ผลกระทบจากเกณฑ์คงค้างในกำไรสุทธิ: สิ่งที่นักลงทุนควรรู้

ผลกระทบจากเกณฑ์คงค้างในกำไรสุทธิ: สิ่งที่นักลงทุน(วัยทีนแบบเราๆ) ควรรู้!

เฮ้! น้องๆ ชาว Gen Z ที่กำลังสนใจโลกของการลงทุนทุกคน พี่เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “กำไรสุทธิ” กันมาบ้างแหละเนอะ เวลาเราดูข่าวหุ้น หรือส่องแอปเทรดหุ้น ก็จะเห็นตัวเลขนี้โชว์หราอยู่ตลอด แต่เคยสงสัยมั้ยว่า… ตัวเลขกำไรสวยๆ ที่เราเห็น มันสะท้อนความจริงของบริษัทได้ 100% รึเปล่า? แล้วถ้าพี่บอกว่า มี “กฎ” ข้อหนึ่งที่เหมือนเป็นเบื้องหลังฉาก ที่ทำให้นักบัญชีบันทึกตัวเลขพวกนี้ และมันส่งผลโดยตรงกับกำไรที่เรารู้จัก กฎข้อนั้นเรียกว่า “เกณฑ์คงค้าง (Accrual Basis)” ไงล่ะ!

บทความนี้จะไม่ได้มาสอนบัญชีจ๋าจนน่าเบื่อนะ แต่จะมาในสไตล์พี่สอนน้อง ชวนทุกคนมาไขความลับของเกณฑ์คงค้างแบบเข้าใจง่ายสุดๆ เหมือนเพื่อนเล่าให้ฟัง รับรองว่าอ่านจบแล้ว น้องๆ จะมอง “กำไรสุทธิ” ด้วยสายตาที่เฉียบคมขึ้น และกลายเป็นนักลงทุนรุ่นใหม่ที่ฉลาดกว่าใครแน่นอน!

เกณฑ์คงค้างคืออะไร? เทียบกับเกณฑ์เงินสดให้เห็นภาพชัดๆ

ก่อนจะไปไกล เรามาทำความรู้จักคู่หูดูโอ้แห่งการบันทึกบัญชีกันก่อน นั่นคือ “เกณฑ์เงินสด” กับ “เกณฑ์คงค้าง”

1. เกณฑ์เงินสด (Cash Basis): ง่ายๆ แบบเงินเข้า-เงินออก

ลองนึกภาพตามนะ สมมติเราเป็นฟรีแลนซ์รับจ้างทำการบ้าน (แค่สมมตินะ!) เกณฑ์เงินสดคือ เราจะนับว่ามี “รายได้” ก็ต่อเมื่อเพื่อนโอนเงินค่าจ้างมาให้แล้วจริงๆ และจะนับว่าเป็น “รายจ่าย” ก็ต่อเมื่อเราจ่ายเงินค่าปากกา ค่ากระดาษออกไปจริงๆ พูดง่ายๆ คือ ยึดเงินสดที่เข้า-ออกจากกระเป๋าเป็นหลัก ไม่สนว่างานจะเสร็จตอนไหน หรือซื้อของมาตอนไหน

2. เกณฑ์คงค้าง (Accrual Basis): มองภาพใหญ่กว่าแค่เงินสด

อันนี้แหละพระเอกของเรา! เกณฑ์คงค้างจะซับซ้อนขึ้นมาอีกสเต็ป แต่มันสะท้อนภาพเศรษฐกิจที่แท้จริงได้ดีกว่ามาก หลักการของมันคือ:

  • รับรู้รายได้เมื่อ “ส่งมอบสินค้า/บริการ” เรียบร้อยแล้ว: ไม่ว่าเราจะได้รับเงินหรือยังก็ตาม เช่น เราทำการบ้านให้เพื่อนเสร็จในเดือนธันวาคม เราจะบันทึกเลยว่ามี “รายได้” เกิดขึ้นในเดือนธันวาคม ถึงแม้เพื่อนจะบอกว่า “เดี๋ยวจ่ายให้ต้นเดือนมกรานะ” ก็ตาม
  • รับรู้ค่าใช้จ่ายเมื่อ “ได้รับประโยชน์” จากสินค้า/บริการนั้นแล้ว: ไม่ว่าเราจะจ่ายเงินไปหรือยัง เช่น เราไปซื้อปากกาแพ็คใหญ่จากสหกรณ์มาใช้ทำการบ้านในเดือนธันวาคม โดยเซ็นบิลไว้ก่อนแล้วไปจ่ายเดือนมกราคม เราต้องบันทึกว่ามี “ค่าใช้จ่าย” เกิดขึ้นในเดือนธันวาคมทันที

ตัวอย่างสุดคลีน: ร้านขายเสื้อผ้าออนไลน์ของ “เจนนี่”

