5 พฤติกรรมการเงินที่ควรปรับ เพื่อประหยัดภาษีได้มากขึ้น (ฉบับวัยรุ่น Gen Z)
หวัดดีน้องๆ ชาว Gen Z ทุกคน! พี่เป็นนักศึกษาเหมือนกันนะ แต่อาจจะซีเนียร์กว่าหน่อย (ฮ่าๆ) พี่เป็นคนนึงที่เพิ่งก้าวเข้าสู่โลกของการทำงานพาร์ทไทม์ และเริ่มเห็นเพื่อนๆ บางคนมีรายได้จากช่อง YouTube, ขายของออนไลน์ หรือเป็นฟรีแลนซ์กันแล้ว พอมีรายได้เข้ามาปุ๊บ… คำว่า “ภาษี” ก็จะลอยเข้ามาในหัวทันที
หลายคนอาจจะคิดว่า “โหพี่ ยังเด็กอยู่เลย จะรีบคิดเรื่องภาษีไปทำไม?” แต่เชื่อพี่เถอะ การสร้าง ‘พฤติกรรม’ ทางการเงินที่ดีตั้งแต่วันนี้ มันเหมือนการติดกระดุมเม็ดแรกให้ถูก พอเราโตขึ้น มีรายได้มากขึ้น เราจะไม่ต้องมานั่งงง หรือเสียดายทีหลังว่า “รู้งี้… ทำแบบนั้นตั้งแต่แรกก็ดี” บทความนี้จะไม่ได้สอนเรื่องยากๆ แต่จะชวนมาปรับ Mindset และพฤติกรรมง่ายๆ ที่จะส่งผลดีกับกระเป๋าตังค์และค่าภาษีของเราในระยะยาวแน่นอน!
พฤติกรรมที่ 1: เปลี่ยนจาก “นักใช้เงิน” เป็น “นักออมและนักลงทุนมือใหม่”
พฤติกรรมพื้นฐานที่สุดเลย แต่ส่งผลกระทบมหาศาล! หลายคนพอได้เงินค่าขนมหรือเงินเดือนก้อนแรกมา ก็จะนึกถึงของที่อยากได้ก่อนเลยใช่ไหม? ไม่ผิดนะ แต่ถ้าเราลองปรับมุมมองนิดนึง แบ่งเงินส่วนหนึ่งออกมา “ออมก่อนใช้” เสมอ เรากำลังสร้างวินัยที่แข็งแกร่งมาก
แล้วมันเกี่ยวกับการประหยัดภาษียังไง?
เพราะในโลกของผู้ใหญ่ การ “ออม” และ “ลงทุน” ในผลิตภัณฑ์บางประเภท สามารถนำไป ลดหย่อนภาษี ได้! พูดง่ายๆ คือ รัฐบาลสนับสนุนให้เราออมเงินเพื่ออนาคต โดยให้รางวัลเป็นการจ่ายภาษีน้อยลงนั่นเอง
“การออมเงินในวันนี้ ไม่ใช่แค่การเก็บเงินเพื่อซื้อของชิ้นใหญ่ในอนาคต แต่มันคือการฝึกซ้อมเพื่อใช้ ‘เครื่องมือลดหย่อนภาษี’ ที่ทรงพลังที่สุดเมื่อเราเริ่มมีรายได้เต็มตัว”
ผลิตภัณฑ์ที่ว่าก็เช่น:
- SSF (Super Savings Fund): กองทุนรวมเพื่อการออมระยะยาว เหมาะกับคนที่ต้องการวางแผนเกษียณและลดหย่อนภาษี
- RMF (Retirement Mutual Fund): กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ คล้ายๆ SSF แต่มีเงื่อนไขการลงทุนที่ยาวนานกว่า
- ประกันชีวิต/ประกันบำนาญ: นอกจากให้ความคุ้มครองแล้ว เบี้ยประกันบางประเภทยังนำมาลดหย่อนภาษีได้ด้วย
แล้ววัยรุ่นอย่างเราจะเริ่มยังไงดี? (How-to for Teens)
เป้าหมาย: สร้างนิสัย “ออมก่อนใช้” ให้เป็นอัตโนมัติ
- ยังไม่ต้องซื้อ SSF/RMF: ใจเย็นๆ! ตอนนี้เรายังไม่มีรายได้ที่ต้องเสียภาษีเยอะขนาดนั้น แต่ให้ “รู้จัก” มันไว้ก่อน
- เปิดบัญชีเงินฝากแยก: ลองเปิดบัญชีธนาคารอีกเล่มสำหรับการออม พอได้เงินมาปุ๊บ โอน 10-20% เข้าบัญชีนี้ทันที ห้ามถอนออกมาใช้เล่นเด็ดขาด!
