กรณีศึกษา: วิเคราะห์สัญญาณเตือนจาก Current Ratio และ Quick Ratio บริษัทจดทะเบียน

กรณีศึกษา: ถอดรหัสสัญญาณเตือนจาก Current Ratio และ Quick Ratio ของบริษัทจดทะเบียน 🧐

ว่าไงเพื่อนๆ ชาว Gen Z ที่กำลังจะก้าวเข้าสู่โลกของการลงทุน! 👋 พี่เป็นคนนึงนะที่อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยเหมือนกัน กำลังเรียนคณะบริหารฯ แล้วก็อินเรื่องหุ้น การลงทุนมากๆ เลยอยากจะมาแชร์ความรู้แบบเฟรนลี่ๆ สไตล์รุ่นพี่เล่าให้น้องฟัง

เคยรู้สึกมั้ยว่าเวลาเราเห็นตัวเลขเยอะๆ ในงบการเงินแล้วมันตาลายไปหมด? วันนี้เราจะมาจับสองตัวเลขเด็ด ที่เหมือนเป็น “ปรอทวัดไข้” ทางการเงินของบริษัท นั่นก็คือ Current Ratio และ Quick Ratio บอกเลยว่าแค่เข้าใจสองตัวนี้ ก็เหมือนเรามีเครื่องสแกนสุขภาพบริษัทเบื้องต้นอยู่ในมือแล้ว! มาดูกันว่ามันจะส่ง “สัญญาณเตือน” อะไรให้เราได้บ้าง

พื้นฐานต้องแน่น! Current Ratio & Quick Ratio คืออะไรกันแน่?

ก่อนจะไปดูเคสจริงจัง เรามาปูพื้นกันก่อนแบบง่ายที่สุดในสามโลก ลองนึกภาพตามนะ… เงินในกระเป๋าตังค์เราตอนนี้ คือ “สภาพคล่อง” พร้อมจ่ายค่าชานมไข่มุกได้ทันที แต่ถ้าเรามีของสะสมหายากที่ต้องเอาไปขายก่อนถึงจะได้เงิน แบบนี้สภาพคล่องจะต่ำกว่า

บริษัทก็เหมือนกัน! พวกเขาต้องการ “สภาพคล่อง” หรือความสามารถในการเปลี่ยนสินทรัพย์เป็นเงินสด เพื่อจ่ายหนี้ระยะสั้น (หนี้ที่ต้องจ่ายใน 1 ปี) ซึ่งเจ้า 2 Ratio นี้แหละคือตัววัดสภาพคล่องที่ว่า

1. Current Ratio (อัตราส่วนทุนหมุนเวียน) – เครื่องวัดพลังด่านแรก

ตัวนี้เป็นเหมือนการเช็กสุขภาพโดยรวมขั้นพื้นฐานสุดๆ เลย มันบอกเราว่า “บริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนเป็นกี่เท่าของหนี้สินหมุนเวียน”

Current Ratio = สินทรัพย์หมุนเวียน (Current Assets) / หนี้สินหมุนเวียน (Current Liabilities)
  • สินทรัพย์หมุนเวียน (Current Assets): คือของที่บริษัทมีและคาดว่าจะเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ใน 1 ปี เช่น เงินสด, เงินฝาก, ลูกหนี้การค้า (คนที่ติดเงินบริษัทเรา), และ สินค้าคงคลัง (Inventory)
  • หนี้สินหมุนเวียน (Current Liabilities): คือหนี้ที่บริษัทต้องจ่ายคืนใน 1 ปี เช่น เงินกู้ระยะสั้นจากธนาคาร, เจ้าหนี้การค้า (บริษัทเราติดเงินคนอื่น)

โดยทั่วไปแล้ว ค่า Current Ratio ที่มากกว่า 1 เท่า ก็ถือว่าโอเคในเบื้องต้น เพราะหมายความว่ามีสินทรัพย์พอจะจ่ายหนี้ระยะสั้นได้ แต่ถ้าต่ำกว่า 1 เมื่อไหร่… นั่นคือสัญญาณธงเหลืองแรกเลย! 🚩

2. Quick Ratio (อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว) หรือ Acid-Test Ratio – เครื่องวัดพลังขั้นแอดวานซ์

ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า “Quick” และ “Acid-Test” (การทดสอบกรด) คือมันเข้มข้นกว่า! ตัวนี้จะโหดกว่า Current Ratio โดยการตัด “สินค้าคงคลัง (Inventory)” ออกไปก่อนคำนวณ

Quick Ratio = (สินทรัพย์หมุนเวียน – สินค้าคงคลัง) / หนี้สินหมุนเวียน

ทำไมต้องตัดสินค้าคงคลังออก? เพราะมันคือสินทรัพย์ที่เปลี่ยนเป็นเงินสดยากที่สุดไง! ลองนึกดูสิ บริษัทผลิตเสื้อผ้าออกมา 100,000 ตัว จะขายหมดเกลี้ยงในวันเดียวได้มั้ย? ยากมาก! บางทีอาจจะขายไม่ออก ตกรุ่น หรือเสื่อมสภาพไปเลยก็ได้ Quick Ratio เลยวัดสภาพคล่องที่แท้ทรูแบบไม่มโนว่าของจะขายได้หมด