เจนนี่เปิดร้านขายเสื้อผ้าใน IG ในเดือนธันวาคม เกิดเหตุการณ์ต่อไปนี้:

  • ขายเสื้อให้ลูกค้าได้ 10,000 บาท (ลูกค้าโอนเงินมาแล้ว)
  • ขายกางเกงให้เพื่อนสนิทไป 2,000 บาท (เพื่อนบอกสิ้นเดือนค่อยจ่าย)
  • จ่ายค่าโปรโมตโพสต์ใน IG ไป 1,500 บาท
  • ค่าไฟเดือนธันวาคมมา 500 บาท แต่บิลให้จ่ายภายในวันที่ 10 มกราคม

ถ้าเจนนี่ใช้เกณฑ์เงินสด (แบบร้านค้าเล็กๆ ทั่วไป):

รายได้: 10,000 บาท (นับเฉพาะที่เงินเข้า)
ค่าใช้จ่าย: 1,500 บาท (นับเฉพาะที่เงินออก)
กำไร (ตามเกณฑ์เงินสด): 8,500 บาท

ถ้าเจนนี่ใช้เกณฑ์คงค้าง (แบบบริษัทในตลาดหุ้น):

รายได้: 10,000 + 2,000 = 12,000 บาท (นับทั้งหมดที่ขายได้ เพราะส่งของแล้ว)
ค่าใช้จ่าย: 1,500 + 500 = 2,000 บาท (นับค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเดือนนั้น)
กำไร (ตามเกณฑ์คงค้าง): 10,000 บาท

เห็นความต่างมั้ย? กำไรมันคนละตัวเลขกันเลย! และบริษัทใหญ่ๆ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ทุกบริษัท ต้องใช้เกณฑ์คงค้างเท่านั้น เพื่อให้นักลงทุนทุกคนเห็นภาพผลการดำเนินงานที่แท้จริงในแต่ละช่วงเวลา ไม่ใช่แค่ภาพเงินสดที่ไหลเข้า-ออก

เกณฑ์คงค้าง “ปั้น” กำไรสุทธิที่เราเห็นในงบการเงินได้อย่างไร?

จากตัวอย่างตะกี้ เราคงพอเห็นภาพแล้วว่าเกณฑ์คงค้างมันส่งผลกับกำไรยังไง ทีนี้เรามาเจาะลึกกันอีกหน่อยว่ามันเข้าไปเกี่ยวข้องกับงบการเงินส่วนไหนบ้าง

หัวใจของเรื่องนี้อยู่ที่ “งบกำไรขาดทุน (Income Statement)” ซึ่งมีสมการง่ายๆ ว่า:

รายได้ (Revenues) – ค่าใช้จ่าย (Expenses) = กำไรสุทธิ (Net Profit)

เกณฑ์คงค้างส่งผลกระทบกับทั้งสองฝั่งของสมการนี้เลย:

ฝั่งรายได้: ระวัง “รายได้ค้างรับ (Accrued Revenue/Accounts Receivable)”

นี่คือยอดขายที่บริษัททำได้แล้ว แต่ยังเก็บเงินจากลูกค้าไม่ได้ (เหมือนที่เจนนี่ขายกางเกงให้เพื่อนแล้วเพื่อนยังไม่จ่าย) ในงบดุล (Balance Sheet) เราจะเห็นรายการนี้ในชื่อ “ลูกหนี้การค้า”

ผลกระทบ: มันทำให้ตัวเลข “รายได้” และ “กำไรสุทธิ” ในงบกำไรขาดทุนดูสูงขึ้น แม้ว่าบริษัทยังไม่มีเงินสดเข้ามาจริงๆ ก็ตาม นี่ไม่ใช่เรื่องผิดนะ มันเป็นไปตามหลักการบัญชี แต่ในฐานะนักลงทุน เราต้องตั้งคำถามต่อว่า…

  • ลูกหนี้การค้าก้อนนี้ใหญ่แค่ไหนเมื่อเทียบกับยอดขายทั้งหมด?
  • บริษัทมีแนวโน้มจะเก็บเงินก้อนนี้ได้จริงรึเปล่า? หรือจะกลายเป็นหนี้เสีย?