- ศึกษาเรื่องกองทุนรวม: ลองอ่านบทความหรือดูคลิปง่ายๆ เกี่ยวกับ “กองทุนรวมตลาดเงิน” หรือ “กองทุนรวมตราสารหนี้” ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำมาก เหมาะสำหรับเป็นที่พักเงินและให้ผลตอบแทนดีกว่าฝากออมทรัพย์เฉยๆ นี่คือสนามซ้อมชั้นดีก่อนไปเจอของจริง
พฤติกรรมที่ 2: เป็น “นักสืบการเงินส่วนตัว” ผ่านการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย
ฟังดูน่าเบื่อใช่ไหม? แต่จริงๆ แล้วมันคือการเล่นบทนักสืบเลยนะ! การจดบันทึกว่าเงินเข้ามาเท่าไหร่ และออกไปทางไหนบ้าง ไม่ใช่การตีกรอบชีวิต แต่คือการ “เข้าใจ” ตัวเองทางการเงินมากขึ้น เราจะเห็นเลยว่าเดือนๆ นึง หมดเงินไปกับค่าชานมไข่มุกกี่แก้ว ค่าสกินแคร์ หรือค่าเติมเกมไปเท่าไหร่
แล้วมันเกี่ยวกับการประหยัดภาษียังไง?
ข้อมูลคือพลัง! เมื่อถึงเวลายื่นภาษี เราจะต้องกรอกข้อมูลรายได้และค่าลดหย่อนต่างๆ ถ้าเราไม่มีการจดบันทึกไว้เลย โอกาสที่จะลืมหรือกรอกข้อมูลผิดพลาดก็สูงมาก การทำบัญชีจะช่วยให้:
- รู้ยอดรายได้ที่แท้จริง: โดยเฉพาะคนทำฟรีแลนซ์หรือขายของออนไลน์ รายรับอาจจะมาจากหลายทาง การจดไว้ช่วยให้ไม่ตกหล่น
- ไม่พลาดค่าลดหย่อน: เราจ่ายค่าอะไรไปบ้างที่อาจจะลดหย่อนได้? เช่น เงินบริจาค (ที่เราอาจจะโอนผ่าน QR Code แล้วลืมไปแล้ว) การจดบันทึกจะช่วยเตือนความจำ
แล้ววัยรุ่นอย่างเราจะเริ่มยังไงดี? (How-to for Teens)
เป้าหมาย: รู้เส้นทางการเงินของตัวเองแบบละเอียด
- ใช้แอปพลิเคชัน: สมัยนี้มีแอปทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายเจ๋งๆ เพียบ ลองโหลดมาใช้ดู มันง่ายและสนุกกว่าที่คิด
- ทำในสมุดโน้ต: ถ้าเป็นสายอาร์ต ชอบจด ชอบวาด ก็ทำ Bullet Journal การเงินของตัวเองเลย เก๋ไปอีกแบบ
- สรุปยอดทุกสิ้นสัปดาห์/เดือน: ไม่ใช่แค่จดแล้วจบนะ ลองมานั่งดูสรุปว่าหมวดไหนที่เราใช้เงินเยอะสุด แล้วถามตัวเองว่า “มันจำเป็นไหม? ลดได้รึเปล่า?”