ค่า Quick Ratio ที่มากกว่า 1 เท่า ถือว่าแข็งแกร่งมากๆ เพราะแสดงว่าบริษัทมีสินทรัพย์สภาพคล่องสูงจริงๆ พร้อมจ่ายหนี้ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาการขายของในสต็อกเลย

กรณีศึกษา: บริษัท เทคฟิวเจอร์ จำกัด (มหาชน) – TFG (สมมติ)

มาถึงส่วนที่สนุกที่สุด! เราจะมาสวมบทนักสืบการเงินกัน สมมติว่ามีบริษัทชื่อ “เทคฟิวเจอร์” หรือ TFG ทำธุรกิจเกี่ยวกับแกดเจ็ตไอที เราไปเจอข้อมูลทางการเงินของเขา 2 ปีล่าสุดมาแบบนี้

รายการ (หน่วย: ล้านบาท) ปี 2566 ปี 2567
เงินสดและรายการเทียบเท่า 300 150
ลูกหนี้การค้า 200 250
สินค้าคงคลัง 500 900
รวมสินทรัพย์หมุนเวียน 1,000 1,300
หนี้สินหมุนเวียนรวม 500 1,000

แค่ดูเผินๆ อาจจะรู้สึกว่า “เอ๊ะ สินทรัพย์หมุนเวียนปี 67 ก็เพิ่มขึ้นนี่นา จาก 1,000 เป็น 1,300 ล้านบาท น่าจะดีสิ?”… อย่าเพิ่งด่วนสรุป! เรามาคำนวณ Ratio กันดีกว่า

Step 1: คำนวณ Current Ratio

  • ปี 2566: 1,000 / 500 = 2.0 เท่า
  • ปี 2567: 1,300 / 1,000 = 1.3 เท่า

วิเคราะห์: เห็นมั้ย! แม้สินทรัพย์จะดูเพิ่มขึ้น แต่ Current Ratio กลับลดลงอย่างน่าตกใจ จาก 2.0 เหลือแค่ 1.3 เท่า แปลว่าความสามารถในการจ่ายหนี้ระยะสั้นลดลงเกือบครึ่ง! นี่คือ 🚨 สัญญาณเตือนที่ 1 🚨

Step 2: คำนวณ Quick Ratio (เพื่อความชัวร์)

  • ปี 2566: (1,000 – 500) / 500 = 500 / 500 = 1.0 เท่า
  • ปี 2567: (1,300 – 900) / 1,000 = 400 / 1,000 = 0.4 เท่า

วิเคราะห์: ชัดเลย! Quick Ratio ของปี 67 ดิ่งลงไปเหลือแค่ 0.4 เท่า ซึ่ง ต่ำกว่า 1 อย่างมีนัยสำคัญ นี่คือ 🚨 สัญญาณเตือนที่ 2 (แบบไซเรนดังลั่น!) 🚨 มันบอกเราว่า ถ้า TFG ขายของในสต็อกไม่ได้เลยตอนนี้ พวกเขาจะมีเงินสดและเงินจากลูกหนี้แค่ 400 ล้านบาท แต่มีหนี้ที่ต้องจ่ายถึง 1,000 ล้านบาท! สถานการณ์สุ่มเสี่ยงมาก!

Step 3: ถอดรหัสเบื้องหลังตัวเลข

เมื่อเราเห็นสัญญาณเตือนแล้ว หน้าที่ของนักสืบอย่างเราคือการหา “สาเหตุ” ครับ

  1. เงินสดลดฮวบ: เงินสดลดจาก 300 เหลือ 150 ล้านบาท บริษัทเอาเงินไปทำอะไร? จ่ายหนี้? ลงทุนเพิ่ม? หรือธุรกิจขาดทุนจนเงินสดหด?
  2. สินค้าคงคลังบวมเป่ง: นี่คือตัวปัญหาหลัก! สินค้าคงคลังพุ่งจาก 500 ไปเป็น 900 ล้านบาท! ทำไมถึงเพิ่มขึ้นขนาดนี้?
    • ผลิตของออกมาเยอะเกินไป แต่ขายไม่ได้? (แกดเจ็ตตกรุ่น?)
    • การบริหารสต็อกผิดพลาด?
    • ยอดขายตกฮวบ?
  3. หนี้สินเพิ่มเท่าตัว: หนี้ระยะสั้นเพิ่มจาก 500 เป็น 1,000 ล้านบาท! บริษัทกู้เงินมาทำไม? ใช่กู้มาเพื่อหมุนเงินจ่ายค่าใช้จ่ายเพราะขายของไม่ได้รึเปล่า?
ภาพรวมที่น่ากังวล: บริษัท TFG กำลังอยู่ในภาวะ “สภาพคล่องตึงตัว” อย่างหนัก สินทรัพย์หมุนเวียนที่เพิ่มขึ้นนั้นมาจากสินค้าคงคลังที่ขายไม่ค่อยออก (สินทรัพย์คุณภาพต่ำ) ในขณะที่เงินสดจริงๆ (สินทรัพย์คุณภาพสูง) กลับลดลง สวนทางกับหนี้สินที่พุ่งสูงขึ้น ถ้าบริษัทไม่สามารถระบายสต็อกสินค้าเพื่อเอาเงินสดมาให้ได้โดยเร็ว อาจจะเจอปัญหาใหญ่ในการจ่ายหนี้ระยะสั้นในอนาคตได้เลย

ถาม-ตอบ สไตล์เด็กวิทย์-คณิต  🤓

Q1: อัตราส่วนพวกนี้ยิ่งสูง ยิ่งดีเสมอไปมั้ยครับ/คะ?

