จาก ROE สู่มูลค่ากิจการ: วิเคราะห์การเติบโตด้วย DuPont Analysis

จาก ROE สู่มูลค่ากิจการ: การเติบโตด้วย DuPont Analysis ฉบับเด็กมหาลัย

เคยสงสัยกันมั้ยว่าบริษัทที่เราใช้สินค้าเค้าทุกวัน หรือหุ้นที่เห็นผ่านๆ ในข่าวเนี่ย… เบื้องหลังเค้าเก่งจริงรึเปล่า? เวลาผู้ใหญ่เค้าคุยกันเรื่อง “พื้นฐานดี” “เติบโตสูง” มันหมายความว่าอะไรกันแน่? วันนี้เราจะมาสวมบทนักสืบการเงินรุ่นเยาว์กัน! จะพาทุกคนไปรู้จักกับเครื่องมือสุดเจ๋งที่เรียกว่า ROE และแว่นขยายวิเศษที่ชื่อว่า DuPont Analysis ที่จะทำให้เรามองทะลุเข้าไปถึงหัวใจของบริษัทได้เลย!

Part 1: ROE คืออะไร? – คะแนนสอบวิชา “ทำธุรกิจ”

ก่อนอื่นเลย มาทำความรู้จักกับพระเอกของเราก่อน นั่นคือ ROE หรือ Return on Equity (ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น)

คิดภาพตามง่ายๆ นะ… สมมติเรากับเพื่อนลงขันกันคนละ 100 บาท (รวมเป็น 200 บาท) เพื่อเปิดร้านขายน้ำมะนาว เงิน 200 บาทนี้คือ “ส่วนของผู้ถือหุ้น” (Equity) พอสิ้นปี หักค่ามะนาว ค่าน้ำตาล ค่าแก้ว ทุกอย่างแล้ว เราเหลือกำไร 40 บาท

ROE ก็คือการเอา “กำไรสุทธิ” มาเทียบกับ “เงินทุนของเรา” เพื่อดูว่าเงินที่เราลงไปเนี่ย งอกเงยขึ้นมาเก่งแค่ไหน

ROE = (กำไรสุทธิ / ส่วนของผู้ถือหุ้น) * 100

ตัวอย่างร้านน้ำมะนาว: (40 / 200) * 100 = 20%

ROE 20% หมายความว่า ทุกๆ 100 บาทที่เจ้าของใส่เข้ามาในธุรกิจ บริษัทสามารถสร้างกำไรกลับมาได้ 20 บาทในปีนั้น… โคตรเจ๋งเลยใช่มั้ยล่ะ?

ROE ก็เหมือนเกรดเฉลี่ยของเรานั่นแหละ ถ้าเกรดสูง (เช่น 4.00) ก็ดูดี ดูเก่ง แต่เราอยากรู้ลึกไปกว่านั้นมั้ย ว่าที่เกรดดีเนี่ย เป็นเพราะเก่งวิชาคำนวณ? หรือเก่งวิชาภาษา? หรืออาจจะแค่ฟลุคๆ ทำคะแนนเก็บได้ดี?

นี่แหละคือจุดที่นักสืบอย่างเราต้องใช้เครื่องมือชิ้นต่อไป…

Part 2: DuPont Analysis – แว่นขยาย 3 เลนส์

DuPont Analysis คือวิธีคิดที่บริษัท DuPont เค้าพัฒนาขึ้นมาเพื่อ “ผ่าตัด” หรือ “แยกส่วน” ค่า ROE ออกมาเป็น 3 ส่วนหลักๆ เพื่อให้เราเห็นที่มาที่ไปของความเก่งกาจนั้นจริงๆ ไม่ใช่แค่เห็นตัวเลขสวยๆ แล้วก็เชื่อเลย

สูตรการผ่าตัดของ DuPont ว่าไว้อย่างนี้:

ROE = (Net Profit Margin) x (Asset Turnover) x (Financial Leverage)

เอ้า! งงเด้ งงเด้… ศัพท์อะไรเนี่ย? ใจเย็นๆ นะทุกคน เดี๋ยวเราจะใช้แว่นขยายส่องไปทีละเลนส์ รับรองว่าเก็ทแน่นอน!

