ความยั่งยืนและ ESG : อนาคต ‘นักบัญชีหัวใจบริหาร’ ที่ Gen Z ต้องรู้
ภาพประกอบ: กลุ่มคนรุ่นใหม่กำลังประชุมเรื่องกลยุทธ์ความยั่งยืนในออฟฟิศ
เฮ้! น้องๆ ชาว Gen Z ทุกคน เคยรู้สึกมั้ยว่าพอพูดถึงคำว่า “นักบัญชี” ภาพในหัวคือคนใส่แว่นหนาเตอะ นั่งจมอยู่กับกองเอกสาร ตัวเลข เดบิต-เครดิต วุ่นวายไปหมด? ถ้าเคย… พี่อยากจะบอกว่า “ลบภาพนั้นทิ้งไปได้เลย!” เพราะวันนี้โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว และบทบาทของนักบัญชีก็เปลี่ยนไปแบบพลิกฝ่ามือ โดยเฉพาะสายงานที่โคตรคูลอย่าง “นักบัญชีบริหาร (Management Accountant)” ที่ตอนนี้กลายเป็นตัวละครลับสุดสำคัญในการขับเคลื่อนโลกสู่ความยั่งยืน!
บทความนี้ พี่ในฐานะรุ่นพี่ที่คลุกคลีกับเรื่องนี้ จะพาน้องๆ ไปเจาะลึกกันว่าทำไม ความยั่งยืน (Sustainability) และ ESG ถึงกลายมาเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจ และทำไมนักบัญชีบริหารถึงเป็นฮีโร่คนใหม่ที่ทุกองค์กรต้องการตัว พร้อมตอบทุกคำถามที่น้องๆ สงสัย เตรียมตัวให้พร้อม แล้วไปดูกันเลยว่าอนาคตของสายบัญชีมันจี๊ดแค่ไหน!
บัญชี ไม่ใช่แค่ “คนคุมเงิน” แต่คือ “คนวางกลยุทธ์”
ก่อนจะไปไกลถึงเรื่อง ESG เรามาปรับความเข้าใจกันก่อน คำว่า “นักบัญชี” ไม่ได้มีแค่แบบเดียวนะ ส่วนใหญ่ที่เราคุ้นเคยกันคือ นักบัญชีการเงิน (Financial Accountant) ที่จะเน้นการบันทึกตัวเลขในอดีต ทำงบการเงินให้ถูกต้องตามมาตรฐาน เพื่อรายงานให้คนนอกบริษัท (เช่น นักลงทุน, กรมสรรพากร) ดู
แต่ที่เราจะโฟกัสกันวันนี้คือ นักบัญชีบริหาร (Management Accountant) หรือบางทีก็เรียกว่า นักบัญชีเพื่อการจัดการ คนกลุ่มนี้เปรียบเสมือน “เนวิเกเตอร์” ขององค์กรเลยล่ะ พวกเขาไม่ได้มองแค่ตัวเลขในอดีต แต่นำข้อมูลทางการเงินและ ข้อมูลที่ไม่ใช่การเงิน มาวิเคราะห์เพื่อช่วยผู้บริหารตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ ในอนาคต เช่น
- สินค้าตัวนี้ควรตั้งราคาเท่าไหร่ถึงจะคุ้ม?
- ควรลงทุนในโปรเจกต์ใหม่นี้ดีไหม?
- จะลดต้นทุนตรงไหนได้บ้าง โดยไม่กระทบคุณภาพ?
- เทรนด์ของตลาดกำลังไปทางไหน บริษัทเราต้องปรับตัวยังไง?
เห็นมั้ย? มันคือการเอาตัวเลขมา “เล่าเรื่อง” และ “สร้างอนาคต” ไม่ใช่แค่การบันทึกเฉยๆ และนี่คือจุดที่ทำให้เรื่องของ ESG เข้ามามีบทบาทสำคัญสุดๆ
ESG คืออะไร? ทำไมโลกถึงต้องแคร์
ภาพประกอบ: อินโฟกราฟิกอธิบายหลักการ 3 ด้านของ ESG (E, S, G)
น้องๆ คงเคยได้ยินคำว่า ESG ผ่านหูมาบ้างตามข่าวหรือโซเชียลมีเดีย มันไม่ใช่แค่เทรนด์แฟชั่นนะ แต่เป็น “มาตรฐานใหม่” ของโลกธุรกิจที่ทุกคนต้องให้ความสำคัญ ESG ย่อมาจาก:
E = Environment (สิ่งแวดล้อม)
นี่คือเรื่องของการดูแลโลกใบนี้ที่พวกเราอาศัยอยู่ บริษัทที่ใส่ใจเรื่อง E จะต้องดูว่าการดำเนินธุรกิจของพวกเขาส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมยังไงบ้าง และจะลดผลกระทบนั้นได้อย่างไร
- การปล่อยก๊าซเรือนกระจก: บริษัทใช้พลังงานเยอะแค่ไหน? จะเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาดอย่างโซลาร์เซลล์ได้มั้ย?
