5 วิธีคิดบัญชีให้เข้าใจง่ายสำหรับมือใหม่ในยุคดิจิทัล

 

5 วิธีคิดบัญชีให้เข้าใจง่ายสำหรับมือใหม่ : สกิลเทพที่คนยุคดิจิทัลต้องมี!

เพื่อนๆ ชาว Gen Z ทุกคน ในฐานะรุ่นพี่มหาลัยที่เคยผ่านจุดที่งงเป็นไก่ตาแตกกับคำว่า ‘บัญชี’ มาก่อน วันนี้เลยอยากจะมาชวนคุยเรื่องนี้กันแบบเปิดใจเลยนะ เชื่อว่าหลายคนพอได้ยินคำนี้ปุ๊บ ภาพในหัวคือตัวเลขยุบยับ ตาราง Excel ที่ซับซ้อน และความน่าเบื่อระดับสิบ แต่เดี๋ยวก่อน! ถ้าเราจะบอกว่าจริงๆ แล้ว ‘การคิดแบบนักบัญชี’ มันคือสกิลติดตัวสุดเจ๋งที่โคตรจะมีประโยชน์ในยุคนี้ล่t ไม่ว่าจะจัดการเงินค่าขนม, เก็บเงินซื้อของที่อยากได้, หรือแม้แต่ใครที่เริ่มขายของออนไลน์เล็กๆ ใน IG, TikTok การเข้าใจบัญชีจะทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้นแบบคนละเรื่องเลย

บทความนี้ไม่ได้จะมาสอนลงบัญชีแบบเป๊ะๆ เหมือนในตำราเรียนนะ แต่จะมาแชร์ ‘วิธีคิด’ หรือ ‘Mindset’ 5 ข้อ ที่จะช่วยให้เพื่อนๆ มองภาพรวมของบัญชีออก และเอาไปปรับใช้ได้จริงแบบไม่ต้องปวดหัว มาปลดล็อกสกิลการเงินที่โรงเรียนอาจไม่ได้สอน แต่ชีวิตจริงต้องใช้แน่นอนกันเถอะ!

วิธีที่ 1: มองทุกอย่างเป็นสมการเกม: สินทรัพย์ = หนี้สิน + ทุน (A = L + E)

ลืมคำศัพท์ยากๆ ไปก่อน ลองนึกภาพว่าชีวิตการเงินของเราเหมือนการเล่นเกม RPG เกมหนึ่ง สมการนี้คือพื้นฐานของหน้าจอ Status ตัวละครของเราเลย

  • สินทรัพย์ (Assets): คือ ‘ไอเทม’ ทั้งหมดที่เรามี ที่สามารถสร้างประโยชน์หรือเปลี่ยนเป็นเงินได้ในอนาคต เช่น เงินสดในกระเป๋า, เงินในบัญชีธนาคาร, โทรศัพท์มือถือ, คอมพิวเตอร์สำหรับเล่นเกมหรือทำงาน, หรือแม้กระทั่งสกินปืนแรร์ๆ ในเกมที่ขายต่อได้ (ถ้ามองแบบธุรกิจนะ!)
  • หนี้สิน (Liabilities): คือ ‘ไอเทม’ ที่เราไป ‘ยืม’ คนอื่นมา หรือเป็นภาระผูกพันที่เราต้องจ่ายคืนในอนาคต เช่น เงินที่ยืมเพื่อนมาซื้อของ, ค่าบัตรคอนเสิร์ตที่แม่จ่ายให้ก่อนแล้วเราต้องคืน, หรือถ้าโตขึ้นก็จะเป็นพวกค่าผ่อนต่างๆ
  • ส่วนของเจ้าของ หรือ ทุน (Equity): คือ ‘ไอเทม’ ที่เป็นของเราจริงๆ แบบ 100% ไม่ได้ติดหนี้ใคร มันคือเงินของเราเองที่เราใส่เข้ามาในระบบ

คิดแบบนี้: ของทุกอย่างที่เรามี (สินทรัพย์) มันต้องมีที่มาเสมอ ซึ่งมีแค่ 2 ทางคือ มาจากเงินคนอื่น (หนี้สิน) หรือ มาจากเงินเราเอง (ทุน) แค่นั้นเลย

ตัวอย่างง่ายๆ: เราอยากได้โน้ตบุ๊กใหม่ราคา 30,000 บาท
เรามีเงินเก็บของตัวเอง 10,000 บาท (นี่คือ ทุน ของเรา)
เราเลยไปยืมเงินคุณพ่อมา 20,000 บาท (นี่คือ หนี้สิน ที่เราต้องคืน)
ตอนนี้เรามีโน้ตบุ๊ก 1 เครื่อง มูลค่า 30,000 บาท (นี่คือ สินทรัพย์ ของเรา)
เห็นมั้ย? สินทรัพย์ (30,000) = หนี้สิน (20,000) + ทุน (10,000) … สมการสมดุลเป๊ะ!

