แนวโน้มกฎหมายการรายงานและเปิดเผยข้อมูลด้านบรรษัทภิบาลสำหรับธุรกิจไทย

แนวโน้มกฎหมายการรายงานและเปิดเผยข้อมูลด้านบรรษัทภิบาลสำหรับธุรกิจไทย

เจาะลึก! แนวโน้มกฎหมายบรรษัทภิบาล: อนาคตของธุรกิจไทยที่บัณฑิตปริญญาตรีบัญชีต้องรู้

ในโลกของธุรกิจที่หมุนไปอย่างรวดเร็ว คำว่า “บรรษัทภิบาล” (Corporate Governance) ไม่ได้เป็นเพียงแค่คำสวยหรูในรายงานประจำปีอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญที่กำหนดทิศทางความยั่งยืนและความน่าเชื่อถือขององค์กร กฎหมายและข้อบังคับใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลกและในประเทศไทยกำลังผลักดันให้การรายงานและเปิดเผยข้อมูลด้านนี้มีความเข้มข้นขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นี่คือความท้าทายและโอกาสครั้งสำคัญสำหรับนักบัญชียุคใหม่ โดยเฉพาะผู้ที่กำลังศึกษาหรือสำเร็จการศึกษาในหลักสูตรปริญญาตรีบัญชี ที่จะต้องมีความรู้ความเข้าใจในมิติที่ลึกซึ้งกว่าแค่ตัวเลขทางการเงิ

1. “บรรษัทภิบาล” ในยุคใหม่: ไม่ใช่แค่เรื่องของความโปร่งใส

ในอดีต บรรษัทภิบาล อาจถูกมองว่าเป็นเพียงกลไกการกำกับดูแลเพื่อให้เกิดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ในการดำเนินงาน แต่ปัจจุบันนิยามของมันได้ขยายขอบเขตกว้างขึ้นมาก โดยครอบคลุมถึงหลักการดำเนินงานที่คำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย (Stakeholders) ไม่ว่าจะเป็นพนักงาน ลูกค้า คู่ค้า ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม มันคือการสร้างสมดุลระหว่างผลกำไร การเติบโต และความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของความยั่งยืนในระยะยาว

2. 4 แนวโน้มกฎหมายการรายงานด้านบรรษัทภิบาลที่ธุรกิจไทยต้องจับตา

แนวโน้มด้านกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการรายงานข้อมูลของธุรกิจกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ นี่คือ 4 เทรนด์หลักที่นักบัญชีและผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญ

2.1 การผนวก ESG เข้าเป็นส่วนหนึ่งของรายงานหลัก

ESG ซึ่งย่อมาจาก Environment (สิ่งแวดล้อม), Social (สังคม), และ Governance (ธรรมาภิบาล) ได้กลายเป็นมาตรฐานสากลในการวัดผลการดำเนินงานที่ยั่งยืนขององค์กร ประเทศไทยเองก็ได้ผลักดันให้บริษัทจดทะเบียนต้องเปิดเผยข้อมูล ESG ในรายงานประจำปี หรือที่เรียกว่า “56-1 One Report” ซึ่งเป็นการรวมข้อมูลทางการเงินและข้อมูลที่ไม่ใช่ทางการเงินเข้าไว้ด้วยกัน นี่คือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าความรับผิดชอบต่อสังคม หรือ CSR (Corporate Social Responsibility) ได้ถูกยกระดับสู่การเป็นตัวชี้วัดที่เป็นรูปธรรม

2.2 ความเข้มงวดในการเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate-related Risks)

กระแสโลกกำลังมุ่งไปที่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ส่งผลให้หน่วยงานกำกับดูแลเริ่มกำหนดให้ธุรกิจต้องเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งในด้านกายภาพ (เช่น น้ำท่วม, ภัยแล้ง) และด้านการเปลี่ยนผ่าน (เช่น การเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาด) นักบัญชีจึงต้องมีทักษะในการประเมินและรายงานผลกระทบเหล่านี้ในเชิงปริมาณ

2.3 การให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนตลอดห่วงโซ่อุปทาน

กฎหมายในหลายประเทศเริ่มบังคับให้บริษัทขนาดใหญ่ต้องตรวจสอบและรายงานเกี่ยวกับการเคารพสิทธิมนุษยชนในตลอดทั้ง Supply Chain ของตนเอง ซึ่งหมายความว่าธุรกิจไทยที่ทำการค้ากับต่างประเทศจะต้องมีกระบวนการตรวจสอบคู่ค้าอย่างเข้มงวดมากขึ้น และต้องสามารถเปิดเผยข้อมูลนี้ได้อย่างโปร่งใส

2.4 บทบาทของคณะกรรมการตรวจสอบ (Audit Committee) ที่เพิ่มขึ้น

คณะกรรมการตรวจสอบจะมีบทบาทสำคัญในการสอบทานความถูกต้องและน่าเชื่อถือของข้อมูลที่ไม่ใช่ตัวเลขทางการเงิน เช่น ข้อมูล ESG ซึ่งเป็นไปตาม หลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีสำหรับบริษัทจดทะเบียน (CG Code) ที่ออกโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

3. ทำไมหลักสูตรปริญญาตรีบัญชี ม.ศรีปทุม (SPU) จึงเน้นเรื่องความรับผิดชอบและบรรษัทภิบาล?

