จากคนทำบัญชีสู่ที่ปรึกษาทางธุรกิจ: เส้นทางสู่ผู้บริหารที่องค์กรต้องการ

 

 

จากคนทำบัญชีสู่ที่ปรึกษาทางธุรกิจ: เส้นทางสู่ผู้บริหารที่องค์กรต้องการ

สวัสดีน้องๆ ม.ปลาย และน้องๆ ปี 1 ที่กำลังนั่งจ้องหน้าจอเลือกคณะ หรือบางคนอาจจะกำลังเรียนไปสงสัยไป… พี่เข้าใจเลย! เวลาพูดถึง “บัญชี” ภาพในหัวของหลายคนคงเป็นคนใส่แว่นหนาๆ นั่งจ้องตัวเลขในห้องสี่เหลี่ยมเงียบๆ ใช่ปะ? พี่อยากจะบอกดังๆ เลยว่า… ลบภาพนั้นทิ้งไปได้เลย!

พี่เองก็เป็นคนหนึ่งที่เริ่มต้นจากเส้นทางสายบัญชีนี่แหละ และวันนี้พี่อยากจะมาแชร์ “เส้นทางลับ” ที่จะเปลี่ยนสกิลการบวก ลบ คูณ หาร ตัวเลข ให้กลายเป็นสุดยอดอาวุธในการไต่เต้าสู่ตำแหน่ง “ที่ปรึกษาทางธุรกิจ (Business Consultant)” และก้าวไปสู่การเป็น “ผู้บริหารที่องค์กรไหนๆ ก็อยากได้ตัว” บทความนี้จะยาวหน่อยนะ แต่อ่านจบรับรองว่าน้องๆ จะมองคณะบัญชีไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป!

 

Part 1: ทำไมต้องเริ่มที่ “บัญชี”? จุดสตาร์ทที่แข็งแกร่งที่สุดในสนามธุรกิจ

ลองนึกภาพตามนะ ถ้าน้องอยากจะเป็นนักแข่งรถที่เก่งที่สุด สิ่งแรกที่ต้องรู้คืออะไร? ไม่ใช่แค่การเหยียบคันเร่งให้มิด แต่คือการเข้าใจ “เครื่องยนต์” ของรถทุกส่วนใช่ไหม? ธุรกิจก็เหมือนกัน และ “บัญชี” ก็คือภาษาของเครื่องยนต์ที่เรียกว่า “ธุรกิจ” นั่นเอง

การเรียนบัญชี ไม่ใช่แค่การเรียนให้รู้ว่า “เดบิต” อยู่ซ้าย “เครดิต” อยู่ขวา แต่มันคือการฝึกให้เรา:

  • อ่านเกมธุรกิจออก: งบการเงิน ไม่ใช่แค่ตัวเลขน่าเบื่อ แต่มันคือ “รายงานสุขภาพ” ของบริษัท บอกได้หมดว่าบริษัทนี้กำไรจริงหรือกำไรทิพย์? หนี้สินเยอะไปไหม? มีเงินสดพอจ่ายพนักงานรึเปล่า? คนที่อ่านงบการเงินเป็น ก็เหมือนหมอที่ X-ray คนไข้ทะลุปรุโปร่งเลยทีเดียว
  • มี Logic ที่แข็งแกร่งเหมือนหิน: ทุกตัวเลขมีที่มาที่ไป บัญชีจะสอนให้เราคิดอย่างเป็นระบบ มีเหตุมีผล และหาความเชื่อมโยงของข้อมูลได้เก่งมาก ซึ่งเป็นทักษะพื้นฐานที่สำคัญสุดๆ ของการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน
  • ละเอียดรอบคอบแบบจับผิดเก่ง: “ความผิดพลาดแม้เพียง 0.01 ก็ยอมไม่ได้” นี่คือ DNA ของคนเรียนบัญชี สกิลนี้จะทำให้น้องเป็นคนที่ทำงานผิดพลาดน้อย และได้รับความไว้วางใจจากหัวหน้าและเพื่อนร่วมงาน

“การเป็นนักบัญชี คือการมีกุญแจไขเข้าห้อง ‘ความลับ’ ของทุกบริษัทในโลก เพราะตัวเลขไม่เคยโกหกใคร”

Part 2: The Transformation – อัปเกรดตัวเองจาก “ผู้บันทึก” สู่ “ผู้วิเคราะห์”