ฝั่งค่าใช้จ่าย: อย่ามองข้าม “ค่าใช้จ่ายค้างจ่าย (Accrued Expense/Accounts Payable)”

นี่คือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นแล้ว แต่บริษัทยังไม่ได้จ่ายเงินออกไป (เหมือนค่าไฟของเจนนี่) ในงบดุล เราจะเห็นรายการนี้ในชื่อ “เจ้าหนี้การค้า” หรือ “ค่าใช้จ่ายค้างจ่าย”

ผลกระทบ: มันทำให้ “ค่าใช้จ่าย” ถูกบันทึกในงวดที่ควรจะเป็นจริงๆ ส่งผลให้ “กำไรสุทธิ” สะท้อนภาพที่ถูกต้องมากขึ้น ถ้าไม่บันทึกค่าใช้จ่ายพวกนี้ กำไรก็จะดูสูงเกินจริงไปเลย

สรุปง่ายๆ คือ: เกณฑ์คงค้างพยายามจับคู่ “รายได้” กับ “ค่าใช้จ่าย” ที่เกี่ยวข้องกันให้อยู่ในงวดเวลาเดียวกัน เพื่อวัด “ผลการดำเนินงาน” ที่แท้จริง ไม่ใช่วัดแค่ “เงินสด” ในกระเป๋า

ทำไมนักลงทุนวัยทีนแบบเราต้องแคร์เรื่องน่าปวดหัวนี้ด้วย?

โอเค พี่รู้ว่ามันดูเป็นเรื่องบัญชี๊บัญชี แต่เชื่อพี่เถอะว่าการเข้าใจเรื่องนี้ คือการติดอาวุธสำคัญให้นักลงทุนเลยนะ เหตุผลหลักๆ มี 3 ข้อ:

1. เพื่อมองทะลุ “ภาพลวงตาของกำไร”

บริษัทอาจโชว์กำไรสุทธิสวยหรู แต่ถ้ากำไรนั้นมาจาก “ลูกหนี้การค้า” ที่เพิ่มขึ้นมหาศาล ขณะที่เงินสดจากการดำเนินงาน (Cash Flow from Operations) ติดลบ มันอาจเป็นสัญญาณอันตราย! แปลว่าบริษัทขายของเก่ง แต่เก็บเงินไม่ได้เลย สุดท้ายถ้าลูกค้าเบี้ยวหนี้ กำไรที่เคยบันทึกไว้ก็อาจกลายเป็นอากาศได้

2. เพื่อเปรียบเทียบบริษัทได้อย่างยุติธรรม (Apple-to-Apple Comparison)

อย่างที่บอกไปว่าทุกบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ใช้เกณฑ์คงค้างเหมือนกันหมด ทำให้เราสามารถนำงบการเงินของบริษัท A มาเทียบกับบริษัท B ในอุตสาหกรรมเดียวกันได้อย่างสมเหตุสมผล ถ้าบริษัทหนึ่งใช้เกณฑ์เงินสด อีกบริษัทใช้เกณฑ์คงค้าง เราจะเทียบกันไม่ได้เลย เหมือนเทียบนักมวยคนละรุ่นน้ำหนัก

3. เพื่อคาดการณ์อนาคตของบริษัทได้ดีขึ้น

งบการเงินที่จัดทำตามเกณฑ์คงค้างให้ภาพรวมของ “สุขภาพทางการเงิน” ที่สมบูรณ์กว่า มันบอกเราว่าบริษัทสร้างรายได้และควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีแค่ไหนในรอบปีนั้นๆ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในการประเมินศักยภาพการเติบโตในอนาคตได้ดีกว่าการดูแค่เงินสดที่เหลือในบัญชี

จับตาสัญญาณอันตราย! เมื่อเกณฑ์คงค้างถูกใช้ในทางที่ผิด

ทุกอย่างมีสองด้านเสมอ แม้เกณฑ์คงค้างจะเป็นมาตรฐานที่ดี แต่มันก็เปิดช่องให้บริษัทที่ “อยากจะตกแต่งตัวเลข” สามารถทำได้เช่นกัน ในฐานะนักสืบการลงทุนรุ่นเยาว์ เราต้องมองหาสัญญาณเตือน (Red Flags) เหล่านี้:

  • กำไรสุทธิโต แต่เงินสดจากการดำเนินงานลดลงสวนทาง: นี่คือสัญญาณเตือนข้อใหญ่ที่สุด! ถ้าเจอแบบนี้ ต้องรีบไปเปิด “งบกระแสเงินสด” ควบคู่กับ “งบกำไรขาดทุน” ทันที เพื่อหาสาเหตุว่าทำไมกำไรที่เป็นตัวเลขถึงไม่แปลงเป็นเงินสดจริงๆ
  • ลูกหนี้การค้า (Accounts Receivable) โตเร็วกว่ายอดขาย: สมมติยอดขายโต 10% แต่ลูกหนี้การค้าโต 30%? เอ๊ะ! มันแปลว่าบริษัทอาจจะกำลังผ่อนปรนนโยบายการเก็บเงินกับลูกค้ามากไป หรืออาจจะ “ยัดเยียด” การขายในช่วงปลายไตรมาสเพื่อปั้นตัวเลข แต่ยังเก็บเงินไม่ได้
  • การเปลี่ยนแปลงนโยบายบัญชีแปลกๆ: บางครั้งบริษัทอาจเปลี่ยนวิธีรับรู้รายได้หรือค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งอาจส่งผลให้กำไรดูดีขึ้นชั่วคราว เราสามารถอ่านเจอเรื่องพวกนี้ได้ใน “หมายเหตุประกอบงบการเงิน” (ส่วนที่คนส่วนใหญ่มักจะข้ามไปนั่นแหละ!)

