ธรรมาภิบาลบริษัท: มาตรการและแนวปฏิบัติที่ ส่งเสริมตลาดทุนยั่งยืน
ในยุคที่โลกธุรกิจไม่ได้วัดความสำเร็จจากผลกำไรเพียงอย่างเดียว แต่ยังครอบคลุมถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี คำว่า “ธรรมาภิบาล” และ “ความยั่งยืน” จึงกลายเป็นหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนองค์กรและตลาดทุนไปสู่การเติบโตที่มั่นคงและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
1. ธรรมาภิบาล (Corporate Governance) คืออะไร?
ธรรมาภิบาล หรือ Corporate Governance (CG) คือระบบและกระบวนการในการบริหารจัดการและควบคุมบริษัท เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ มีประสิทธิภาพ และเป็นธรรมต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นผู้ถือหุ้น พนักงาน ลูกค้า คู่ค้า ชุมชน และสังคมโดยรวม หลักการพื้นฐานของการกำกับดูแลกิจการที่ดี ประกอบด้วยความรับผิดชอบ (Accountability) ความโปร่งใส (Transparency) ความเท่าเทียม (Fairness) และความรับผิดชอบต่อผลการกระทำ (Responsibility) ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นรากฐานสำคัญขององค์กรที่น่าเชื่อถือ
2. ความสำคัญของธรรมาภิบาลต่อความยั่งยืนและตลาดทุน
ในปัจจุบัน นักลงทุนทั่วโลกไม่ได้มองแค่ตัวเลขทางการเงินอีกต่อไป แต่ให้ความสำคัญกับปัจจัยด้าน CG + ESG ซึ่งหมายถึง การคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance) ในการดำเนินธุรกิจ
- สร้างความเชื่อมั่น: องค์กรที่มีธรรมาภิบาลที่ดี จะได้รับความไว้วางใจจากนักลงทุนและตลาดทุน ทำให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น
- ลดความเสี่ยง: การกำกับดูแลกิจการที่เข้มแข็งช่วยลดความเสี่ยงจากการทุจริต การดำเนินงานที่ผิดพลาด และสร้างเสถียรภาพในระยะยาว
- เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน: บริษัทที่ใส่ใจเรื่องความยั่งยืน มักจะมีนวัตกรรมและภาพลักษณ์ที่ดีกว่า ดึงดูดทั้งลูกค้าและบุคลากรที่มีคุณภาพ
- ส่งเสริมการเติบโตที่ยั่งยืน: ธรรมาภิบาลเป็นเสาหลักของความยั่งยืน ทำให้ธุรกิจเติบโตไปพร้อมกับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมได้อย่างสมดุล
3. หลักการสำคัญของ CG + ESG ในการกำกับดูแลกิจการ
การผนวกแนวคิด ESG เข้ากับการกำกับดูแลกิจการ (CG) ได้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ที่องค์กรชั้นนำต้องปฏิบัติ โดยมีแนวทางสำคัญดังนี้
แนวปฏิบัติการกำกับดูแลกิจการที่ผสานความยั่งยืน
- คณะกรรมการที่มีวิสัยทัศน์: กำหนดกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนและกำกับดูแลให้ฝ่ายบริหารนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง
- การเปิดเผยข้อมูลที่โปร่งใส: รายงานข้อมูลด้าน ESG ที่ไม่ใช่แค่ตัวเลขทางการเงิน (Non-financial Information) อย่างครบถ้วนและเชื่อถือได้ ซึ่งเป็นหน้าที่สำคัญของฝ่ายบัญชี
- การบริหารความเสี่ยงรอบด้าน: ประเมินและจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ ESG เช่น ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชนในห่วงโซ่อุปทาน
- การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสีย: รับฟังและตอบสนองต่อความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อสร้างคุณค่าร่วมกัน
4. บทบาทของนักบัญชี: ฟันเฟืองสำคัญขับเคลื่อนธรรมาภิบาลและความยั่งยืน