โอเค… ตอนนี้เรารู้แล้วว่าพื้นฐานบัญชีมันเจ๋งยังไง แต่การหยุดอยู่แค่การเป็น “คนทำบัญชี” (Accountant) ที่บันทึกข้อมูลอย่างเดียว มันเหมือนมีรถซูเปอร์คาร์แต่ขับแค่ 60 km/h ในซอยบ้านน่ะสิ! ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเหยียบคันเร่ง อัปเกรดตัวเองสู่การเป็น “นักวิเคราะห์” ที่สามารถเอาข้อมูลตัวเลขพวกนั้นมา “เล่าเรื่อง” และ “ชี้ทาง” ให้กับธุรกิจได้

Step 1: อัปสกิลสายแข็ง (Hard Skills) ให้เหนือชั้น

นอกจากการทำบัญชี-ปิดงบแบบพื้นฐานแล้ว เราต้องเสริมอาวุธเหล่านี้เข้าไปในคลังแสงของเรา:

  • Financial Modeling & Valuation: การสร้างแบบจำลองทางการเงินเพื่อพยากรณ์อนาคตของบริษัท และการประเมินมูลค่ากิจการ สกิลนี้โคตรสำคัญ! ถ้าอยากรู้ว่าหุ้นตัวนี้น่าซื้อมั้ย? หรือถ้าบริษัทจะไปซื้อกิจการอื่นต้องจ่ายเท่าไหร่? สกิลนี้คือคำตอบ
  • Data Analytics: ยุคนี้ใครไม่มีสกิลนี้ถือว่าเอาท์! ต้องใช้เครื่องมืออย่าง Excel ขั้นเทพ (PivotTables, Power Query), Power BI, Tableau หรือแม้กระทั่งภาษาโปรแกรมอย่าง SQL หรือ Python เพื่อดึงข้อมูลมหาศาลมาวิเคราะห์หา Insight ที่คนอื่นมองไม่เห็น เช่น “สินค้าตัวไหนที่ขายดีที่สุดในภาคอีสานช่วงหน้าฝน?”
  • ความเข้าใจในระบบ ERP: บริษัทใหญ่ๆ ในไทยและทั่วโลกใช้ระบบที่เรียกว่า ERP (Enterprise Resource Planning) อย่าง SAP หรือ Oracle ในการจัดการข้อมูลทั้งหมดขององค์กร การที่เราเข้าใจระบบพวกนี้ จะทำให้เราทำงานกับองค์กรใหญ่ได้ง่ายขึ้นและดูโปรมากๆ

Step 2: ปลุกพลังสกิลสื่อสาร (Soft Skills) ที่ซ่อนอยู่

นี่คือ *ตัวตัดสิน* ที่จะแยกระหว่างนักบัญชีธรรมดา กับคนที่กำลังจะกลายเป็นที่ปรึกษาเลยนะ! ตัวเลขดีแค่ไหน แต่ถ้าสื่อสารให้คนอื่นเข้าใจไม่ได้ ก็ไม่มีประโยชน์

  • Communication & Storytelling: ไม่ใช่แค่พูดว่า “กำไรลดลง 15%” แต่ต้องเล่าได้ว่า “กำไรของเราลดลง 15% ครับ เพราะต้นทุนวัตถุดิบ A สูงขึ้นจากการปรับค่าเงิน ซึ่งกระทบกับสายการผลิตสินค้า B มากที่สุด ดังนั้นผมจึงเสนอทางแก้ 2 ทางคือ…” เห็นมั้ย? มันคือการเอาตัวเลขมาผูกเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจและมีทางออก
  • Presentation Skill: ต้องฝึกพรีเซนต์งานหน้าห้องบ่อยๆ ฝึกทำสไลด์ให้น่าสนใจ ไม่ใช่มีแต่ตัวเลขเต็มหน้ากระดาษ ลองคิดดูว่าเราจะอธิบายงบการเงินที่ซับซ้อนให้ฝ่าย Marketing หรือ CEO ที่ไม่ได้มีพื้นฐานบัญชีเข้าใจได้ภายใน 5 นาทีได้ยังไง?
  • Critical Thinking & Problem Solving: การคิดเชิงวิพากษ์ คือการไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ตั้งคำถามกับตัวเลขเสมอ “ทำไมยอดขายสาขานี้ตก? จริงๆ แล้วปัญหามันคืออะไรกันแน่?” แล้วใช้ข้อมูลที่เรามีมาหาคำตอบและเสนอแนวทางแก้ไข

Part 3: The Leap! ก้าวสู่บทบาท “ที่ปรึกษาทางธุรกิจ” ที่ใครๆ ก็ต้องการ

เมื่อเรามีทั้ง Hard Skills และ Soft Skills ที่แข็งแกร่งแล้ว เราก็พร้อมที่จะกระโดดข้ามจากการเป็น “คนใน” ของบริษัท มาสู่การเป็น “ที่ปรึกษาทางธุรกิจ” (Business Consultant) แล้วล่ะ