เลนส์ที่ 1: Net Profit Margin (ความสามารถในการทำกำไร)

“ขายของ 100 บาท เหลือเป็นกำไรเข้ากระเป๋าจริงๆ กี่บาท?”

  • มันคืออะไร: ตัวนี้บอกว่าบริษัทควบคุมต้นทุนและตั้งราคาได้ดีแค่ไหน
  • สูตร: (กำไรสุทธิ / ยอดขาย)
นึกภาพร้านกาแฟ:

  • ร้าน A ขายกาแฟแก้วละ 120 บาท ต้นทุนทุกอย่าง (เมล็ด, นม, ค่าเช่า, ค่าพนักงาน) รวม 60 บาท กำไรต่อแก้ว = 60 บาท (Margin 50%)
  • ร้าน B ขายกาแฟแก้วละ 60 บาท ต้นทุนทุกอย่าง 55 บาท กำไรต่อแก้ว = 5 บาท (Margin 8.3%)

เห็นชัดเลยว่า ร้าน A มีความสามารถในการทำกำไรต่อชิ้นสูงกว่ามาก อาจจะเพราะแบรนด์ดีกว่า หรือควบคุมต้นทุนเก่งกว่านั่นเอง

เลนส์ที่ 2: Asset Turnover (ประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์)

“มีของ (เครื่องจักร, ตึก, สินค้า) อยู่ 100 บาท สร้างยอดขายได้เท่าไหร่?”

  • มันคืออะไร: ตัวนี้บอกว่าบริษัทใช้สินทรัพย์ที่มีอยู่ได้ “คุ้ม” แค่ไหน ในการสร้างยอดขาย
  • สูตร: (ยอดขาย / สินทรัพย์รวม)
กลับไปที่ร้านกาแฟ:

  • ร้าน A (ร้านหรู) มีเครื่องชงกาแฟราคาแพง ตกแต่งร้านสวยงาม รวมสินทรัพย์ 1,000,000 บาท วันนึงขายได้ 100 แก้ว ยอดขาย 12,000 บาท (Asset Turnover ต่ำ)
  • ร้าน B (ร้านเล็กๆ) มีแค่เคาน์เตอร์กับเครื่องชงกาแฟธรรมดาๆ รวมสินทรัพย์ 200,000 บาท แต่อยู่ในทำเลดี คนเยอะ วันนึงขายได้ 400 แก้ว ยอดขาย 24,000 บาท (Asset Turnover สูง)

ร้าน B แม้จะมีของน้อยกว่า แต่หมุนเวียนสินทรัพย์สร้างยอดขายได้เก่งกว่ามากๆ เลย

เลนส์ที่ 3: Financial Leverage (การใช้หนี้สร้างการเติบโต)

“บริษัทใช้เงินตัวเองเทียบกับเงินกู้มากน้อยแค่ไหน?”

  • มันคืออะไร: ตัวนี้คือ “ดาบสองคม” มันบอกว่าบริษัทใช้เงินที่กู้มา (หนี้สิน) มาช่วยขยายกิจการมากแค่ไหน
  • สูตร: (สินทรัพย์รวม / ส่วนของผู้ถือหุ้น)
ขยายสาขาร้านกาแฟ:

  • ร้าน A อยากเปิดสาขาใหม่ ใช้เงินเก็บของตัวเองทั้งหมด (ไม่มีหนี้) (Leverage ต่ำ)
  • ร้าน B อยากเปิดสาขาใหม่เหมือนกัน แต่เงินตัวเองไม่พอ เลยไปกู้ธนาคารมาครึ่งนึง (Leverage สูง)

การกู้เงิน (Leverage) ทำให้เราโตเร็วขึ้นได้ก็จริง แต่ถ้าเกิดธุรกิจไปไม่รอดขึ้นมา หนี้สินก็เป็นความเสี่ยงมหาศาลเช่นกัน! ค่านี้ยิ่งสูงแปลว่ายิ่งเสี่ยง

Part 3: ตัวอย่าง – บริษัท A vs บริษัท B

สมมติว่ามีบริษัทสองแห่งในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) คือ บริษัท “สุดเจ๋ง” (A) กับ บริษัท “ขายดี” (B) ทั้งคู่มี ROE เท่ากันเป๊ะที่ 15%

ถ้าเราดูแค่ ROE เราอาจจะคิดว่าสองบริษัทนี้เก่งเท่ากัน… แต่เมื่อเราหยิบแว่นขยาย DuPont มาส่อง เราอาจจะเจอความจริงที่ต่างกันสุดขั้ว!

