย: Ratio ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่คือเข็มทิศนำทาง

สำหรับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่ฝันอยากจะมีธุรกิจเป็นของตัวเองในยุคนี้ การเข้าใจ Current Ratio และ Quick Ratio ไม่ใช่เรื่องของนักบัญชีอีกต่อไป แต่มันคือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เรารู้จัก “สุขภาพการเงิน” ของกิจการตัวเอง

ยุคดิจิทัลสร้างโอกาสให้เราเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายขึ้นก็จริง แต่มันก็มาพร้อมกับความท้าทายใหม่ๆ ที่ส่งผลต่อกระแสเงินสดของเราโดยตรง ทั้งค่าการตลาดที่สูงขึ้น, การแข่งขันที่รุนแรง และรูปแบบการรับเงินที่เปลี่ยนไป การที่เราจับตาดู Ratio สองตัวนี้อยู่เสมอ จะเป็นเหมือนเข็มทิศที่คอยบอกว่าธุรกิจของเรากำลังเดินไปถูกทางหรือไม่ หรือถึงเวลาที่ต้องปรับกลยุทธ์เพื่อความอยู่รอดแล้ว

ลองเอาความรู้วันนี้ไปปรับใช้ ลองคำนวณเล่นๆ กับธุรกิจในฝันของเราดูสิ แล้วจะรู้ว่าการเงินธุรกิจมันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด!

Most Popular

Categories