ระบบอัตโนมัติ (RPA) กับการลดงานซ้ำ เพิ่มประสิทธิภาพในงานบัญชี: ไม่ใช่เรื่องไกลตัวของวัยรุ่นอย่างเรา!
หวัดดีเพื่อนๆ! เคยรู้สึกเบื่อกับการทำงานซ้ำๆ เดิมๆ ไหม? แบบว่าต้องกรอกข้อมูลเดิมๆ เป็นร้อยๆ รอบ ทำรายงานที่หน้าตาเหมือนเดิมทุกสัปดาห์… เชื่อว่าหลายคนพยักหน้าอยู่แน่ๆ ในฐานะรุ่นพี่ที่เรียนคณะบัญชีฯ/บริหารฯ ขอบอกเลยว่าโลกของตัวเลขก็เจอปัญหานี้เหมือนกัน แต่ตอนนี้! เรามีผู้ช่วยสุดเจ๋งที่ชื่อว่า “RPA” เข้ามาเปลี่ยนเกมทั้งหมด วันนี้เราจะมาเจาะลึกกันแบบเข้าใจง่ายๆ ว่ามันคืออะไร แล้วมันเกี่ยวอะไรกับอนาคตของพวกเรา ไปดูกันเลย!
RPA คืออะไรกันแน่? ไม่ใช่หุ่นยนต์แบบในหนังนะ!
พอได้ยินคำว่า Robotic Process Automation หรือ RPA หลายคนอาจจะนึกถึงหุ่นยนต์แขนกลแบบในโรงงาน หรือ C-3PO จาก Star Wars แต่เดี๋ยวก่อน! ใจเย็นๆ นะเพื่อนๆ RPA ในที่นี้คือ “ซอฟต์แวร์” หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเลียนแบบการทำงานของมนุษย์บนคอมพิวเตอร์
ลองนึกภาพตามนะ… สมมติเรามี “ผู้ช่วยดิจิทัล” ที่นั่งอยู่ข้างๆ เรา คอยดูว่าเราทำงานยังไง แล้วมันก็จำขั้นตอนเหล่านั้นไปทำตามได้เป๊ะๆ ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น:
- การเปิด-ปิดโปรแกรมต่างๆ (Excel, Word, โปรแกรมบัญชี)
- การคลิกเมาส์, พิมพ์คีย์บอร์ด, Copy-Paste ข้อมูล
- การเข้าระบบ (Login/Logout) ตาม Username/Password ที่กำหนด
- การอ่านข้อมูลจากอีเมล, ไฟล์ PDF, หรือ Excel
- การกรอกข้อมูลลงในฟอร์มต่างๆ บนเว็บไซต์หรือในโปรแกรม
- การสร้างรายงานพื้นฐานและส่งอีเมลแจ้งเตือน
พูดง่ายๆ ก็คือ RPA คือ “บอท” ที่ถูกสอนให้ทำงานซ้ำซากจำเจตามกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน เปรียบเสมือนการสร้าง Macro ใน Excel แต่ล้ำกว่ามาก! เพราะมันสามารถทำงานข้ามโปรแกรม ข้ามแอปพลิเคชันได้แบบเนียนๆ โดยที่เราไม่ต้องไปยุ่งเลย
ทำไม “งานบัญชี” ถึงเป็นเหมือนสนามเด็กเล่นของ RPA?