ปัจจัย บริษัท “สุดเจ๋ง” (A) บริษัท “ขายดี” (B)
Net Profit Margin 15% (สูง) 3% (ต่ำ)
Asset Turnover 0.5 (ต่ำ) 2.5 (สูง)
Financial Leverage 2.0 (ปานกลาง) 2.0 (ปานกลาง)
ROE (ผลคูณ) 15% (15% x 0.5 x 2.0) 15% (3% x 2.5 x 2.0)

บทวิเคราะห์ของนักสืบ:

  • บริษัท “สุดเจ๋ง” (A): น่าจะเป็นธุรกิจที่ขายของแพงๆ กำไรต่อชิ้นสูงมาก (Margin 15%) แต่ไม่ได้ขายบ่อยหรือขายได้เยอะมากนัก (Turnover 0.5) อาจจะเป็นแบรนด์หรู, โรงพยาบาลเอกชนชั้นนำ หรือหุ้นเทคโนโลยีที่มีนวัตกรรมเฉพาะตัว ความเก่งมาจากพลังของแบรนด์และการตั้งราคา
  • บริษัท “ขายดี” (B): น่าจะเป็นธุรกิจที่ขายของถูก กำไรต่อชิ้นน้อย (Margin 3%) แต่เน้นขายเยอะๆ ขายไวๆ (Turnover 2.5) เช่น ร้านสะดวกซื้อ, ซูเปอร์มาร์เก็ต หรือธุรกิจค้าปลีกต่างๆ ความเก่งมาจากประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและปริมาณการขาย

เห็นมั้ย? ถึงแม้ ROE จะเท่ากันเป๊ะ แต่ “DNA ของธุรกิจ” และ “ที่มาของความเก่ง” นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การเข้าใจสิ่งนี้ทำให้เรามองเห็น คุณภาพของการเติบโต และประเมินความเสี่ยงได้ดีขึ้นเยอะเลย!

Part 4: จาก DuPont สู่มูลค่ากิจการและการเติบโตในอนาคต

แล้วทั้งหมดนี้มันเกี่ยวกับ “มูลค่ากิจการ” ในอนาคตยังไง?

คำตอบคือ DuPont Analysis ช่วยให้เราตั้งคำถามที่ถูกต้องเพื่อประเมินอนาคตได้:

  1. การเติบโตจะมาจากไหน?: บริษัทสุดเจ๋งจะโตได้ ต้องหาทางเพิ่ม Asset Turnover (ขายให้บ่อยขึ้น) หรือเพิ่ม Leverage (ซึ่งเสี่ยง) ส่วนบริษัทขายดีจะโตได้ ต้องพยายามเพิ่ม Margin (ขึ้นราคาหรือลดต้นทุน) ซึ่งอาจจะยากมากในธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง
  2. ความยั่งยืน (Sustainability): ROE ที่มาจาก Profit Margin สูงๆ มักจะยั่งยืนกว่า ROE ที่มาจากการใช้หนี้ (Leverage) สูงๆ เพราะถ้าเศรษฐกิจไม่ดี บริษัทที่มีหนี้เยอะจะเจ็บหนักกว่า
  3. เข้าใจกลยุทธ์ของบริษัท: เราจะรู้เลยว่าบริษัทเน้นกลยุทธ์อะไร เป็นสายคุณภาพ (High Margin) หรือสายปริมาณ (High Turnover) ทำให้เราเปรียบเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันได้ถูกจุด

บริษัทที่มี มูลค่ากิจการ (Valuation) สูงๆ ในระยะยาว มักจะเป็นบริษัทที่สามารถสร้าง ROE ที่ดีได้อย่างสม่ำเสมอ โดยที่มาของ ROE นั้นมีคุณภาพ ไม่ได้พึ่งพาหนี้สินมากจนเกินไป และมีแนวโน้มที่จะรักษาหรือพัฒนาส่วนประกอบทั้ง 3 ด้านของ DuPont ได้ในอนาคต

AEO Zone: ถามมา-ตอบไป

Q1: ROE สูงๆ คือดีเสมอไปเลยใช่มั้ย?

