เปิดกฎใหม่ภาษีรายได้จากต่างประเทศ 2025: ใครเป็นผู้ถูกเลือก และเราต้องเตรียมตัวยังไง? (ฉบับพี่สอนน้อง)
ว่าไงเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกคน! ในยุคที่โลกออนไลน์มันไร้พรมแดนขนาดนี้ พี่เชื่อว่าหลายคนในพวกเรา โดยเฉพาะวัยรุ่นเจน Z อย่างเราๆ เนี่ย ต้องมีใครสักคนแหละที่เริ่มหาเงินจากนอกประเทศกันแล้ว ไม่ว่าจะรับงานฟรีแลนซ์จากเว็บนอก, เป็นสตรีมเมอร์, เทรดคริปโต, หรือแม้แต่ทำ Affiliate Marketing… มันดูเจ๋งและอิสระสุดๆ ไปเลยใช่มั้ย?
แต่ช้าก่อน! มีเรื่องหนึ่งที่กำลังจะกลายเป็น “ด่านใหม่” ที่พวกเราต้องเจอ นั่นก็คือ กฎใหม่เรื่องภาษีรายได้จากต่างประเทศ ที่เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา และเราจะต้องยื่นภาษีสำหรับรายได้ปีนี้กันในช่วงต้นปี 2568… ฟังดูน่าปวดหัวเนอะ? แต่ไม่ต้องห่วง! วันนี้พี่ในฐานะรุ่นพี่ที่ผ่านการงมเรื่องพวกนี้มาก่อน จะมาเบรกดาวน์ให้ฟังแบบจับมือทำ เข้าใจง่ายๆ สไตล์เด็กมหาลัยคุยกันเลก่อนอื่น… กฎเก่า vs กฎใหม่ มันต่างกันยังไง?
เพื่อให้เห็นภาพชัดๆ เรามาดูความแตกต่างกันก่อน พี่จะอธิบายแบบง่ายที่สุดในโลกเลยนะ
- กฎเก่า (ก่อนปี 2567): สมมติเราได้เงินจากลูกค้าที่เมกาปี 2565 ถ้าเราใจเย็นๆ รอข้ามปี แล้วค่อยโอนเงินก้อนนั้นเข้าไทยในปี 2566… เงินก้อนนั้น “ไม่ต้องเสียภาษี” ในไทยเลย! มันเหมือนเป็นช่องโหว่เล็กๆ ที่หลายคนใช้กัน
- กฎใหม่ (เริ่ม 1 ม.ค. 2567 เป็นต้นไป): ช่องโหว่นั้น… ถูกปิดแล้วจ้า! กฎใหม่บอกว่า “ไม่ว่าเธอจะหารายได้จากต่างประเทศมาในปีไหนก็ตาม ถ้าเธอเป็นผู้อยู่อาศัยในประเทศไทย แล้วนำเงินนั้นเข้ามาในประเทศไทยเมื่อไหร่… เงินนั้นต้องถูกนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษีในปีที่นำเข้ามา”
สรุปแบบฟาดๆ: ตอนนี้ไม่มีทริค “รอข้ามปี” อีกต่อไปแล้ว! ถ้าเราเป็นคนที่อยู่ในไทยเกิน 180 วันในปีนั้นๆ (ซึ่งก็คือพวกเราส่วนใหญ่นั่นแหละ) แล้วมีรายได้จากต่างประเทศ พอเอาเงินเข้าบัญชีธนาคารในไทยปุ๊บ… เงินนั้นมีสิทธิ์ต้องเสียภาษีทันที!
ใครบ้างที่อยู่ในเรดาร์? เช็กลิสต์ผู้ถูกเลือก!