การเข้าใจสมการนี้ทำให้เราเห็นภาพรวมสถานะการเงินของตัวเองได้ทันทีว่าจริงๆ แล้ว เรา ‘มี’ เท่าไหร่ และ ‘ติดหนี้’ เท่าไหร่กันแน่

 

วิธีที่ 2: กฎแห่งการแลกเปลี่ยน: ทุกอย่างมีสองด้านเสมอ (เดบิต & เครดิต)

นี่คือหัวใจของการลงบัญชีที่หลายคนบอกว่ายาก แต่จริงๆ แล้วมันคือหลักการ ‘Give & Take’ ที่เกิดขึ้นทุกวินาทีในชีวิตเราเลยนะ หลักการบัญชีคู่ (Double-entry bookkeeping) บอกว่าทุกๆ รายการที่เกิดขึ้น จะต้องกระทบกับบัญชีอย่างน้อย 2 ด้านเสมอ และสองด้านนั้นต้องเท่ากันด้วย

อย่าเพิ่งไปจำว่าอะไรคือเดบิต (Debit) อะไรคือเครดิต (Credit) แต่ให้คิดแบบนี้แทน:

  • มี ‘ที่มา’ (Source) ก็ต้องมี ‘ที่ไป’ (Use)
  • มี ‘สิ่งที่ได้มา’ (Get) ก็ต้องมี ‘สิ่งที่เสียไป’ (Give)

ตัวอย่างชีวิตประจำวัน: เราไปซื้อชานมไข่มุก 1 แก้ว ราคา 50 บาท

  • เราเสียอะไรไป (Give)? > เราจ่าย ‘เงินสด’ ออกไป 50 บาท (สินทรัพย์ของเราลดลง)
  • เราได้อะไรมา (Get)? > เราได้ ‘ชานมไข่มุก’ มาดื่ม ซึ่งในทางบัญชีมันคือ ‘ค่าใช้จ่าย’ 50 บาท

เห็นมั้ยว่ามันมีสองด้านเสมอ ไม่มีการที่เงินจะหายไปเฉยๆ โดยไม่มีที่มาที่ไป ในโลกของบัญชี ทุกอย่างจะถูกบันทึกไว้หมด การคิดแบบนี้จะช่วยให้เราตามรอยเงินของเราได้เสมอว่ามันหายไปไหน และได้อะไรกลับมาบ้าง

บันทึกแบบง่ายๆ (ตามหลักการ):
Dr. (เดบิต) ค่าใช้จ่าย-ชานมไข่มุก     50 บาท
    Cr. (เครดิต) เงินสด                             50 บาท

ไม่ต้องไปซีเรียสกับ Dr. Cr. มาก แค่เข้าใจคอนเซ็ปต์ว่า ‘ทุกการกระทำทางการเงินมีผลกระทบสองด้านเสมอ’ ก็ถือว่าผ่านฉลุยแล้ว!

 

วิธีที่ 3: บัญชีคือการเล่าเรื่องด้วยตัวเลข (Financial Storytelling)

ลองนึกภาพว่าถ้าเราจะเล่าเรื่องสุขภาพของเราให้หมอฟัง เราคงไม่ได้บอกแค่ว่า “ก็สบายดี” แต่เราจะบอกน้ำหนัก ส่วนสูง ความดัน ผลตรวจเลือดต่างๆ ใช่ไหม? บัญชีก็เหมือนกัน มันคือการเล่าเรื่องสุขภาพทางการเงินของธุรกิจ (หรือของตัวเราเอง) ผ่านเอกสารที่เรียกว่า ‘งบการเงิน’

งบหลักๆ ที่ควรรู้จักไว้มี 2 ตัว ซึ่งเปรียบได้กับ:

1. งบกำไรขาดทุน (Income Statement) = “ไดอารี่ประจำเดือน/ปี”

งบนี้จะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น ‘ในช่วงเวลาหนึ่ง’ เช่น 1 เดือนที่ผ่านมา หรือ 1 ปีที่ผ่านมา มันจะบอกว่า…

  • เราหาเงินมาได้เท่าไหร่? (รายได้): เช่น ขายของออนไลน์ได้ 10,000 บาท
  • เรามีต้นทุนไปเท่าไหร่? (ต้นทุนขาย): เช่น ค่าของที่ซื้อมาขาย 6,000 บาท
  • เรามีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อะไรบ้าง? (ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน): เช่น ค่าส่งของ 500 บาท, ค่ายิงแอด 1,000 บาท
  • สุดท้ายแล้ว… เรา ‘กำไร’ หรือ ‘ขาดทุน’ กันแน่?: (10,000 – 6,000 – 500 – 1,000 = กำไร 2,500 บาท)

งบนี้ช่วยให้เรารู้ว่าในช่วงที่ผ่านมา เราทำผลงานได้ดีแค่ไหน เหมือนดูเกรดตอนสิ้นเทอมนั่นแหละ

2. งบดุล หรือ งบแสดงฐานะการเงิน (Balance Sheet) = “ภาพถ่าย Selfie ณ วินาทีนี้”

ต่างจากงบกำไรขาดทุน งบดุลคือการ ‘หยุดเวลา’ แล้วถ่ายรูปสถานะทางการเงินของเรา ‘ณ วันใดวันหนึ่ง’ มันคือการเอาสมการในข้อ 1 (สินทรัพย์ = หนี้สิน + ทุน) มาแสดงเป็นตารางให้ดูง่ายๆ นั่นเอง มันจะบอกว่า…

  • ณ วันนี้ เรามีไอเทมอะไรบ้าง? (สินทรัพย์): มีเงินสด 5,000, มีโน้ตบุ๊ก 30,000
  • ณ วันนี้ เราติดหนี้ใครอยู่บ้าง? (หนี้สิน): หนี้คุณพ่อ 20,000
  • ณ วันนี้ เรามีส่วนที่เป็นของเราจริงๆ เท่าไหร่? (ทุน): 15,000 (มาจากเงินตั้งต้น 10,000 + กำไรสะสมจากเดือนก่อนๆ 5,000)

การมองบัญชีเป็นการเล่าเรื่อง จะทำให้ตัวเลขเหล่านั้นมีความหมายขึ้นมาทันที มันไม่ใช่แค่ตัวเลขแห้งๆ แต่เป็นบทสรุปของเรื่องราวความพยายามทางการเงินของเราทั้งหมดเลย

วิธีที่ 4: ให้เทคโนโลยีเป็นเพื่อนซี้ (Tech is Your Best Friend)

ข่าวดีสำหรับคนยุคเราคือ… เราไม่จำเป็นต้องมานั่งตีตาราง จดใส่สมุด หรือคำนวณด้วยเครื่องคิดเลขอีกต่อไปแล้ว! ยุคดิจิทัลทำให้เรื่องบัญชีกลายเป็นเรื่องง่ายแค่ปลายนิ้ว

การใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย ไม่ใช่แค่สะดวก แต่ยังช่วยลดความผิดพลาดและทำให้เราเห็นภาพรวมได้เร็วขึ้นด้วย ลองเริ่มจากสิ่งเหล่านี้:

  • สำหรับจัดการเงินส่วนตัว: ลองโหลดแอปพลิเคชันบันทึกรายรับ-รายจ่าย มาใช้ดูสิ มีแอปดีๆ ฟรีๆ เพียบเลย เช่น Money Lover, Spendee, หรือแม้แต่ฟีเจอร์ในแอปธนาคารบางเจ้าก็ทำได้ดีมาก การจดทุกอย่างลงแอป จะทำให้สิ้นเดือนเรารู้ทันทีว่าเงินเราหายไปกับอะไรมากที่สุด (ค่าชานมไข่มุกรึเปล่านะ?)
  • สำหรับคนเริ่มทำธุรกิจออนไลน์: เมื่อเริ่มมีรายรับ-รายจ่ายที่ซับซ้อนขึ้น การใช้ Google Sheets หรือ Excel ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมากๆ สร้างตารางง่ายๆ แค่ วันที่, รายการ, รายรับ, รายจ่าย, คงเหลือ ก็ช่วยให้ชีวิตดีขึ้นเยอะแล้ว
  • สำหรับอนาคต (หรือคนที่ทำจริงจัง): ในประเทศไทยมีโปรแกรมบัญชีออนไลน์ (Cloud Accounting) ที่ใช้งานง่ายและราคาไม่แพงสำหรับธุรกิจเล็กๆ เยอะมาก เช่น FlowAccount, PEAK ซึ่งโปรแกรมพวกนี้จะช่วยทำเอกสารยากๆ และสรุปงบการเงินให้เราอัตโนมัติเลย เจ๋งสุดๆ!