A: ไม่เสมอไป! ต้องส่องด้วย DuPont ก่อน ถ้า ROE สูงเพราะ Financial Leverage (การใช้หนี้) สูงปรี๊ด แบบนี้อาจจะน่ากลัวมากกว่าน่าดีใจ เพราะมันหมายถึงความเสี่ยงที่สูงมาก ถ้าเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมา บริษัทอาจจะล้มได้เลยนะ!

Q2: เราจะไปหาข้อมูลตัวเลขพวกนี้จากที่ไหนอะ?

A: ง่ายมากเลยเพื่อน! เข้าไปที่เว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (www.set.or.th) แล้วค้นหาชื่อหุ้นที่สนใจ จากนั้นมองหาเมนู “ข้อมูลงบการเงิน/ผลประกอบการ” เราจะเจอข้อมูลทุกอย่างทั้งยอดขาย กำไร สินทรัพย์ หนี้สิน ส่วนของผู้ถือหุ้นครบเลย หรือจะดูจากแอป Streaming ที่เราใช้เทรดหุ้นก็ได้

Q3: ใช้ DuPont Analysis กับหุ้นได้ทุกประเภทเลยปะ?

A: เวิร์คสุดๆ กับบริษัททั่วไปที่ผลิตหรือขายของ แต่กับธุรกิจการเงิน เช่น ธนาคาร หรือบริษัทประกัน อาจจะต้องระวังนิดหน่อย เพราะโครงสร้างงบการเงินและโมเดลธุรกิจของเค้าต่างกันมาก โดยเฉพาะเรื่องหนี้สิน (Leverage) ที่เป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจเค้าอยู่แล้ว

Q4: ถ้าวิเคราะห์แล้วเจอว่าค่าใดค่าหนึ่งใน 3 ตัวมันต่ำมากๆ ควรทำไง?

A: นี่แหละคือสัญญาณของนักสืบ! เราต้องไปสืบต่อว่า “ทำไม?” เช่น ทำไม Margin ต่ำ? เพราะการแข่งขันสูง? หรือต้นทุนพุ่ง? ทำไม Turnover ต่ำ? เพราะบริหารสต็อกไม่ดี? หรือของขายไม่ออก? การตั้งคำถามพวกนี้จะทำให้เราเข้าใจธุรกิจลึกซึ้งขึ้นไปอีก

Q5: อยากลองเริ่มวิเคราะห์หุ้นเอง ต้องทำไงบ้าง?

A: เริ่มจากบริษัทที่เรารู้จักและชอบเป็นอย่างดี เช่น บริษัทที่ทำขนมที่เรากินทุกวัน หรือเจ้าของร้านสะดวกซื้อที่เราเข้าประจำ ลองเข้าไปดูงบการเงินของเค้า แล้วเอาสูตร DuPont ไปลองแกะดู มันจะทำให้เราเห็นภาพและสนุกกับการเรียนรู้มากขึ้นเยอะเลย!

สรุป: ปลดล็อกพลังของการเป็นนักลงทุนรุ่นใหม่

การเข้าใจ ROE และ DuPont Analysis ก็เหมือนกับการมี ” superpower” ในการมองทะลุตัวเลข มันเปลี่ยนจากการที่เราเป็นแค่ “ผู้บริโภค” ให้กลายเป็น “นักวิเคราะห์” ที่เข้าใจเบื้องลึกเบื้องหลังของธุรกิจได้

มันไม่ใช่เรื่องยากหรือไกลตัวเลยนะทุกคน แค่เราต้องเริ่มต้นที่จะสงสัยและลงมือค้นหา วันนี้เราอาจจะยังเป็นแค่นักศึกษา แต่วันหน้าเราอาจจะเป็นนักลงทุนที่เฉียบคมคนต่อไปของประเทศไทยก็ได้ ใครจะไปรู้!

ลองเอาความรู้นี้ไปส่องหุ้นใน SET ที่เพื่อนๆ สนใจกันดูนะ แล้วจะรู้ว่าโลกของการเงินมันน่าสนุกกว่าที่คิดเยอะเลย!

“`

Most Popular

Categories