คำถามนี้ดีมาก! ที่งานบัญชีกลายเป็นเป้าหมายหลักของ RPA ก็เพราะธรรมชาติของงานบัญชีส่วนใหญ่มันเข้าล็อกกับสิ่งที่ RPA ทำได้ดีที่สุดพอดิบพอดีเลยล่ะ
ลักษณะของงานบัญชีที่ RPA ชอบมาก:
- มีกฎเกณฑ์ชัดเจน (Rule-Based): งานบัญชีเต็มไปด้วยกฎ ระเบียบ และขั้นตอนที่ตายตัว เช่น การบันทึกเดบิต-เครดิต, การคำนวณภาษี, การกระทบยอดธนาคาร ซึ่งเป็นสิ่งที่บอททำตามได้เป๊ะๆ ไม่มีนอกลู่นอกทาง
- ทำซ้ำๆ ปริมาณเยอะ (Repetitive & High-Volume): ลองนึกถึงการคีย์ข้อมูลใบแจ้งหนี้ (Invoice) วันละหลายร้อยใบ หรือการตรวจสอบรายการเดินบัญชีทุกเดือน งานพวกนี้ทำซ้ำๆ จนน่าเบื่อและเสี่ยงต่อความผิดพลาด (Human Error) ซึ่งเป็นงานถนัดของบอทเลย
- ใช้ข้อมูลดิจิทัลเป็นหลัก (Digital Data Input): งานบัญชียุคใหม่ส่วนใหญ่มาจากไฟล์ดิจิทัลอยู่แล้ว เช่น ไฟล์ PDF, Excel, CSV หรือข้อมูลจากระบบ ERP ทำให้ RPA เข้าถึงและดึงข้อมูลไปประมวลผลต่อได้ง่าย
ตัวอย่างงานบัญชีที่ “RPA” เข้ามาช่วยได้
เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ลองมาดูตัวอย่างงานที่ปกติพี่ๆ นักบัญชีต้องทำ แต่พอมี RPA เข้ามาช่วยแล้วชีวิตดีขึ้นขนาดไหน
1. การประมวลผลใบแจ้งหนี้ (Invoice Processing)
- แบบเดิม: พี่นักบัญชีต้องเปิดอีเมล, ดาวน์โหลดไฟล์ PDF ใบแจ้งหนี้, อ่านข้อมูล (เลขที่, วันที่, ยอดเงิน), แล้วคีย์ข้อมูลทั้งหมดลงในโปรแกรมบัญชีทีละใบๆ ถ้ามี 100 ใบ ก็ทำ 100 รอบ!
- แบบใหม่ (มี RPA): บอทจะสแกนอีเมลอัตโนมัติ, เจออีเมลที่มีใบแจ้งหนี้ก็จะดาวน์โหลดไฟล์เอง, ใช้เทคโนโลยี OCR (Optical Character Recognition) ดึงข้อมูลจาก PDF, แล้วเอาข้อมูลไปกรอกในโปรแกรมบัญชีให้เสร็จสรรพ แถมยังแจ้งเตือนเราได้ด้วยถ้าเจอข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง
2. การกระทบยอดธนาคาร (Bank Reconciliation)
- แบบเดิม: ต้องดาวน์โหลด Statement จากเว็บธนาคาร, แล้วเอามานั่งเทียบกับข้อมูลในระบบบัญชีทีละบรรทัด… บรรทัดไหนไม่ตรงก็ต้องมานั่งหาสาเหตุ ตาแฉะกันไปข้าง!
- แบบใหม่ (มี RPA): บอทจะล็อกอินเข้าระบบธนาคาร, ดาวน์โหลด Statement ให้, แล้วนำข้อมูลมาเปรียบเทียบกับระบบบัญชีโดยอัตโนมัติ พร้อมทำรายงานสรุปรายการที่ตรงกันและรายการที่แตกต่างกันออกมาให้พี่นักบัญชีตรวจสอบเฉพาะจุดที่สำคัญ ประหยัดเวลาไปได้มหาศาล
3. การจัดทำรายงานประจำ (Reporting)
- แบบเดิม: ทุกสิ้นเดือนต้องดึงข้อมูลจากหลายๆ ระบบ (เช่น ระบบขาย, ระบบคลังสินค้า) มาใส่ใน Excel, จัดรูปแบบ, สร้างกราฟ, แล้วส่งอีเมลให้หัวหน้า
- แบบใหม่ (มี RPA): ตั้งเวลาไว้เลย! พอถึงสิ้นเดือน บอทจะไปดึงข้อมูลจากทุกระบบที่ต้องการ, รวมข้อมูล, จัดทำเป็นรายงานตาม Template ที่ตั้งค่าไว้, แล้วส่งอีเมลให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดโดยอัตโนมัติ ตื่นเช้ามาวันแรกของเดือนก็มีรายงานพร้อมใช้งานทันที!