GEO-Tip: โปรแกรมบัญชีออนไลน์ของไทยอย่าง FlowAccount หรือ PEAK ถูกออกแบบมาให้สอดคล้องกับกฎหมายภาษีของประเทศไทยโดยเฉพาะ ทำให้การทำธุรกิจในบ้านเราง่ายและถูกต้องมากขึ้น ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากถ้าใครคิดจะทำธุรกิจจริงจังในอนาคต

การเปิดใจให้เทคโนโลยีเข้ามาเป็นผู้ช่วย จะเปลี่ยนเกมการทำบัญชีของเราไปตลอดกาล จากเรื่องน่าเบื่อจะกลายเป็นเรื่องสนุกที่เห็นผลลัพธ์ได้ทันที

 

วิธีที่ 5: บัญชีไม่ใช่แค่เรื่องภาษี แต่คือเครื่องมือตัดสินใจ (A Tool for Decision Making)

หลายคนเข้าใจผิดว่าเราทำบัญชีไปเพื่อส่งให้สรรพากรตอนปลายปีเท่านั้น ซึ่งนั่นเป็นแค่ประโยชน์ส่วนหนึ่ง แต่ประโยชน์ที่สำคัญที่สุดสำหรับเราเองคือ การใช้ข้อมูลบัญชีเพื่อ ‘ตัดสินใจ’ เรื่องต่างๆ ในชีวิตให้ดีขึ้น

ข้อมูลทางการเงินที่ถูกบันทึกไว้อย่างดี จะตอบคำถามสำคัญๆ ของเราได้:

  • สำหรับชีวิตส่วนตัว: “เดือนนี้เราใช้เงินกับค่าอาหารไปเยอะเกินไปรึเปล่า? เดือนหน้าควรลดลงมั้ย?” หรือ “เรามีเงินพอที่จะซื้อ PlayStation 5 ตอนนี้เลย หรือควรรอเก็บเงินอีก 3 เดือน?” ข้อมูลรายรับ-รายจ่ายจะให้คำตอบกับเรา ไม่ใช่แค่อาศัยความรู้สึก
  • สำหรับร้านค้าออนไลน์: “สินค้าตัวไหนขายดีที่สุด? เราควรสั่งมาสต็อกเพิ่มมั้ย?” หรือ “เดือนที่แล้วเราจ่ายค่ายิงแอดไป 1,000 บาท ได้ยอดขายกลับมา 5,000 บาท มันคุ้มรึเปล่า? ควรจะยิงแอดเพิ่มดีมั้ย?” ตัวเลขกำไรขาดทุนจะบอกเราได้ชัดเจน

ให้มองว่าข้อมูลบัญชีคือ ‘เข็มทิศ’ ที่ช่วยนำทางให้เราเดินไปในทิศทางที่ถูกต้องและมั่นคงขึ้น มันช่วยเปลี่ยนจากการตัดสินใจด้วย ‘ความรู้สึก’ มาเป็นการตัดสินใจด้วย ‘ข้อมูลจริง’ ซึ่งเป็นสกิลที่สำคัญมากๆ สำหรับการเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต

 

Q&A คลายข้อสงสัยเรื่องบัญชีสำหรับชาว Gen Z 

Q: เรียนบัญชี จำเป็นต้องเก่งคณิตศาสตร์ขั้นเทพมั้ย?