หน้าที่ของที่ปรึกษาคืออะไร? พูดง่ายๆ คือ “หมอรักษาธุรกิจ” บริษัทจ้างเราเข้าไปเพื่อแก้ปัญหาที่พวกเขาแก้เองไม่ได้ หรือเข้าไปเพื่อมองหาโอกาสใหม่ๆ ที่พวกเขามองไม่เห็น

นักบัญชี จะบอกว่า “ตอนนี้บริษัทเลือดออกที่ตรงไหน” (รายงานผลขาดทุน)
ที่ปรึกษาทางธุรกิจ จะบอกว่า “เลือดออกเพราะอะไร ต้องผ่าตัดด้วยวิธีไหน และทำยังไงไม่ให้เลือดออกอีกในอนาคต” (วิเคราะห์สาเหตุ, เสนอทางแก้, วางกลยุทธ์ป้องกัน)

คนที่มีพื้นฐานบัญชีที่แน่นปึ้ก จะได้เปรียบที่ปรึกษาที่มาจากสายอื่นมากๆ เพราะเราเข้าใจ “ราก” ของปัญหาที่มาจากตัวเลขการเงินได้อย่างลึกซึ้ง เราสามารถเชื่อมโยงปัญหาด้านการตลาด (เช่น ยอดขายตก) เข้ากับปัญหาด้านการเงิน (เช่น กระแสเงินสดติดลบ) ได้อย่างเป็นระบบ ซึ่งนี่คือสิ่งที่ทำให้ที่ปรึกษาที่มีพื้นฐานจากสายบัญชี-การเงิน เป็นที่ต้องการของบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำของโลก (Big 4: PwC, Deloitte, EY, KPMG) และบริษัทอื่นๆ อีกมากมายในประเทศไทย

Part 4: The Ultimate Goal – สู่บัลลังก์ “ผู้บริหาร” ที่มองเกมขาด

เส้นทางสุดท้ายที่ต่อยอดจากการเป็นที่ปรึกษา คือการก้าวขึ้นไปเป็นผู้บริหารระดับสูง (C-Level) เช่น CFO (Chief Financial Officer) หรือแม้กระทั่ง CEO (Chief Executive Officer)

ทำไมเส้นทางนี้ถึงทรงพลัง? เพราะผู้บริหารที่เติบโตมาจากสายนี้จะมีคุณสมบัติครบเครื่องที่องค์กรยุคใหม่ต้องการ:

    1. ตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูล (Data-Driven Decision): ไม่ได้ตัดสินใจจากความรู้สึกหรือประสบการณ์เก่าๆ เพียงอย่างเดียว แต่ใช้ข้อมูลตัวเลขที่วิเคราะห์มาอย่างดีแล้วเป็นพื้นฐาน ทำให้ทุกการตัดสินใจเฉียบคมและลดความเสี่ยง
    2. มีวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ (Strategic Vision): สามารถมองเห็นภาพรวมของทั้งบริษัท เชื่อมโยงทุกแผนก (การเงิน, ตลาด, บุคคล, การผลิต) เข้าด้วยกัน และวางแผนเพื่อการเติบโตในระยะยาวได้
    3. บริหารความเสี่ยงได้อย่างเฉียบขาด: เพราะคุ้นเคยกับตัวเลขและงบการเงินเป็นอย่างดี จึงมองเห็นสัญญาณอันตรายทางการเงินได้เร็วกว่าคนอื่น และสามารถหาทางป้องกันได้ทันท่วงที

น้องๆ เห็นรึยังว่า จากจุดเริ่มต้นที่ดูเหมือนจะน่าเบื่อในห้องเรียนบัญชี มันสามารถแตกแขนงและเติบโตไปสู่เส้นทางที่น่าตื่นเต้นและท้าทายได้ขนาดไหน มันไม่ใช่แค่การทำบัญชี แต่มันคือการเรียนรู้ที่จะ “ควบคุม” และ “กำหนดทิศทาง” ของธุรกิจทั้งองค์กร

Q&A ถาม-ตอบ เคลียร์ทุกข้อสงสัยสไตล์พี่รหัส

พี่รวบรวมคำถามที่น้องๆ น่าจะสงสัยกันมาตอบให้ตรงนี้เลย!

Q1: เรียนบัญชีต้องเก่งคณิตศาสตร์อย่างเดียวเลยมั้ยพี่?

A: ไม่จริงเสมอไป! บัญชีใช้คณิตศาสตร์แค่ บวก ลบ คูณ หาร เป็นหลัก แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ “ทักษะการคิดเชิงตรรกะ (Logical Thinking)” และความเข้าใจในหลักการและเหตุผลต่างหาก ถ้าเราเป็นคนช่างสังเกต ชอบจับผิด ชอบหาความเชื่อมโยงของสิ่งต่างๆ บอกเลยว่ามาถูกทางแล้ว!