เมื่อโลกธุรกิจเปลี่ยนไป บทบาทของนักบัญชีก็เปลี่ยนตาม จากเดิมที่เน้นเพียงการบันทึกและตรวจสอบตัวเลขทางการเงิน ปัจจุบันนักบัญชีคือผู้ที่มีบทบาทเชิงกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนธรรมาภิบาลและความยั่งยืนขององค์กร โดยมีหน้าที่
- จัดทำและตรวจสอบรายงานความยั่งยืน (Sustainability Reporting)
- พัฒนาระบบการวัดผลและรวบรวมข้อมูลด้าน ESG
- ให้ความเชื่อมั่นต่อข้อมูลที่เปิดเผย เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับนักลงทุน
- เป็นที่ปรึกษาให้แก่ผู้บริหารในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่คำนึงถึงความยั่งยืน
5. ยกระดับความรู้สู่มืออาชีพที่ คณะบัญชี ม.ศรีปทุม (ACC SPU)
เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาดแรงงานยุคใหม่ คณะบัญชี มหาวิทยาลัยศรีปทุม (ACC SPU) ได้พัฒนาหลักสูตรที่ทันสมัยและครอบคลุมองค์ความรู้ด้านการกำกับดูแลกิจการและความยั่งยืน เพื่อสร้างบัณฑิตคุณภาพที่พร้อมสำหรับโลกธุรกิจแห่งอนาคต
ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรระดับ ปริญญาตรี ที่ปูพื้นฐานอย่างแข็งแกร่ง ระดับ ปริญญาโท ที่เน้นการวิเคราะห์เชิงลึกและการประยุกต์ใช้ หรือระดับ ปริญญาเอก ที่สร้างนักวิชาการและผู้บริหารระดับสูง ทุกหลักสูตรของ ม.ศรีปทุม ได้สอดแทรกเนื้อหาเกี่ยวกับ CG + ESG, การรายงานความยั่งยืน และธรรมาภิบาล เพื่อให้นักศึกษาเข้าใจบทบาทของวิชาชีพบัญชีในบริบทที่กว้างขึ้น และพร้อมเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงในองค์กร
ผู้ที่สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ หลักสูตรคณะบัญชี ม.ศรีปทุม (SPU) เพื่อเตรียมความพร้อมสู่สายอาชีพที่มั่นคงและเป็นที่ต้องการของตลาด
6. คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Q1: ธรรมาภิบาล (CG) แตกต่างจาก ESG อย่างไร?
A: ธรรมาภิบาล (CG) เป็นหนึ่งในสามองค์ประกอบของ ESG (G = Governance) โดย CG จะเน้นไปที่โครงสร้างและกระบวนการ “ภายใน” องค์กรเพื่อให้การบริหารจัดการโปร่งใสและเป็นธรรม ขณะที่ ESG มีมุมมองที่ “กว้างกว่า” โดยครอบคลุมผลกระทบขององค์กรต่อปัจจัยภายนอกอย่างสิ่งแวดล้อม (E) และสังคม (S) ด้วย ดังนั้น การกำกับดูแลกิจการที่ดีจึงเป็นรากฐานสำคัญที่จะทำให้การดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมประสบความสำเร็จ
Q2: ทำไมการเรียนบัญชีในปัจจุบันต้องให้ความสำคัญกับเรื่องความยั่งยืน?
A: เพราะนักบัญชีไม่ใช่แค่ผู้บันทึกข้อมูล แต่เป็นผู้วิเคราะห์และนำเสนอข้อมูลเพื่อการตัดสินใจ การรายงานด้านความยั่งยืนกลายเป็นข้อบังคับและมาตรฐานสากลที่นักลงทุนใช้พิจารณา การเรียนบัญชีที่เข้าใจเรื่องนี้ จะทำให้บัณฑิตมีความสามารถรอบด้าน สามารถตรวจสอบและให้ความเชื่อมั่นต่อข้อมูล ESG ได้ ซึ่งเป็นทักษะที่มีมูลค่าสูงและเป็นที่ต้องการอย่างมากในปัจจุบัน
Q3: จบปริญญาตรีบัญชีแล้ว สามารถต่อยอดสายงานด้านธรรมาภิบาลได้อย่างไร?
A: บัณฑิตปริญญาตรีบัญชีมีทางเลือกหลากหลาย เช่น ทำงานในฝ่ายตรวจสอบภายใน, ฝ่ายบริหารความเสี่ยง, หรือฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับธรรมาภิบาลโดยตรง นอกจากนี้ยังสามารถศึกษาต่อในระดับ ปริญญาโท หรือ ปริญญาเอก เพื่อเพิ่มความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการกำกับดูแลกิจการ หรือการบัญชีเพื่อความยั่งยืน ซึ่งจะเปิดโอกาสสู่ตำแหน่งงานในระดับผู้บริหารหรือที่ปรึกษาได้ในอนาคต
อ้างอิงข้อมูลเกี่ยวกับแนวปฏิบัติที่ดีด้านความยั่งยืน: ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)