เอาล่ะสิ… แล้วใครบ้างที่เข้าข่าย? มาดูกันว่าเราอยู่ในกลุ่มไหน จะได้เตรียมตัวถูก
1. สาย Hustle Online (ฟรีแลนซ์ / Content Creator)
กลุ่มนี้คือตัวตึงเลย! ไม่ว่าจะเป็น:
- ฟรีแลนซ์บนแพลตฟอร์มสากล: รับงานเขียนโค้ด, ออกแบบกราฟิก, แปลภาษา, ทำการตลาด ผ่านเว็บอย่าง Upwork, Fiverr, Freelancer.com แล้วรับเงินเป็นดอลลาร์ผ่าน PayPal หรือ Wise
- YouTuber / TikToker / Streamer: มีรายได้จากค่าโฆษณา (AdSense), เงินบริจาค (Donation) จากผู้ชมต่างชาติ, หรือได้สปอนเซอร์จากแบรนด์นอก
- Affiliate Marketer: แปะลิงก์ขายของให้ Amazon, ClickBank หรือแพลตฟอร์มอื่นๆ แล้วได้ค่าคอมมิชชั่นเป็นเงินสกุลต่างประเทศ
- ขายของออนไลน์: ขายภาพถ่ายใน Shutterstock, ขายงานดีไซน์บน Etsy หรือ Redbubble
ถ้าเราทำอะไรแบบนี้อยู่ แล้วโอนเงินกำไรเข้าบัญชีในไทย… ยินดีด้วย! เราเข้าข่ายเต็มๆ
2. สายเทรดเดอร์ / นักลงทุนอินเตอร์
กลุ่มนี้ก็ฮอตฮิตไม่แพ้กัน ใครที่ชอบความเสี่ยง ชอบตัวเลขวิ่งๆ ต้องฟังเลย:
- เทรดเดอร์คริปโต: ซื้อขายเหรียญบน Exchange ของต่างประเทศอย่าง Binance, KuCoin พอได้กำไรแล้วโอนเงินบาทกลับเข้าบัญชีธนาคารไทย… ส่วนต่างของกำไรนั่นแหละคือ “รายได้”
- นักลงทุนหุ้นต่างประเทศ: ซื้อหุ้น Apple, Tesla, หรือลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศผ่านโบรกเกอร์นอก พอขายแล้วได้กำไร แล้วนำเงินกลับเข้าประเทศ ก็เข้ากฎนี้เช่นกัน
3. สายรับเงินโอนจากแดนไกล
กลุ่มนี้อาจจะงงๆ หน่อย แต่ก็มีบางกรณีที่ต้องระวัง:
- มีรายได้จากค่าเช่าในต่างประเทศ: สมมติครอบครัวเรามีบ้านที่ต่างประเทศแล้วปล่อยเช่า รายได้ค่าเช่าที่โอนกลับมาไทยก็ถือเป็นรายได้
- ดอกเบี้ยหรือเงินปันผล: มีเงินฝากหรือลงทุนไว้ในต่างประเทศ แล้วได้ดอกเบี้ยหรือปันผลโอนกลับมา
(แต่เดี๋ยวก่อน! ถ้าเป็นเงินที่พ่อแม่ส่งให้เป็นค่าขนม อันนี้จะคนละเรื่องกันนะ เดี๋ยวพี่จะอธิบายเพิ่มในส่วน Q&A)
ไม่ต้อง Panic! มาดูวิธีเตรียมตัวแบบ Step-by-Step กัน
อ่านมาถึงตรงนี้อย่าเพิ่งเครียดจนอยากเลิกทำทุกอย่างนะ! จริงๆ แล้วมันไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น มันเป็นแค่การทำให้ทุกอย่างเข้าระบบมากขึ้น มาดูกันว่าเราจะรับมือกับมันยังไงดี
Step 1: ตั้งสติและเริ่ม “จดบันทึก”
นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด! และควรเริ่มทำตั้งแต่วันนี้เลย คือการทำ “บัญชีรายรับ” จากต่างประเทศของเราเอง ไม่ต้องหรูหรา ใช้ Google Sheets หรือสมุดจดธรรมดาก็ได้ สิ่งที่ต้องบันทึกคือ:
- วันที่ได้รับเงิน: วันไหนที่เงินเข้าบัญชี (เช่น PayPal, Binance)
- จำนวนเงิน (สกุลต่างประเทศ): ได้มากี่ USD, EUR, JPY ก็จดไว้
- อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันนั้น: สำคัญมาก! เพื่อแปลงเป็นเงินบาท