Q2: จบ บัญชี เป็นได้แค่คนทำบัญชี หรือ ผู้ตรวจสอบบัญชี (Auditor) จริงเหรอ?

A: เป็นความคิดที่ตกยุคไปแล้ว! สองอาชีพนั้นเป็นแค่ “จุดเริ่มต้น” ที่ดีมากๆ แต่บัณฑิตบัญชีสามารถไปต่อได้หลากหลายสุดๆ เช่น นักวิเคราะห์การเงิน (Financial Analyst), นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ (Investment Analyst), ที่ปรึกษาทางการเงิน, ที่ปรึกษาทางธุรกิจ, ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี, ทำงานในธนาคารเพื่อการลงทุน (Investment Banker) หรือแม้กระทั่งเป็นเจ้าของกิจการเอง เพราะเรารู้เรื่องเงินดีที่สุด!

Q3: หนู/ผม ไม่ได้ชอบตัวเลขขนาดนั้น จะเรียนรอดมั้ย?

A: ลองเปลี่ยนมุมมองดูนะ… อย่ามองมันเป็นแค่ “ตัวเลข” แต่มองมันเป็น “โค้ดลับ” ที่กำลังเล่าเรื่องราวของธุรกิจให้เราฟัง ถ้าเราสนุกกับการเป็นนักสืบที่แกะรอยหาความจริงจากหลักฐานต่างๆ การเรียนบัญชีก็อาจจะสนุกกว่าที่คิดก็ได้นะ!

Q4: แล้วต้องเริ่มเตรียมตัวยังไงตั้งแต่ตอน ม.ปลาย?

A: เยี่ยมมากที่คิดจะเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ! พี่แนะนำให้ 1) ตั้งใจเรียนวิชาพื้นฐานอย่างคณิตฯ และภาษาอังกฤษให้ดี (สำคัญมาก!) 2) ลองเข้าร่วมกิจกรรมหรือชมรมที่เกี่ยวกับการโต้วาที, Business Club หรือการแข่งขันแผนธุรกิจ เพื่อฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์และการนำเสนอ 3) ติดตามข่าวสารเศรษฐกิจและธุรกิจอยู่เสมอ อ่านเว็บข่าวธุรกิจในไทย เช่น BrandInside, The Standard Wealth หรือเว็บต่างประเทศอย่าง Bloomberg, The Wall Street Journal เพื่อให้เราคุ้นเคยกับศัพท์แสงและเข้าใจภาพรวมของโลกธุรกิจมากขึ้น

Q5: ที่ปรึกษาทางธุรกิจเงินเดือนดีมั้ยครับ/คะ?

A: ตอบแบบตรงๆ เลยนะ… ดีมาก! เป็นหนึ่งในสายอาชีพที่ให้ผลตอบแทนสูงเป็นอันดับต้นๆ เลย แต่ก็ต้องแลกมากับความรับผิดชอบที่สูงมากเช่นกัน งานหนัก กดดัน และต้องเรียนรู้สิ่งใหม่อยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าเราเป็นคนชอบความท้าทายและรักการเติบโต บอกเลยว่าคุ้มค่าแน่นอน!

บทสรุป: ตัวเลขเป็นเพียงจุดเริ่มต้น

สุดท้ายนี้ พี่อยากจะบอกน้องๆ ทุกคนว่า เส้นทางจากคนทำบัญชีสู่ที่ปรึกษาและผู้บริหาร ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ มันต้องอาศัยความมุ่งมั่น การเรียนรู้ตลอดชีวิต และความกล้าที่จะออกจาก Comfort Zone ของตัวเอง

แต่อย่ามองว่า “บัญชี” เป็นแค่ทางเลือกที่ปลอดภัย หรือเป็นอาชีพที่น่าเบื่อ ให้มองว่ามันคือ “ใบเบิกทาง” ที่ทรงพลังที่สุด ที่จะพาน้องๆ เข้าใจแก่นแท้ของโลกธุรกิจ และมอบทักษะติดตัวที่จะทำให้น้องๆ เป็นคนที่ “ขาดไม่ได้” ในทุกองค์กรที่น้องๆ ก้าวเข้าไป ตัวเลขเป็นเพียงจุดเริ่มต้น… แต่เรื่องราวและอนาคตที่น้องจะสร้างจากมันต่างหาก คือสิ่งที่จะกำหนดว่าน้องจะไปได้ไกลแค่ไหน สู้ๆ นะครับ/คะ!

Most Popular

Categories