ในฐานะสถาบันการศึกษาชั้นนำ คณะบัญชี ม.ศรีปทุม (SPU) ตระหนักดีว่าบทบาทของนักบัญชีได้เปลี่ยนไปแล้ว เราไม่ได้สร้างเพียงนักบันทึกตัวเลข แต่เราสร้าง “นักวางกลยุทธ์ด้านการเงินและธรรมาภิบาล” ให้กับองค์กร

  • หลักสูตรที่ทันสมัย: เนื้อหาการเรียนการสอนในหลักสูตรปริญญาตรีบัญชีของ SPU ได้ผนวกความรู้ด้านบรรษัทภิบาล, CSR, และการรายงานความยั่งยืน (Sustainability Reporting) เข้าไว้เป็นส่วนสำคัญ เพื่อให้นักศึกษามีความพร้อมสำหรับโลกการทำงานจริง
  • เรียนกับตัวจริง ประสบการณ์จริง: ผ่านการเรียนรู้จากอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญและวิทยากรจากองค์กรชั้นนำ ทำให้นักศึกษาเข้าใจมุมมองภาคปฏิบัติของการนำหลักบรรษัทภิบาลไปใช้ในธุรกิจ
  • ปลูกฝังจรรยาบรรณ: เราเน้นย้ำเรื่องจรรยาบรรณวิชาชีพ ซึ่งเป็นรากฐานของความรับผิดชอบและธรรมาภิบาล บัณฑิตที่จบจากที่นี่จึงเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพและเป็นที่ไว้วางใจขององค์กร

การเตรียมความพร้อมให้นักศึกษาเข้าใจเทรนด์เหล่านี้ คือการสร้างความได้เปรียบในตลาดแรงงาน และเป็นเหตุผลว่าทำไม หลักสูตรปริญญาตรีบัญชี ที่ ม.ศรีปทุม จึงเป็นคำตอบสำหรับผู้ที่ต้องการก้าวสู่การเป็นนักบัญชียุคใหม่ที่ประสบความสำเร็จ

4. สรุป: ก้าวต่อไปของธุรกิจและนักบัญชียุคใหม่

แนวโน้มกฎหมายด้านบรรษัทภิบาลและการรายงานข้อมูลที่ยั่งยืนไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นมาตรฐานใหม่ของการดำเนินธุรกิจทั่วโลก นักบัญชีคือบุคลากรด่านหน้าที่จะต้องทำความเข้าใจ ตีความ และรายงานข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ การเลือกสถาบันการศึกษาที่เข้าใจและเตรียมความพร้อมให้นักศึกษาในเรื่องนี้โดยตรงอย่าง คณะบัญชี ม.ศรีปทุม (SPU) จึงเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนอย่างแท้จริง

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q1: บรรษัทภิบาล (Corporate Governance) คืออะไร และสำคัญต่อธุรกิจอย่างไร?

A1: บรรษัทภิบาล คือ หลักการและกลไกในการกำกับดูแลและบริหารจัดการองค์กรให้ดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส เป็นธรรม และมีความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม มีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ลดความเสี่ยงในการดำเนินงาน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และนำไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืนของธุรกิจ

Q2: นักศึกษาปริญญาตรีบัญชีจำเป็นต้องเรียนรู้เรื่อง CSR และ ESG หรือไม่?

A2: จำเป็นอย่างยิ่งครับ ในปัจจุบันข้อมูลด้าน CSR และ ESG ถูกผนวกเข้าไปในรายงานทางการเงินและรายงานความยั่งยืนของบริษัท นักบัญชียุคใหม่ต้องสามารถตรวจสอบ วัดผล และรายงานข้อมูลเหล่านี้ได้ ซึ่งเป็นทักษะที่มีมูลค่าสูงและเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน การมีความรู้ความเข้าใจเรื่องนี้จะทำให้นักศึกษาปริญญาตรีบัญชีมีความโดดเด่นและพร้อมสำหรับตำแหน่งงานที่ท้าทายมากขึ้น

Q3: ธุรกิจ SME จำเป็นต้องทำรายงานด้านบรรษัทภิบาลเหมือนบริษัทใหญ่หรือไม่?

A3: แม้ว่ากฎหมายอาจจะยังไม่บังคับ SME อย่างเข้มงวดเท่าบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แต่การนำหลักบรรษัทภิบาลมาปรับใช้จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ SME ได้อย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อต้องการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน หรือต้องการเป็นคู่ค้ากับบริษัทขนาดใหญ่ ซึ่งมักจะมีเกณฑ์การคัดเลือกคู่ค้าที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ดังนั้น การเริ่มต้นปรับใช้ตั้งแต่เนิ่นๆ ถือเป็นข้อได้เปรียบครับ

Most Popular

Categories