เครื่องมือ AI ยอดนิยม ที่นักบัญชีควรรู้จักและนำไปใช้จริง

น้องๆ เคยคิดมั้ยว่า “นักบัญชี” คืออาชีพน่าเบื่อ?

พี่เชื่อว่าหลายคนพอได้ยินคำว่า “บัญชี” คงนึกถึงภาพคนใส่แว่นหนาๆ นั่งจมอยู่กับกองเอกสาร ตัวเลขยุบยับเต็มไปหมด แล้วก็กดเครื่องคิดเลขเสียงดังแก๊กๆ ทั้งวัน… พี่จะบอกว่า ลืมภาพนั้นไปได้เลย! เพราะโลกของบัญชีในยุคดิจิทัล โดยเฉพาะใน พ.ศ. นี้ มันเปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือแล้ว!

ทุกวันนี้เรามีเพื่อนร่วมงานคนใหม่ที่ฉลาดสุดๆ และไม่เคยเหนื่อย ชื่อของเขาก็คือ AI (Artificial Intelligence) หรือ ปัญญาประดิษฐ์ นั่นเอง AI ไม่ได้อยู่แค่ในหนัง Sci-Fi หรือเป็นเรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่มันได้เข้ามาเป็น “ผู้ช่วยมือทอง” ของนักบัญชีรุ่นใหม่ ทำให้เราทำงานได้ฉลาดขึ้น เร็วขึ้น และสนุกขึ้นกว่าเดิมเยอะ!

บทความนี้ พี่จะพาน้องๆ ที่กำลังเรียนอยู่ ม.ปลาย หรือกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย และอาจจะสนใจสายบัญชี (หรืออาจจะยังลังเล) ไปทัวร์โลกของ “AI สำหรับนักบัญชี” กันแบบเจาะลึก เราจะมาดูกันว่ามีเครื่องมืออะไรเจ๋งๆ บ้าง แล้วมันเปลี่ยนอนาคตของอาชีพนี้ไปอย่างไร พร้อมแล้วก็ไปลุยกันเลย!

ทำไม AI ถึงสำคัญกับนักบัญชียุคใหม่? (

คำถามยอดฮิตที่พี่ได้ยินบ่อยมากคือ “พี่คะ/ครับ แล้วแบบนี้ AI จะมาแย่งงานนักบัญชีรึเปล่า?”  คำตอบที่พี่ให้เสมอคือ “ไม่ แต่ AI จะเปลี่ยนวิธีการทำงานของเราไปตลอดกาล”

ลองนึกภาพตามนะ งานบัญชีที่น่าเบื่อและซ้ำซากที่สุดคืออะไร? ใช่แล้ว! การคีย์ข้อมูลจากใบกำกับภาษี, ใบเสร็จรับเงิน ทีละใบๆ การกระทบยอดธนาคารที่บางทีตัวเลขต่างกันไม่กี่สตางค์ก็ต้องหาจนตาแตก งานพวกนี้แหละคือสิ่งที่ AI ทำได้ดีกว่ามนุษย์ มันทำได้ 24 ชั่วโมง ไม่มีบ่น ไม่มีพลาด (ถ้าเราสอนมันดีพอ)

ประโยชน์หลักๆ ของ AI ในงานบัญชี คือ:

  • ลดความผิดพลาดของมนุษย์ (Human Error): ลืมไปเลยเรื่องคีย์ตัวเลขผิดหลัก หรือบวกลบเลขพลาด AI มีความแม่นยำสูงมาก
  • เพิ่มความเร็วและประสิทธิภาพ: งานที่เคยใช้เวลาเป็นวันๆ อาจจะเสร็จได้ในไม่กี่นาทีด้วยพลังของ AI
  • ประหยัดเวลาและต้นทุน: เมื่อทำงานได้เร็วขึ้น ก็มีเวลาไปทำงานอย่างอื่นที่สำคัญกว่า บริษัทก็ลดต้นทุนการทำงานลงได้
  • วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Data Analytics): นี่คือหัวใจสำคัญ! AI ไม่ได้แค่บันทึกข้อมูล แต่มันสามารถวิเคราะห์ข้อมูลการเงินจำนวนมหาศาล เพื่อหาแนวโน้ม คาดการณ์อนาคต หรือมองหาความผิดปกติที่ซ่อนอยู่ได้

ดังนั้น AI ไม่ได้มา “แย่งงาน” แต่มันมา “อัปเกรด” งานของเรา จากคนที่คอยบันทึกข้อมูลในอดีต (Bookkeeper) ให้กลายเป็น ที่ปรึกษาทางธุรกิจเชิงกลยุทธ์ (Strategic Business Advisor) ที่ใช้ข้อมูลมาช่วยให้บริษัทตัดสินใจได้ดีขึ้น เท่กว่าเดิมเยอะเลยใช่มั้ยล่ะ?