พฤติกรรมที่ 3: ศึกษาและทำความเข้าใจ “ตัวช่วยลดหย่อนภาษี” ตั้งแต่เนิ่นๆ
ลองจินตนาการว่าการเสียภาษีคือเกมที่เราต้องจ่ายเงินตามรายได้ แต่ในเกมนี้มี “ไอเทมพิเศษ” ที่เรียกว่า ค่าลดหย่อน ให้เราเก็บเพื่อเอาไปหักลบกับรายได้ ทำให้เงินที่เราต้องเอาไปคำนวณภาษีน้อยลง ผลก็คือ เราเสียภาษีน้อยลงนั่นเอง! คนที่ไม่ศึกษาเรื่องนี้ ก็เหมือนเล่นเกมแบบไม่เก็บไอเทมเลย เสียเปรียบสุดๆ
แล้วมันเกี่ยวกับการประหยัดภาษียังไง?
นี่แหละคือหัวใจของการประหยัดภาษีเลย! การรู้จักค่าลดหย่อนต่างๆ จะทำให้เราสามารถวางแผนการใช้จ่ายตลอดทั้งปีได้อย่างชาญฉลาด ไม่ใช่แค่มารีบหาตัวช่วยตอนปลายปี
ค่าลดหย่อนหลักๆ ที่เราควรรู้จักไว้ (สำหรับอนาคต) เช่น:
- ส่วนตัวและครอบครัว: ค่าลดหย่อนส่วนตัว, คู่สมรส, บุตร, ค่าอุปการะเลี้ยงดูพ่อแม่
- ประกันและการลงทุน: เบี้ยประกันชีวิต, ประกันสุขภาพ, เงินลงทุนใน SSF/RMF
- กระตุ้นเศรษฐกิจ: บางปีรัฐบาลจะมีโครงการพิเศษ เช่น ช้อปดีมีคืน ที่ให้เรานำค่าใช้จ่ายมาลดหย่อนได้
- เงินบริจาค: บริจาคให้สถานศึกษา, โรงพยาบาล, มูลนิธิต่างๆ (บางที่ลดหย่อนได้ 2 เท่าด้วยนะ!)
แล้ววัยรุ่นอย่างเราจะเริ่มยังไงดี? (How-to for Teens)
เป้าหมาย: รู้จักไอเทมลดหย่อนภาษี และเริ่มใช้บางอย่างที่ทำได้
- อ่านสรุปค่าลดหย่อนภาษี: ลองเสิร์ช Google ว่า
ค่าลดหย่อนภาษี ปีล่าสุด
แล้วอ่านผ่านๆ ตาให้พอเห็นภาพรวมว่ามีอะไรบ้าง - คุยกับผู้ปกครอง: ลองถามคุณพ่อคุณแม่ว่าท่านใช้สิทธิลดหย่อนอะไรบ้าง เช่น ประกันของตัวเราที่ท่านจ่ายให้ หรือค่าเทอมของเรา (กรณีเรียนหลักสูตรพิเศษ) นี่คือการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงที่ดีที่สุด
- เก็บหลักฐานการบริจาค: เวลาเราทำบุญหรือบริจาคเงินตามมูลนิธิต่างๆ ที่สามารถออกใบเสร็จ/ใบอนุโมทนาบัตรเพื่อลดหย่อนภาษีได้ ให้ฝึกเก็บหลักฐานไว้เสมอ แม้วันนี้เราจะยังไม่ได้ใช้ แต่เป็นการสร้างนิสัยที่ดี
พฤติกรรมที่ 4: เป็น “นักสะสมเอกสารการเงิน” อย่างมีระบบ
พฤติกรรมนี้ต่อเนื่องมาจากข้อ 2 และ 3 เลย หลังจากที่เราทำบัญชีและรู้แล้วว่ามีค่าใช้จ่ายอะไรที่ลดหย่อนภาษีได้บ้าง สิ่งสำคัญต่อไปคือ “หลักฐาน” ครับ! กรมสรรพากรอาจจะมีการสุ่มตรวจและขอเอกสารหลักฐานการลดหย่อนของเราได้ ถ้าเราไม่มีให้ดู ก็อาจจะโดนปรับได้เลยนะ
แล้วมันเกี่ยวกับการประหยัดภาษียังไง?