- การจัดการขยะและมลพิษ: มีแผนจัดการขยะพลาสติกจากสินค้าของตัวเองยังไง? ลดการใช้น้ำในกระบวนการผลิตได้แค่ไหน?
- การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ: ใช้วัตถุดิบจากป่าที่ปลูกทดแทนหรือไม่? มีการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่โรงงานหรือเปล่า?
ตัวอย่างง่ายๆ: แบรนด์เสื้อผ้าที่เลือกใช้ผ้าฝ้ายออร์แกนิก หรือบริษัทขนส่งที่เปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า ก็คือการใส่ใจเรื่อง E นั่นเอง
S = Social (สังคม)
นี่คือการดูแล “คน” ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ตั้งแต่พนักงานในบริษัท ลูกค้า ไปจนถึงชุมชนรอบข้าง
- สิทธิมนุษยชนและแรงงาน: จ้างงานอย่างเป็นธรรมรึเปล่า? สภาพแวดล้อมในการทำงานปลอดภัยมั้ย? มีการกดขี่แรงงานในซัพพลายเชนหรือไม่?
- ความหลากหลายและเท่าเทียม: เปิดโอกาสให้คนทุกเพศ ทุกวัย ทุกความเชื่อ อย่างเท่าเทียมกันในองค์กรหรือไม่?
- ความสัมพันธ์กับชุมชน: บริษัทคืนอะไรให้กับสังคมบ้าง? มีโปรเจกต์ช่วยเหลือโรงเรียน หรือพัฒนาชุมชนรอบๆ ที่ตั้งบริษัทรึเปล่า?
- ความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์: สินค้าที่ขายให้เราๆ ปลอดภัยต่อการใช้งานแค่ไหน?
ตัวอย่างง่ายๆ: บริษัทที่ให้สวัสดิการดีเยี่ยมกับพนักงาน มีนโยบายลาคลอดที่แฟร์กับทุกเพศ หรือแบรนด์กาแฟที่รับซื้อเมล็ดกาแฟจากเกษตรกรในราคาที่เป็นธรรม
G = Governance (ธรรมาภิบาล)
คำนี้อาจจะดูยากสุด แต่จริงๆ แล้วมันคือ “การบริหารจัดการที่ดี” เป็นเหมือนกฎกติกาที่ทำให้บริษัทดำเนินงานอย่างโปร่งใส มีจริยธรรม และตรวจสอบได้
- ความโปร่งใส: เปิดเผยข้อมูลสำคัญๆ ให้ผู้ถือหุ้นและสาธารณชนรับรู้หรือไม่?
- การต่อต้านคอร์รัปชัน: มีนโยบายชัดเจนเรื่องการไม่รับสินบนหรือไม่?
- โครงสร้างคณะกรรมการ: มีการบริหารจัดการที่เป็นอิสระ ตรวจสอบกันได้ ไม่ใช่ทำอะไรตามใจเจ้าของคนเดียว
- จริยธรรมทางธุรกิจ: แข่งขันอย่างเป็นธรรม ไม่เอาเปรียบคู่ค้าหรือลูกค้า
ตัวอย่างง่ายๆ: บริษัทที่มีการรายงานผลประกอบการอย่างตรงไปตรงมา และมีช่องทางให้พนักงานร้องเรียนเรื่องที่ไม่ถูกต้องได้อย่างปลอดภัย
นักบัญชีบริหาร + ESG = ฮีโร่คนใหม่ขององค์กร
แล้วนักบัญชีบริหารไปเกี่ยวอะไรกับเรื่องทั้งหมดนี้? บอกเลยว่าเกี่ยวเต็มๆ! ในเมื่อธุรกิจต้องใส่ใจเรื่องที่ไม่ใช่แค่ “กำไร” (Profit) แต่ยังต้องแคร์เรื่อง “ผู้คน” (People) และ “โลก” (Planet) ด้วย… ใครล่ะจะเป็นคน “วัดผล” สิ่งเหล่านี้?
คำตอบก็คือนักบัญชีบริหารยุคใหม่นี่แหละ!
บทบาทของพวกเขาขยายจากการนับแค่ “เงิน” ไปสู่การนับ “ทุกอย่าง” ที่มีความสำคัญต่อความยั่งยืนของบริษัท พวกเขาต้องตอบคำถามที่ซับซ้อนขึ้นเยอะมาก เช่น
1. “วัดผล” ที่ไม่ใช่แค่ตัวเงิน (Measurement)
แทนที่จะดูแค่งบกำไรขาดทุน นักบัญชีบริหารต้องหาวิธีวัดผลและเก็บข้อมูลด้าน ESG ด้วย เช่น
- ปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Footprint) ของทั้งบริษัทเป็นเท่าไหร่?
- อัตราการเกิดอุบัติเหตุของพนักงานลดลงกี่เปอร์เซ็นต์?
- บริษัทลงทุนกับโครงการเพื่อสังคมไปกี่บาท และสร้างผลกระทบเชิงบวกได้แค่ไหน?