เจาะลึก! 6 หมวดหมู่เครื่องมือ AI ยอดฮิตที่นักบัญชีต้องรู้

โอเค! เกริ่นมาพอสมควรแล้ว ถึงเวลามาดูของจริงกันดีกว่าว่าเครื่องมือ AI ที่นักบัญชีทั่วโลก รวมถึงในไทยเริ่มใช้กันอย่างแพร่หลาย มีอะไรบ้าง พี่จะแบ่งเป็นหมวดหมู่เพื่อให้เข้าใจง่ายๆ นะ

1. เครื่องมือบันทึกข้อมูลอัตโนมัติ (Automated Data Entry & OCR)

นี่คือด่านแรกและเป็นสิ่งที่นักบัญชีทุกคนรัก! เทคโนโลยีนี้เรียกว่า OCR (Optical Character Recognition) หลักการง่ายๆ คือ “สแกนปุ๊บ บันทึกปั๊บ” แค่เราถ่ายรูปใบเสร็จหรือใบกำกับภาษีด้วยมือถือ หรืออัปโหลดไฟล์ PDF เข้าไปในระบบ AI ก็จะทำหน้าที่ “อ่าน” ข้อมูลสำคัญๆ เช่น ชื่อร้านค้า, วันที่, รายการสินค้า, ยอดรวม, ภาษีมูลค่าเพิ่ม แล้วดึงข้อมูลเหล่านั้นไปสร้างเป็นรายการบัญชีให้เราโดยอัตโนมัติ!

  • ตัวอย่างเครื่องมือ: Dext (ชื่อเดิม Receipt Bank), AutoEntry, หรือฟีเจอร์ที่ฝังมาในโปรแกรมบัญชีดังๆ
  • ใช้ทำอะไร: ลดเวลาการคีย์ข้อมูลเอกสารทางการค้าทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นใบแจ้งหนี้, ใบเสร็จ, ใบกำกับภาษี
  • ผลลัพธ์: นักบัญชีมีเวลาไปตรวจสอบความถูกต้องและวิเคราะห์ข้อมูลแทนที่จะเสียเวลาคีย์ข้อมูลซ้ำๆ

2. โปรแกรมบัญชีอัจฉริยะ (AI-Powered Accounting Software)

โปรแกรมบัญชียุคใหม่ไม่ใช่แค่โปรแกรมสำหรับลงบัญชีอีกต่อไป แต่เป็นแพลตฟอร์มที่ฝัง AI ไว้ในตัวเพื่อช่วยเราทำงานได้ฉลาดขึ้น มันสามารถเรียนรู้พฤติกรรมการบันทึกบัญชีของเรา และเสนอแนะรายการที่ควรจะบันทึกได้เอง

  • ตัวอย่างเครื่องมือ: Xero, QuickBooks Online, หรือถ้าเป็นของไทยที่กำลังมาแรงก็เช่น FlowAccount ที่มีฟีเจอร์อัจฉริยะมากขึ้นเรื่อยๆ
  • ใช้ทำอะไร:
    • กระทบยอดธนาคารอัตโนมัติ (Bank Reconciliation): AI จะจับคู่รายการเดินบัญชีธนาคาร (Bank Statement) กับรายการที่บันทึกไว้ในระบบบัญชีให้อัตโนมัติ ทำให้การปิดงบเร็วขึ้นมาก
    • จัดหมวดหมู่ค่าใช้จ่าย (Expense Categorization): AI เรียนรู้ว่าค่าใช้จ่ายจากร้านนี้ควรจะลงบัญชีเป็นหมวด “ค่าเดินทาง” หรือ “ค่ารับรอง” และจะแนะนำให้เราในครั้งถัดไป
    • แจ้งเตือนอัจฉริยะ: เช่น แจ้งเตือนเมื่อลูกหนี้ใกล้ถึงกำหนดชำระ หรือเมื่อกระแสเงินสดกำลังจะติดลบ
  • ผลลัพธ์: ลดขั้นตอนการทำงานที่ซ้ำซ้อน ช่วยให้นักบัญชีทำงานได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว

3. เครื่องมือบริหารจัดการค่าใช้จ่าย (Expense Management Tools)

สำหรับบริษัทที่มีพนักงานต้องเดินทางหรือมีค่าใช้จ่ายยิบย่อยเยอะๆ การรวบรวมใบเสร็จเพื่อมาเบิกเงินเป็นเรื่องที่ปวดหัวมาก แต่เครื่องมือเหล่านี้ใช้ AI เข้ามาแก้ปัญหาได้อย่างสมบูรณ์แบบ

  • ตัวอย่างเครื่องมือ: Expensify, SAP Concur, Zoho Expense
  • ใช้ทำอะไร: พนักงานแค่ถ่ายรูปใบเสร็จผ่านแอปพลิเคชัน AI จะดึงข้อมูลและสร้างรายงานค่าใช้จ่ายให้ทันที จากนั้นก็ส่งขออนุมัติผ่านระบบได้เลย ข้อมูลทั้งหมดจะถูกส่งตรงไปยังฝ่ายบัญชีเพื่อบันทึกบัญชีต่อได้โดยไม่ต้องคีย์ใหม่
  • ผลลัพธ์: ประหยัดเวลาทั้งของพนักงานและฝ่ายบัญชี ลดการใช้กระดาษ และทำให้การควบคุมค่าใช้จ่ายของบริษัทโปร่งใสขึ้น

4. AI สำหรับตรวจจับการทุจริต (Fraud Detection)

เรื่องนี้แอดวานซ์และเท่มากๆ! AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลธุรกรรมทางการเงินทั้งหมดของบริษัทแบบ Real-time เพื่อมองหารูปแบบที่ผิดปกติซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการทุจริตได้ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่มนุษย์อาจมองข้ามไปได้ง่ายๆ

  • ตัวอย่างเครื่องมือ: มักจะเป็นส่วนหนึ่งของระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) ขนาดใหญ่ หรือเครื่องมือเฉพาะทาง เช่น Anodot, Fraugster
  • ใช้ทำอะไร:
    • ตรวจจับการจ่ายเงินซ้ำซ้อน (Duplicate Payments)
    • แจ้งเตือนเมื่อมีการจ่ายเงินให้แก่ซัพพลายเออร์ที่ไม่เคยมีในระบบ
    • วิเคราะห์หารูปแบบการเบิกค่าใช้จ่ายที่น่าสงสัยของพนักงาน
  • ผลลัพธ์: นักบัญชีกลายเป็นผู้พิทักษ์สินทรัพย์ของบริษัท ช่วยลดความเสี่ยงทางการเงินและความเสียหายจากการทุจริต

5. AI สำหรับงานตรวจสอบบัญชี (Auditing) และการปฏิบัติตามกฎระเบียบ (Compliance)

ในอดีต ผู้ตรวจสอบบัญชี (Auditor) จะใช้วิธี “สุ่มตรวจ” เอกสารและรายการบัญชี เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะตรวจทุกรายการ แต่ AI เปลี่ยนเกมนี้ไปอย่างสิ้นเชิง

  • ตัวอย่างเครื่องมือ: แพลตฟอร์มเฉพาะทางที่พัฒนาโดยบริษัทตรวจสอบบัญชีรายใหญ่ (Big 4) เช่น Deloitte, PwC, EY, KPMG
  • ใช้ทำอะไร: AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินได้ 100% ของประชากรทั้งหมด (ไม่ใช่แค่กลุ่มตัวอย่าง) เพื่อระบุความเสี่ยง, ความผิดปกติ, หรือรายการที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีหรือกฎหมายภาษี
  • ผลลัพธ์: การตรวจสอบบัญชีมีความแม่นยำและน่าเชื่อถือมากขึ้นอย่างมหาศาล และยังช่วยให้บริษัทมั่นใจว่าการดำเนินงานของตนถูกต้องตามกฎระเบียบต่างๆ

6. AI เพื่อการวิเคราะห์และพยากรณ์ (Predictive Analytics & Forecasting)

นี่คือจุดสูงสุดที่ทำให้นักบัญชีกลายเป็นฮีโร่ขององค์กร! แทนที่จะมองแค่ข้อมูลในอดีต AI ช่วยให้เรามองไปในอนาคตได้