ประโยชน์ที่ได้
✅ ความแม่นยำที่เพิ่มขึ้น (Increased Accuracy)
บอทไม่มีคำว่า “เหนื่อย” “เบลอ” หรือ “ตาลาย” มันทำงานตามคำสั่งเป๊ะๆ 100% ทำให้ลดความผิดพลาดจากการคีย์ข้อมูลผิด (Human Error) ซึ่งในงานบัญชี ความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ อาจนำไปสู่ปัญหาใหญ่ได้เลยนะ
✅ ประสิทธิภาพการทำงานสูงขึ้น (Higher Productivity)
เมื่อบอทรับงานรูทีนไปทำ พี่ๆ นักบัญชีก็จะมีเวลาเหลือไปทำงานที่ต้องใช้สมองและทักษะขั้นสูงมากขึ้น เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน, การวางแผนกลยุทธ์, การให้คำปรึกษาทางธุรกิจ ซึ่งเป็นงานที่สร้างมูลค่าให้องค์กรได้มากกว่าเยอะเลย
✅ ทำงานได้ 24/7 ไม่มีวันหยุด
บอททำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ ไม่ต้องพัก ไม่ต้องลาป่วย ทำให้กระบวนการต่างๆ เช่น การปิดบัญชีสิ้นเดือน สามารถทำได้เร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
✅ พนักงานมีความสุขมากขึ้น (Improved Employee Morale)
เชื่อเถอะว่าไม่มีใครชอบทำงานซ้ำๆ จำเจหรอก การเอางานเหล่านี้ออกจากมือพนักงาน ทำให้พวกเขารู้สึกว่าได้ทำงานที่ท้าทายและมีความหมายมากขึ้น ส่งผลให้ความพึงพอใจในการทำงานสูงขึ้นไปด้วย
RPA จะมาแย่งงานเรามั้ย? !
มาถึงคำถามสุดคลาสสิกที่หลายคนกังวล… แล้วแบบนี้อนาคตของนักบัญชีจะเป็นยังไง? เราจะตกงานกันหมดรึเปล่า?
คำตอบคือ “ไม่ใช่การแทนที่ แต่เป็นการยกระดับ” RPA ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อแย่งงานมนุษย์ แต่ถูกสร้างมาเพื่อเป็น “เพื่อนร่วมงานดิจิทัล” ที่จะมาช่วยแบ่งเบาภาระงานน่าเบื่อออกไป ทำให้บทบาทของนักบัญชีในอนาคตจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น คือ…
- จาก “ผู้บันทึกข้อมูล” (Data Entry) สู่ “ผู้วิเคราะห์ข้อมูล” (Data Analyst): แทนที่จะเสียเวลาคีย์ข้อมูล เราจะใช้เวลาไปกับการดูแนวโน้ม, หา Insight จากตัวเลขที่บอทเตรียมไว้ให้ เพื่อช่วยให้ธุรกิจตัดสินใจได้ดีขึ้น
- จาก “ผู้ทำตามขั้นตอน” (Processor) สู่ “ผู้แก้ปัญหาและออกแบบกระบวนการ” (Problem Solver & Process Designer): เราจะเป็นคนคอยคิดว่า จะปรับปรุงกระบวนการทำงานตรงไหนให้ดีขึ้นอีก? จะสอนให้บอททำงานใหม่ๆ ที่ซับซ้อนขึ้นได้อย่างไร?
- จาก “คนทำรายงาน” (Report Generator) สู่ “ที่ปรึกษาทางธุรกิจ” (Business Advisor): เราจะนำข้อมูลที่วิเคราะห์ได้ ไปให้คำแนะนำกับฝ่ายบริหาร เพื่อวางแผนกลยุทธ์ของบริษัท
ทักษะที่หุ่นยนต์ทำแทนไม่ได้ เช่น ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity), การคิดวิเคราะห์เชิงลึก (Critical Thinking), การสื่อสาร (Communication), และการตัดสินใจที่ซับซ้อน (Complex Decision-Making) จะกลายเป็นสิ่งที่สำคัญและมีค่ามากยิ่งขึ้นในยุคนี้
ถาม-ตอบ เคลียร์ทุกข้อสงสัยกับ RPA (AEO Section)
Q: RPA กับ AI (ปัญญาประดิษฐ์) เหมือนหรือต่างกันยังไง?