การมีเอกสารครบถ้วนหมายความว่าเราจะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้อย่างเต็มที่และสบายใจ ไม่ต้องมานั่งกังวลว่าจะหาเอกสารไม่เจอ หรือโดนตัดสิทธิลดหย่อนไปดื้อๆ ซึ่งเท่ากับเสียเงินไปฟรีๆ
“การจัดเก็บเอกสารที่ดีในวันนี้ คือความสบายใจและเป็นการรักษาผลประโยชน์ของตัวเองในวันยื่นภาษี”
เอกสารที่ควรฝึกเก็บ เช่น:
- เอกสารเกี่ยวกับรายได้: หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (ใบ 50 ทวิ) จากงานพาร์ทไทม์หรืองานฟรีแลนซ์
- เอกสารลดหย่อน: ใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีเต็มรูปจากโครงการช้อปดีมีคืน, ใบรับรองการซื้อหน่วยลงทุน SSF/RMF, ใบเสร็จเบี้ยประกัน, ใบอนุโมทนาบัตรจากการบริจาค
แล้ววัยรุ่นอย่างเราจะเริ่มยังไงดี? (How-to for Teens)
เป้าหมาย: สร้างระบบการจัดเก็บเอกสารทางการเงินของตัวเอง
- สร้างโฟลเดอร์ในคอม/Cloud: สร้างโฟลเดอร์ชื่อ “TAX [ปีภาษี]” เช่น “TAX 2024” ใน Google Drive หรือบนคอมพิวเตอร์
- ถ่ายรูป/สแกนเก็บทันที: เมื่อได้เอกสารอะไรมา ให้รีบถ่ายรูปหรือสแกนเก็บเข้าโฟลเดอร์นั้นทันที ตั้งชื่อไฟล์ให้เข้าใจง่าย เช่น
บริจาค-มูลนิธิ A-2024-05-15.pdf
- แยกเก็บตัวจริง: หาแฟ้มหรือกล่องมาใส่เอกสารตัวจริงแยกไว้เป็นสัดส่วน เผื่อต้องใช้ในอนาคต
พฤติกรรมที่ 5: ติดตามข่าวสารและ “อัปเดตความรู้” ด้านภาษีและการเงินเสมอ
โลกการเงินและกฎหมายภาษีเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา! ค่าลดหย่อนบางอย่างอาจจะมีแค่ปีนี้ ปีหน้าอาจจะไม่มีแล้ว หรืออาจจะมีเงื่อนไขใหม่ๆ เพิ่มเข้ามา การที่เราปิดหูปิดตา ไม่สนใจข่าวสารเลย อาจทำให้เราพลาดโอกาสดีๆ หรือทำผิดกฎโดยไม่รู้ตัว
แล้วมันเกี่ยวกับการประหยัดภาษียังไง?
การอัปเดตความรู้อยู่เสมอทำให้เรา:
- ไม่พลาดสิทธิประโยชน์ใหม่ๆ: เช่น โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล หรือการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขของ SSF/RMF ที่อาจเป็นประโยชน์กับเรา
- วางแผนได้แม่นยำขึ้น: เมื่อเรารู้ล่วงหน้าว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไร เราก็จะสามารถปรับแผนการเงินและการลงทุนของเราได้ทันท่วงที
- ป้องกันความผิดพลาด: การยื่นภาษีผิดพลาดไม่ใช่เรื่องสนุก การติดตามข้อมูลที่ถูกต้องจะช่วยลดความเสี่ยงตรงนี้ได้
แล้ววัยรุ่นอย่างเราจะเริ่มยังไงดี? (How-to for Teens)
เป้าหมาย: ทำให้การเรียนรู้เรื่องเงินและภาษีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
- ติดตามเพจ/ช่องที่น่าเชื่อถือ: เลือกติดตาม Influencer ด้านการเงิน หรือเพจของธนาคาร, บริษัทหลักทรัพย์, หรือบล็อกเกอร์ภาษีที่ให้ข้อมูลถูกต้องและเข้าใจง่าย
- บุ๊กมาร์กเว็บกรมสรรพากร: เว็บไซต์ของกรมสรรพากร (www.rd.go.th) คือแหล่งข้อมูลที่เป็นทางการและถูกต้องที่สุด ลองเข้าไปอ่านดูบ้าง อาจจะดูยากนิดหน่อย แต่เป็นแหล่งอ้างอิงที่ดีที่สุด
- คุยกับเพื่อนหรือคนในครอบครัว: แลกเปลี่ยนความรู้เรื่องการเงินกับคนรอบข้าง การพูดคุยจะทำให้เราจำได้ดีขึ้นและได้มุมมองใหม่ๆ
Q&A รุ่นพี่ขอตอบ: คำถามที่วัยรุ่นสงสัยเกี่ยวกับภาษี
Q: ทำงานพาร์ทไทม์ได้เงินเดือนละไม่กี่พัน ต้องยื่นภาษีไหม?