- ชั่วโมงการอบรมที่พนักงานได้รับในเรื่องความหลากหลายและความเท่าเทียมมีเท่าไหร่?
ข้อมูลเหล่านี้กลายเป็น “สินทรัพย์” ที่สำคัญไม่แพ้เงินในบัญชีเลย
2. “วิเคราะห์” ความเสี่ยงและโอกาส (Analysis)
เมื่อมีข้อมูลแล้ว ก็ต้องนำมาวิเคราะห์ต่อ เช่น การที่รัฐบาลไทยกำลังจะออกมาตรการภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนของบริษัทเราเท่าไหร่? หรือการที่ผู้บริโภค Gen Z อย่างพวกเราหันมาสนับสนุนสินค้า Eco-Friendly มากขึ้น ถือเป็น “โอกาส” ทางธุรกิจใหม่ๆ ที่บริษัทควรลงทุนหรือไม่? นักบัญชีบริหารต้องเปลี่ยนความเสี่ยงให้เป็นโอกาส และหาทางเลือกที่ดีที่สุดให้ผู้บริหาร
3. “รายงาน” อย่างโปร่งใส (Reporting)
สมัยนี้ แค่รายงานงบการเงินอย่างเดียวไม่พอแล้ว นักลงทุนและลูกค้าทั่วโลกอยากเห็น “รายงานความยั่งยืน (Sustainability Report)” ซึ่งนักบัญชีบริหารจะมีบทบาทสำคัญในการรวบรวมข้อมูล ESG ทั้งหมด มาจัดทำเป็นรายงานที่น่าเชื่อถือและตรวจสอบได้ เพื่อสื่อสารให้คนนอกรู้ว่าบริษัทกำลังทำอะไรเพื่อโลกและสังคมบ้าง
4. “วางกลยุทธ์” เพื่ออนาคต (Strategy)
นี่คือส่วนที่คูลที่สุด! นักบัญชีบริหารจะนำข้อมูลเชิงลึกทั้งหมดที่วิเคราะห์ได้ ไปนั่งคุยกับผู้บริหารระดับสูงเพื่อวางกลยุทธ์ระยะยาว เช่น “เราควรลงทุน 50 ล้านบาทในโรงงานเพื่อติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ไหม? มันจะคืนทุนในกี่ปี และจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แบรนด์เราได้อย่างไร?” พวกเขาไม่ใช่แค่คนทำตามคำสั่ง แต่เป็น Strategic Partner ที่ร่วมตัดสินใจทิศทางของบริษัทเลยทีเดียว
ส่องเทรนด์ในไทย : บริษัทใหญ่ๆ และมหาวิทยาลัยตื่นตัวแล้ว!
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวหรือเรื่องของต่างประเทศนะ ในประเทศไทยเอง บริษัทใหญ่ๆ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่าง SCG, PTT, CP All, หรือ Thai Union ต่างก็ให้ความสำคัญกับ ESG อย่างจริงจัง มีการจัดทำรายงานความยั่งยืน และตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและดูแลสังคม นั่นหมายความว่าความต้องการ “นักบัญชีบริหารที่เข้าใจเรื่อง ESG” ในตลาดงานบ้านเรากำลังพุ่งสูงขึ้นมากๆ
ในฝั่งของมหาวิทยาลัย คณะบัญชีฯ ชั้นนำอย่าง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็เริ่มมีการปรับปรุงหลักสูตร สอดแทรกเนื้อหาเกี่ยวกับความยั่งยืนและ ESG เข้าไปมากขึ้น เพื่อเตรียมนิสิตนักศึกษาให้พร้อมสำหรับโลกการทำงานยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไป
บทสรุป: จากผู้บันทึกอดีต สู่ผู้สร้างอนาคต
โลกกำลังเปลี่ยน และวิชาชีพบัญชีก็กำลังวิวัฒนาการอย่างก้าวกระโดด บทบาทของนักบัญชีบริหารในวันนี้ ไม่ใช่แค่การนั่งเฝ้าตัวเลขในอดีตอีกต่อไป แต่พวกเขาคือ สถาปนิกผู้ออกแบบอนาคตที่ยั่งยืนขององค์กร
สำหรับน้องๆ Gen Z ที่มีความฝันอยากจะทำงานที่สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีให้กับโลกใบนี้ แต่ก็ยังชอบการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ… พี่บอกเลยว่าเส้นทางของ “นักบัญชีบริหารหัวใจ ESG” คือหนึ่งในคำตอบที่น่าสนใจที่สุด มันคือการผสมผสานที่ลงตัวระหว่าง Hard Skills (การวิเคราะห์ตัวเลข) และ Heart Skills (ความใส่ใจในผู้คนและโลก) นี่คือโอกาสที่เราจะได้เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างธุรกิจที่ดีกว่า เพื่อโลกที่ดีกว่าสำหรับคนรุ่นต่อไป
แล้วน้องๆ ล่ะ พร้อมที่จะเป็นนักบัญชี… ที่จะเปลี่ยนโลกแล้วหรือยัง?
