  • ตัวอย่างเครื่องมือ: เครื่องมือประเภท Business Intelligence (BI) เช่น Power BI, Tableau ที่มีการฝัง AI หรือแพลตฟอร์มวางแผนทางการเงิน เช่น Anaplan, Adaptive Planning
  • ใช้ทำอะไร: AI จะวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินในอดีตทั้งหมด ประกอบกับข้อมูลภายนอก (เช่น สภาพเศรษฐกิจ, ฤดูกาล) เพื่อสร้างแบบจำลองในการพยากรณ์สิ่งต่างๆ เช่น
    • พยากรณ์ยอดขายในไตรมาสหน้า
    • คาดการณ์กระแสเงินสด (Cash Flow Forecasting)
    • วิเคราะห์ว่าสินค้าตัวไหนทำกำไรได้ดีที่สุด
  • ผลลัพธ์: นักบัญชีสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่าแก่ผู้บริหาร ช่วยในการวางแผนกลยุทธ์และตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ ของบริษัทได้อย่างเฉียบคม

แล้วเราในฐานะ ‘ว่าที่นักบัญชี’ ต้องเตรียมตัวยังไง?

อ่านมาถึงตรงนี้ น้องๆ คงเห็นแล้วว่าอนาคตของอาชีพบัญชีมันน่าตื่นเต้นแค่ไหน แต่การจะไปถึงจุดนั้นได้ เราต้องพัฒนาทักษะใหม่ๆ เพิ่มเติมจากแค่ความรู้ด้านบัญชีและภาษีที่เรียนในห้องเรียน พี่สรุปทักษะที่จำเป็นสำหรับนักบัญชี 4.0 ไว้ดังนี้:

  1. ทักษะด้านเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Literacy): ต้องไม่กลัวเทคโนโลยี! ต้องเปิดใจเรียนรู้การใช้โปรแกรมและแอปพลิเคชันใหม่ๆ อยู่เสมอ ความสามารถในการเรียนรู้และปรับตัวเข้ากับเครื่องมือใหม่ๆ จะเป็นทักษะที่สำคัญที่สุด
  2. ทักษะการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics): ในเมื่อ AI ช่วยจัดการข้อมูลให้เราแล้ว หน้าที่ของเราคือการ “ตีความ” ข้อมูลเหล่านั้น ต้องสามารถมองเห็นเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ในตัวเลข และนำเสนอออกมาให้คนอื่นเข้าใจได้ง่ายๆ การเรียนรู้โปรแกรมอย่าง Microsoft Excel ในระดับสูง, Power BI หรือแม้กระทั่งพื้นฐานภาษา SQL จะทำให้น้องๆ โดดเด่นกว่าใคร
  3. การคิดเชิงวิพากษ์และการแก้ปัญหา (Critical Thinking & Problem Solving): AI อาจจะบอกเราได้ว่า “เกิดอะไรขึ้น” แต่หน้าที่ของนักบัญชีคือการตอบคำถามว่า “ทำไมมันถึงเกิดขึ้น” และ “เราควรจะทำอะไรต่อไป”
  4. ทักษะการสื่อสารและทำงานร่วมกับผู้อื่น (Communication & Soft Skills): เราต้องสามารถอธิบายเรื่องการเงินที่ซับซ้อนให้คนที่ไม่ได้เรียนบัญชีมา (เช่น ฝ่ายการตลาด, ฝ่ายขาย, หรือผู้บริหาร) เข้าใจได้ง่าย เพื่อให้พวกเขานำข้อมูลไปใช้ตัดสินใจต่อได้

Q&A พี่นักบัญชีตอบคำถามที่น้องๆ สงสัย

Q1: เรียนบัญชีต้องเก่งคณิตศาสตร์แบบสุดๆ เลยมั้ยคะ/ครับ?

A: ไม่จำเป็นต้องเป็นอัจฉริยะคณิตศาสตร์! บัญชีใช้คณิตศาสตร์พื้นฐานคือ บวก ลบ คูณ หาร เป็นหลัก สิ่งที่สำคัญกว่าคือ “ตรรกะ” (Logic), ความละเอียดรอบคอบ, และความสามารถในการทำความเข้าใจความเชื่อมโยงของตัวเลขต่างๆ ปัจจุบันการคำนวณที่ซับซ้อนก็มีโปรแกรมคอมพิวเตอร์และ AI ช่วยอยู่แล้วครับ/ค่ะ

Q2: ย้ำอีกที AI จะทำให้คนตกงานในสายบัญชีจริงๆ เหรอ?