- ที่มาของรายได้: เงินก้อนนี้มาจากไหน? (ค่างานออกแบบโลโก้, ค่าโฆษณา YouTube, กำไรจากการขาย BTC)
- หลักฐาน: เก็บสลิปการโอน, screenshot, หรืออีเมลยืนยันไว้ให้หมด
การทำแบบนี้จะช่วยให้ตอนยื่นภาษีง่ายขึ้นมาก และเราจะมีหลักฐานทุกอย่างอยู่ในมือถ้าถูกตรวจสอบ
Step 2: แยกให้ออกระหว่าง “เงินทุน” กับ “กำไร”
เรื่องนี้สำคัญมากสำหรับสายเทรด! กรมสรรพากรจะเก็บภาษีจาก “กำไร” หรือ “เงินได้สุทธิ” ของเรา ไม่ใช่เงินทั้งหมดที่เราโอนเข้ามา
ตัวอย่าง:
เราโอนเงิน 35,000 บาท (ประมาณ $1,000) ไปเทรดคริปโตที่ Binance ผ่านไปเดือนนึงพอร์ตโตเป็น $1,200 เราขายทั้งหมดแล้วโอนเงินกลับเข้าไทยได้ 42,000 บาท
- เงินทุน (Cost): 35,000 บาท
- เงินที่ได้กลับมา: 42,000 บาท
- รายได้/กำไร (Income/Profit) ที่ต้องนำไปคำนวณภาษีคือ: 42,000 – 35,000 = 7,000 บาท
เห็นมั้ย? เราไม่ได้เสียภาษีจากยอด 42,000 บาทนะ! นี่คือเหตุผลว่าทำไมการจดบันทึกใน Step 1 ถึงสำคัญสุดๆ
Step 3: ทำความเข้าใจ “ค่าลดหย่อน” เบื้องต้น
ข่าวดีคือ ไม่ใช่ทุกบาททุกสตางค์ที่เราหามาได้จะต้องเสียภาษีนะ! ประเทศไทยมีสิ่งที่เรียกว่า “ค่าลดหย่อน” เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระเรา
- ทุกคนจะมี ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท อยู่แล้ว
- ตามกฎหมาย ถ้าเรามี เงินได้สุทธิ (รายได้ทั้งหมด – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน) ไม่เกิน 150,000 บาทต่อปี จะได้รับการยกเว้นภาษี!
แปลว่าอะไร? ถ้าเพื่อนๆ รับงานฟรีแลนซ์เล็กๆ น้อยๆ หรือเทรดได้กำไรนิดหน่อย รวมๆ กันทั้งปีแล้วยังไม่เกิน 150,000 บาท ก็อาจจะไม่ต้องเสียภาษีเลยสักบาท! (แต่การ “ยื่นภาษี” ก็ยังเป็นหน้าที่ที่ควรทำนะ เพื่อแสดงความโปร่งใส)
Step 4: เตรียมตัวยื่นภาษีออนไลน์ (E-Filing)
พอถึงช่วงต้นปี 2568 (ประมาณเดือน ม.ค. – มี.ค.) ก็จะเป็นฤดูกาลยื่นภาษีสำหรับรายได้ของปี 2567 ทั้งหมดที่เราหามาได้ การยื่นภาษีสมัยนี้ง่ายมาก ทำผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากรได้เลย เราแค่เตรียมข้อมูลที่จดบันทึกไว้ใน Step 1 ให้พร้อม แล้วก็กรอกตามแบบฟอร์มไปทีละขั้นตอน
Q&A ถาม-ตอบ เคลียร์ทุกข้อสงสัยสไตล์เด็กมหาลัย
พี่รวบรวมคำถามที่เพื่อนๆ น่าจะสงสัยกันมาตอบให้ตรงนี้เลย!
Q: พ่อแม่โอนเงินจากต่างประเทศมาให้เป็นค่าขนม/ค่าเทอม ต้องเสียภาษีมั้ย?
A: โดยทั่วไปแล้ว ไม่ต้องเสียครับ! เงินที่พ่อแม่ให้โดยเสน่หา (ให้เปล่าๆ) ถือเป็น “เงินได้ที่ได้รับการยกเว้นภาษี” แต่มีเงื่อนไขคือ ถ้าได้รับจากบุพการี (พ่อแม่ปู่ย่าตายาย) จะได้รับการยกเว้นไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อปีภาษี ซึ่งสำหรับพวกเราส่วนใหญ่แล้วสบายมาก ไม่ต้องกังวลเลย กฎหมายนี้เน้นที่ “รายได้จากการทำงาน/การลงทุน” เป็นหลัก
Q: รายได้จากต่างประเทศแค่หลักร้อยหลักพันต่อเดือน ต้องยื่นภาษีมั้ย?