A: ไม่จำเป็นเลย! นี่คือความเข้าใจผิดสุดคลาสสิก การทำบัญชีใช้แค่ บวก ลบ คูณ หาร พื้นฐานเท่านั้น หัวใจของมันอยู่ที่ ‘ตรรกะ’ และ ‘การทำตามกฎ’ มากกว่า ถ้าเราเข้าใจคอนเซ็ปต์และหลักการของมันได้ ก็สามารถทำบัญชีได้สบายๆ ไม่ต้องเก่งแคลคูลัสหรือถอดสแควรูทเป็นเลย

Q: ถ้าอยากเริ่มศึกษาบัญชีแบบจริงจัง ควรเริ่มจากตรงไหนดี?

A: เริ่มจากสิ่งใกล้ตัวที่สุดคือ ‘การทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายส่วนตัว’ ด้วยแอปพลิเคชันที่เราแนะนำไปในข้อ 4 พอเริ่มชินแล้ว ลองหาคลิปสอนบัญชีเบื้องต้นใน YouTube หรือคอร์สออนไลน์ฟรีสำหรับผู้เริ่มต้นดู มีแหล่งความรู้ดีๆ เยอะมาก การเรียนรู้จากของจริง (เงินของเราเอง) จะทำให้เราเข้าใจได้เร็วที่สุด

Q: มีแอปพลิเคชันบัญชีฟรีแนะนำสำหรับมือใหม่หัดจดมั้ย?

A: มีเพียบ! สำหรับการใช้งานส่วนตัว แนะนำ Money Lover (ใช้ง่ายมาก กราฟสวย) หรือ Spendee (เชื่อมบัญชีธนาคารได้) ถ้าเป็นของไทยก็จะมี ‘พอเพียง’ ที่เรียบง่ายและดี หรือจะใช้ฟีเจอร์ของแอปธนาคารอย่าง K PLUS หรือ MAKE by KBank ก็สะดวกมากๆ ลองเลือกอันที่หน้าตาถูกใจและฟังก์ชันตอบโจทย์เราที่สุดได้เลย

Q: บัญชีจะช่วยในการเล่นเกม หรือทำธุรกิจ E-commerce เล็กๆ ของเราได้ยังไง?

A: ได้แน่นอน!

  • สำหรับเกมเมอร์: ถ้าเรามีการซื้อ-ขายไอเทมในเกม การทำบัญชีจะช่วยให้รู้ว่าเราลงทุนไปเท่าไหร่ (ค่าเติมเกม) และได้กำไรจากการขายไอเทมคืนมาเท่าไหร่ ทำให้รู้ว่าการเล่นเกมของเราสร้างรายได้จริงๆ หรือเป็นแค่การใช้เงิน
  • สำหรับธุรกิจ E-commerce: สำคัญมาก! บัญชีจะช่วยให้เรารู้ต้นทุนสินค้าที่แท้จริง (ไม่ใช่แค่ราคาที่ซื้อมา แต่รวมค่าส่ง ค่าแพ็กของด้วย), รู้ว่าตั้งราคาขายเท่าไหร่ถึงจะกำไร, รู้ว่าสินค้าตัวไหนคือกำไรหลักของร้าน และช่วยวางแผนการเงินเพื่อขยายร้านในอนาคตได้อีกด้วย

 

บทสรุป: บัญชีคือภาษาสากลของโลกธุรกิจและการเงิน

สุดท้ายนี้ อยากให้เพื่อนๆ ทุกคนลองเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อ ‘บัญชี’ ใหม่นะ มันไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลขที่น่าเบื่อ แต่เป็น ‘ภาษา’ ที่ช่วยให้เราเข้าใจเรื่องเงินๆ ทองๆ ได้ดีขึ้น เป็น ‘สกิล’ ที่จะติดตัวเราไปตลอด ไม่ว่าอนาคตเราจะเรียนต่อคณะไหน หรือทำงานอะไรก็ตาม

การเข้าใจพื้นฐานทั้ง 5 ข้อนี้ จะเป็นเหมือนเกราะป้องกันทางการเงิน ช่วยให้เราตัดสินใจได้เฉียบคมขึ้น จัดการเงินส่วนตัวได้ดีขึ้น และถ้าใครฝันอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง สกิลนี้แหละคือบันไดขั้นแรกที่สำคัญที่สุด

ลองเริ่มวันนี้เลย! แค่ลองโหลดแอปมาจดรายรับ-รายจ่ายดูสักเดือน แล้วจะเห็นเลยว่าชีวิตการเงินของเรามันชัดเจนขึ้นขนาดไหน สู้ๆ นะทุกคน!

Most Popular

Categories