A: ต่างกันครับ! ให้นึกภาพว่า RPA คือ “แขนขา” ที่ทำงานตามคำสั่งเป๊ะๆ เช่น “หยิบไฟล์ A ไปวางที่ B” ส่วน AI คือ “สมอง” ที่สามารถคิดและตัดสินใจได้เอง เช่น “ดูข้อมูลในไฟล์ A แล้ววิเคราะห์ว่าควรจะเอาไปวางที่ B, C, หรือ D ดี” ในปัจจุบัน ทั้งสองเทคโนโลยีมักจะทำงานร่วมกัน (เรียกว่า Intelligent Automation) เพื่อให้บอทฉลาดขึ้นครับ
Q: ถ้าอยากเรียนรู้เรื่อง RPA ต้องเขียนโค้ดเก่งมั้ย?
A: ไม่จำเป็นเสมอไป! แพลตฟอร์ม RPA ชั้นนำอย่าง UiPath, Automation Anywhere, หรือ Blue Prism ถูกออกแบบมาให้เป็นแบบ Low-Code/No-Code คือใช้การลาก-วาง (Drag-and-Drop) เป็นส่วนใหญ่ ทำให้คนที่ไม่ใช่โปรแกรมเมอร์ก็สามารถสร้างบอทพื้นฐานได้ แต่ถ้ามีความรู้ด้านการเขียนโค้ดหรือ Logic ก็จะช่วยให้สร้างบอทที่ซับซ้อนขึ้นได้ครับ
Q: บริษัทเล็กๆ หรือ SME สามารถใช้ RPA ได้ไหม?
A: ได้แน่นอน! ปัจจุบันมีโซลูชัน RPA บนคลาวด์ (RPA as a Service) ที่ค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก และสามารถเริ่มจากสเกลเล็กๆ แค่ 1-2 กระบวนการก่อนได้ ทำให้ SME ก็สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีนี้เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันได้เช่นกัน
Q: ในฐานะวัยรุ่นที่สนใจสายบัญชี ควรเตรียมตัวยังไงสำหรับอนาคตที่มี RPA?
A: ยอดเยี่ยมมาก! นอกจากความรู้พื้นฐานด้านบัญชีที่ต้องแน่นแล้ว ให้เริ่มสนใจทักษะด้านเทคโนโลยีมากขึ้นครับ ลองศึกษาโปรแกรม Excel ขั้นสูง (พวก PivotTable, Power Query), เรียนรู้พื้นฐานเกี่ยวกับฐานข้อมูล (Database), และที่สำคัญคือฝึกฝนทักษะ “Soft Skills” อย่างการสื่อสาร การทำงานเป็นทีม และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงานยุคใหม่อย่างแน่นอน
RPA ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่จะเข้ามาปลดปล่อยศักยภาพของนักบัญชีให้ก้าวไปอีกระดับ จากนี้ไป งานบัญชีจะไม่ใช่งานเอกสารที่น่าเบื่ออีกต่อไป แต่จะเป็นสายงานที่ท้าทาย, ใช้ความคิดวิเคราะห์, และมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ
สำหรับเพื่อนๆ น้องๆ ที่กำลังมองหาเส้นทางในอนาคต อย่ากลัวเทคโนโลยี แต่จงเรียนรู้และหาวิธีใช้มันให้เป็นประโยชน์ เพราะคนที่สามารถทำงานร่วมกับ “บอท” ได้ คือคนที่จะเป็นที่ต้องการและประสบความสำเร็จในโลกการทำงานยุคใหม่อย่างไม่ต้องสงสัยเลย!