A: พี่ขอยืนยันอีกครั้งว่า “ไม่” แต่จะทำให้ “ตำแหน่งงาน” เปลี่ยนไป งานที่เน้นการคีย์ข้อมูลซ้ำๆ (Data Entry) จะลดลงอย่างมาก แต่งานที่ต้องใช้ทักษะการวิเคราะห์, การให้คำปรึกษา, การวางแผนกลยุทธ์, และการตรวจสอบที่ซับซ้อน จะมี “ความต้องการสูงขึ้น” มาก ดังนั้น ถ้าเราพัฒนาตัวเองให้มีทักษะเหล่านี้ ก็ไม่ต้องกลัวตกงานแน่นอน

Q3: ถ้าตอนนี้ยังเรียน ม.ปลาย แต่อยากเริ่มศึกษาเรื่อง AI กับบัญชี ควรเริ่มจากตรงไหนดี?

A: เป็นคำถามที่ดีมาก! น้องๆ สามารถเริ่มได้ง่ายๆ เลยครับ/ค่ะ

  • ลองใช้งานโปรแกรมบัญชีออนไลน์: หลายๆ ที่ เช่น FlowAccount มีแพ็กเกจสำหรับนักศึกษาหรือให้ทดลองใช้ฟรี ลองสมัครแล้วเข้าไปเล่นดู จะได้เห็นภาพว่าโปรแกรมยุคใหม่ทำงานยังไง
  • เรียนรู้ Excel ขั้นสูง: ลองศึกษาฟังก์ชันอย่าง VLOOKUP, PivotTable, Power Query สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานของการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่
  • ติดตามข่าวสาร: อ่านบทความจากเว็บไซต์ของบริษัทตรวจสอบบัญชีใหญ่ๆ (PwC, Deloitte) หรือเพจเกี่ยวกับเทคโนโลยีบัญชี เพื่ออัปเดตเทรนด์ใหม่ๆ อยู่เสมอ

Q4: ในประเทศไทยมีบริษัทไหนที่ใช้ AI ในงานบัญชีอย่างจริงจังแล้วบ้าง?

A: มีเยอะมาก! โดยเฉพาะในกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่, บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์, และบริษัท Tech Startup ทั้งหลาย ต่างก็นำระบบ ERP ที่มี AI ฝังตัว, โปรแกรมบัญชีออนไลน์, และเครื่องมือ OCR มาใช้กันอย่างแพร่หลายแล้วครับ/ค่ะ และแนวโน้มนี้กำลังขยายไปสู่ธุรกิจขนาดกลางและเล็ก (SMEs) มากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น นี่คือทักษะที่ตลาดงานต้องการจริงๆ

Q5: เครื่องมือ AI พวกนี้แพงไหม? เราต้องจ่ายเงินเพื่อเรียนรู้เองหรือเปล่า?

A: สำหรับการใช้งานจริงในบริษัทก็มีค่าใช้จ่ายแตกต่างกันไป แต่สำหรับการเรียนรู้ น้องๆ ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินเสมอไปครับ/ค่ะ อย่างที่บอกไปว่าหลายโปรแกรมมีเวอร์ชันทดลองใช้ฟรี หรือมีแพ็กเกจสำหรับนักศึกษา นอกจากนี้ ยังมีคอร์สเรียนออนไลน์ฟรีมากมายใน YouTube หรือแพลตฟอร์มอย่าง Coursera, edX ที่สอนเกี่ยวกับ Data Analytics หรือการใช้โปรแกรม BI ซึ่งเป็นความรู้ที่นำมาประยุกต์ใช้ได้โดยตรง

บทสรุป: อนาคตที่น่าตื่นเต้นของนักบัญชี 4.0

น้องๆ เห็นแล้วใช่มั้ยว่าอาชีพนักบัญชีไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คิดอีกต่อไป มันคืออาชีพที่ท้าทาย, ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหา และมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของธุรกิจ AI ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดที่จะปลดปล่อยเราจากงานซ้ำซาก และผลักดันให้เราได้ใช้ศักยภาพของสมองมนุษย์อย่างเต็มที่ในการคิดวิเคราะห์และวางกลยุทธ์ อย่ากลัวเทคโนโลยี แต่จงเป็นคนที่ควบคุมมันได้ เตรียมความพร้อมตั้งแต่วันนี้ เปิดใจเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ แล้วอนาคตในสายอาชีพบัญชีของน้องๆ จะสดใสและไปได้ไกลกว่าที่เคยจินตนาการไว้อย่างแน่นอน

จากพี่นักศึกษาบัญชี 🙂

Most Popular

Categories