A: ตามหลักการแล้ว ถ้ามีรายได้เกิดขึ้น ก็ควรจะยื่นครับ การยื่นภาษีไม่ได้แปลว่าต้องเสียภาษีเสมอไป! อย่างที่บอกไป ถ้ารายได้สุทธิทั้งปีของเราไม่ถึง 150,000 บาท ก็ไม่ต้องเสียภาษี การยื่นแบบ 0 บาท (คือยื่นแต่ไม่ต้องจ่าย) เป็นการแสดงตัวตนที่โปร่งใสและถูกต้อง ดีกว่าไม่ยื่นเลยนะ
Q: แล้วถ้าไม่เอาเงินเข้าไทยเลยล่ะ? เก็บไว้ในบัญชี PayPal หรือ Binance ตลอดไป?
A: ถ้าเงินนั้นไม่ถูกนำเข้ามาในประเทศไทย ก็ยังไม่เข้าเงื่อนไขที่ต้องเสียภาษีในไทยครับ แต่ข้อเสียคือ เราก็จะไม่สามารถนำเงินนั้นมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันในประเทศไทยได้เลย มันก็จะค้างอยู่ในระบบของต่างประเทศไปแบบนั้น
Q: การรับเงินผ่าน PayPal หรือ Wise แล้วโอนเข้าธนาคารไทย ถือว่า “นำเข้า” แล้วใช่มั้ย?
A: ใช่ครับ! จังหวะที่เงินถูกโอนจากแพลตฟอร์มเหล่านั้นเข้ามาที่บัญชีธนาคารในประเทศไทยของเรา นั่นแหละคือ “การนำเงินได้เข้ามาในประเทศ” และเป็นจุดที่ต้องเริ่มนับเพื่อคำนวณภาษี
Q: เทรดคริปโตขาดทุน เอาไปหักลบกับกำไรตัวอื่นได้มั้ย?
A: เรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อนและกฎเกณฑ์อาจมีการเปลี่ยนแปลง แต่โดยทั่วไปสำหรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา การขาดทุนจากการลงทุนมักจะไม่สามารถนำไปหักลบกับเงินได้ประเภทอื่นได้ครับ แนะนำให้ติดตามประกาศจากกรมสรรพากรโดยตรงในเรื่องนี้จะชัดเจนที่สุด
บทสรุปส่งท้าย: อย่ากลัว แต่จงเข้าใจ
กฎใหม่เรื่องภาษีรายได้จากต่างประเทศนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ออกมาเพื่อจะแกล้งหรือขัดขวางการสร้างตัวของพวกเรานะ แต่เป็นแค่การปรับปรุงระบบให้มันทันสมัยและเป็นธรรมมากขึ้น เหมือนการอัปเดตแพตช์ใหม่ในเกมนั่นแหละ!
สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่การกลัว แต่คือ การทำความเข้าใจและเตรียมพร้อม
- รู้ตัว: รู้ว่ารายได้ของเราเข้าข่ายกฎนี้หรือไม่
- บันทึก: เริ่มจดบันทึกรายรับ-รายจ่าย หลักฐานต่างๆ ให้เป็นนิสัย
- ศึกษา: ทำความเข้าใจเรื่องค่าลดหย่อนพื้นฐาน เพื่อรักษาสิทธิ์ของตัวเอง
การเรียนรู้เรื่องภาษีตั้งแต่อายุยังน้อย ถือเป็นสกิลการใช้ชีวิตของผู้ใหญ่ที่สำคัญมากนะ มันจะทำให้เราวางแผนการเงินในอนาคตได้ดีขึ้นเยอะเลย สู้ๆ นะทุกคน ถ้าไม่เข้าใจตรงไหน ลองศึกษาเพิ่มเติมจากเว็บไซต์กรมสรรพากรโดยตรงได้เลย!
ข้อความในบทความนี้เป็นการสรุปและให้ข้อมูลเพื่อความเข้าใจเบื้องต้นเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำทางกฎหมายหรือภาษีโดยตรง สำหรับข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นทางการที่สุด โปรดปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือศึกษาจากประกาศของกรมสรรพากรโดยตรง
“`