A: ไม่เสมอไป! ถ้า Current Ratio สูงมากๆ (เช่น 10 เท่า) อาจแปลว่าบริษัทมีเงินสดหรือสินทรัพย์เยอะเกินไป แต่ไม่ได้นำไปลงทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุด หรือที่เรียกว่า “การบริหารสินทรัพย์ไม่มีประสิทธิภาพ” เหมือนเรามีเงินเต็มกระเป๋าแต่ไม่เคยเอาไปฝากธนาคารให้ได้ดอกเบี้ยเลย ทุกอย่างต้องมีความสมดุลครับ!

Q2: แล้วค่าที่ “ดี” จริงๆ มันควรอยู่ที่เท่าไหร่?

A: คำตอบคือ “แล้วแต่ธุรกิจ” (It depends!) ธุรกิจที่ขายของเป็นเงินสดตลอดเวลาอย่างร้านสะดวกซื้อ อาจจะมี Current Ratio แค่ 1 นิดๆ ก็ได้ เพราะหมุนเงินเร็วมาก ในขณะที่ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่ต้องรอเงินจากลูกค้าเป็นงวดๆ อาจจะต้องมี Ratio สูงๆ ไว้เพื่อความปลอดภัย ทางที่ดีที่สุดคือการนำ Ratio ของบริษัทที่เราสนใจ ไปเทียบกับ “ค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม” เดียวกัน

Q3: ดูแค่ 2 อัตราส่วนนี้แล้วตัดสินใจลงทุนได้เลยมั้ย?

A: ไม่ได้เด็ดขาด! นี่เป็นแค่การ “ตรวจสุขภาพเบื้องต้น” เท่านั้น เหมือนหมอวัดไข้กับความดัน ยังไม่ได้ X-Ray หรือตรวจเลือด เราต้องดูอัตราส่วนอื่นๆ (เช่น D/E Ratio วัดหนี้สิน, ROE วัดความสามารถทำกำไร) และอ่าน “งบกระแสเงินสด”, “งบกำไรขาดทุน” ประกอบด้วยเสมอ เพื่อให้เห็นภาพรวมทั้งหมดครับ

Q4: เราเอาหลักการนี้มาใช้กับการเงินส่วนตัวได้มั้ย?

A: เป็นคำถามที่ดีมาก! ได้แน่นอน! ลองลิสต์ดูสิว่าเรามี “สินทรัพย์หมุนเวียน” (เงินสด, เงินในบัญชี) เท่าไหร่ และมี “หนี้สินหมุนเวียน” (หนี้บัตรเครดิตที่ต้องจ่ายเดือนนี้, เงินที่ยืมเพื่อน) เท่าไหร่ ถ้าสินทรัพย์เรามากกว่าหนี้สินเยอะๆ ก็สบายใจได้ว่าสภาพคล่องเราดีเยี่ยม!

Q5: หาข้อมูลพวกนี้ได้จากที่ไหน?

A: ง่ายมากๆ สำหรับบริษัทจดทะเบียนในไทย เข้าไปที่เว็บไซต์ของ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (www.set.or.th) ค้นหาชื่อหุ้นที่สนใจ แล้วเข้าไปที่เมนู “ข้อมูลงบการเงิน/ผลประกอบการ” หรือเข้าไปที่เว็บไซต์ของบริษัทนั้นๆ โดยตรงในส่วนของ “นักลงทุนสัมพันธ์ (Investor Relations)” จะมีข้อมูลทั้งหมดให้ดาวน์โหลดเลยครับ

สรุปส่งท้ายจากใจรุ่นพี่ 💖

การวิเคราะห์ Current Ratio และ Quick Ratio ก็เหมือนการใช้สเต็ปแรกในการสกรีนหุ้นหรือบริษัทต่างๆ มันช่วยให้เราตัดตัวเลือกที่มี “สัญญาณอันตราย” ด้านสภาพคล่องออกไปก่อน ทำให้เราไม่ต้องเสียเวลาไปเจาะลึกบริษัทที่มีความเสี่ยงสูง

จำไว้นะครับเพื่อนๆ การลงทุนมีความเสี่ยง แต่ความเสี่ยงที่น่ากลัวที่สุดคือ “ความเสี่ยงจากการไม่รู้” การศึกษาหาความรู้แบบนี้แหละ คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุดของเราในโลกการเงิน สู้ๆ นะ ว่าที่นักลงทุน Gen Z ทุกคน! 😉

Most Popular

Categories