Q&A คลายข้อสงสัยสไตล์เด็กหอ: ถามมา-ตอบไป!

สรุปแล้วเกณฑ์คงค้างกับเกณฑ์เงินสด อันไหนดีกว่ากัน?

สำหรับการวิเคราะห์เพื่อการลงทุน เกณฑ์คงค้างดีกว่าและให้ภาพที่สมบูรณ์กว่ามากครับ เพราะมันสะท้อนผลการดำเนินงานทางเศรษฐกิจที่แท้จริง ส่วนเกณฑ์เงินสดจะเหมาะกับธุรกิจขนาดเล็กมากๆ หรือการทำบัญชีรายรับรายจ่ายส่วนตัวมากกว่า

แล้วเราจะไปดูตัวเลขพวกนี้ได้จากที่ไหน?

ข้อมูลทั้งหมดอยู่ใน “งบการเงิน” ของบริษัทครับ ซึ่งเราสามารถหาดาวน์โหลดได้ฟรีจากเว็บไซต์ของบริษัทนั้นๆ (ในส่วนของ “นักลงทุนสัมพันธ์”) หรือเข้าไปที่เว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (www.set.or.th) แล้วค้นหาชื่อหุ้นที่สนใจได้เลย

มันดูซับซ้อนจังเลย สำหรับมือใหม่แบบเราจะเข้าใจได้เหรอ?

เข้าใจได้แน่นอน! ไม่จำเป็นต้องเข้าใจทุกรายการในงบการเงินก็ได้ แค่เราเข้าใจ “คอนเซ็ปต์” ที่สำคัญอย่างเกณฑ์คงค้าง และรู้ว่าต้องมองหาอะไร เช่น การเปรียบเทียบกำไรสุทธิกับเงินสดจากการดำเนินงาน แค่นี้ก็ทำให้เรานำหน้าคนอื่นไปหลายก้าวแล้วครับ!

“ลูกหนี้การค้า” กับ “รายได้ค้างรับ” มันคืออันเดียวกันมั้ย?

ในทางปฏิบัติสำหรับนักลงทุนทั่วไป เราอาจมองว่าเป็นเรื่องเดียวกันได้ครับ คือ “เงินที่ควรจะได้รับแต่ยังไม่ได้” แต่ในทางบัญชีอาจมีความแตกต่างเล็กน้อย โดยลูกหนี้การค้ามักจะหมายถึงเงินค่าสินค้า/บริการที่ออกใบแจ้งหนี้ไปแล้ว ส่วนรายได้ค้างรับอาจเป็นรายได้ที่เกิดขึ้นตามเวลาแต่ยังไม่ถึงรอบออกใบแจ้งหนี้ (เช่น ดอกเบี้ย) แต่ไม่ต้องกังวลกับรายละเอียดตรงนี้มากก็ได้ครับ

บทสรุป: มองกำไรสุทธิด้วยเลนส์ใหม่ที่เรียกว่า “เกณฑ์คงค้าง”

เป็นไงกันบ้างครับน้องๆ พอจะเห็นภาพรวมของ “เกณฑ์คงค้าง” และพลังของมันที่มีต่อ “กำไรสุทธิ” มากขึ้นแล้วเนอะ? มันอาจจะไม่ได้ง่ายเหมือนการดูยอดเงินในบัญชีธนาคาร แต่มันคือภาษาของโลกธุรกิจและการลงทุนที่แท้จริง

จากนี้ไป เวลาเราเห็นตัวเลขกำไรสุทธิของบริษัทไหน อย่าเพิ่งรีบดีใจหรือเสียใจไปกับมัน ให้ลองตั้งคำถามต่ออีกนิด…

  • กำไรนี้มาจากไหน? มาจากการดำเนินงานจริงๆ หรือมาจากการบันทึกบัญชี?
  • แล้วกระแสเงินสดของบริษัทเป็นอย่างไร? สอดคล้องกับกำไรหรือไม่?

การเข้าใจ “เกณฑ์คงค้าง” ไม่ได้ทำให้เราเป็นนักบัญชี แต่มันทำให้เราเป็น “นักลงทุนที่ฉลาด” ที่สามารถอ่านเกมของบริษัทออก และตัดสินใจลงทุนบนพื้นฐานของความเข้าใจ ไม่ใช่แค่ความรู้สึกหรือข่าวลือ ขอให้ทุกคนสนุกกับการเดินทางบนเส้นทางสายการลงทุนนะครับ!

Most Popular

Categories