A: ตามกฎหมาย ถ้าเรามี “เงินได้” เกิดขึ้นในประเทศไทย เรามีหน้าที่ต้อง “ยื่น” แบบแสดงรายการภาษี (ภ.ง.ด. 90/91) ประจำปีครับ แต่! การ “ยื่น” ไม่ได้หมายความว่าจะต้อง “เสีย” ภาษีเสมอไปนะ ถ้าคำนวณออกมาแล้วรายได้สุทธิของเราไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสีย (ปัจจุบันคือ 150,000 บาทต่อปี) เราก็ไม่ต้องจ่ายภาษี แต่การยื่นแบบฯ ถือเป็นหน้าที่ของพลเมืองที่ดีและเป็นการสร้างประวัติทางการเงินของเราด้วย
Q: SSF กับ RMF ที่พี่พูดถึง มันต่างกันยังไงแบบง่ายที่สุด?
A: คิดง่ายๆ แบบนี้ครับ:
– SSF: เหมือน “ภารกิจออมเงินระยะกลาง” เราต้องถือหน่วยลงทุนไว้อย่างน้อย 10 ปี ถึงจะขายได้แบบไม่ผิดเงื่อนไข
– RMF: เหมือน “ภารกิจออมเงินเพื่อวัยเก๋า” เราต้องลงทุนต่อเนื่องจนถึงอายุ 55 ปี และต้องลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี
ทั้งสองอย่างใช้ลดหย่อนภาษีได้เหมือนกัน แต่เป้าหมายและระยะเวลาต่างกัน RMF จะเหมาะกับการวางแผนเกษียณจริงจังมากกว่าครับ
Q: การยื่นภาษีมันยากมากไหม กลัวทำผิด
A: ไม่ยากอย่างที่คิดเลย! ปัจจุบันเราสามารถยื่นภาษีออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากรได้ ซึ่งง่ายและสะดวกมาก ระบบจะคำนวณให้เราอัตโนมัติ แค่เราเตรียมข้อมูลรายได้และค่าลดหย่อนให้พร้อม (ซึ่งถ้าเราทำตามพฤติกรรมข้อ 2 กับ 4 มาตลอด ก็จะชิลมาก) ถ้าไม่แน่ใจจริงๆ ช่วงยื่นภาษี (ม.ค.-มี.ค. ของทุกปี) จะมีคนทำคลิปสอนเยอะแยะเลย ไม่ต้องกลัวครับ
บทสรุป: เริ่มต้นวันนี้ เพื่ออนาคตการเงินที่แข็งแกร่ง
เห็นไหมครับว่าทั้ง 5 พฤติกรรมนี้ ไม่มีอะไรซับซ้อนหรือไกลตัวเลย มันคือการสร้าง ‘นิสัย’ เล็กๆ น้อยๆ ในวันนี้ ที่จะส่งผลให้การจัดการภาษีของเราในอนาคตกลายเป็นเรื่องง่ายและมีประสิทธิภาพสูงสุด
อย่ามองว่าเรื่องภาษีเป็นเรื่องของผู้ใหญ่หรือเรื่องน่าปวดหัว แต่ให้มองว่ามันคือ “เกมวางแผนการเงิน” ที่เราทุกคนต้องเล่น การเรียนรู้กติกาและฝึกฝนตั้งแต่วันนี้ จะทำให้เราเป็นผู้เล่นที่ฉลาดและสามารถรักษาผลประโยชน์ของตัวเองไว้ได้มากที่สุด
อนาคตทางการเงินที่ดี เริ่มต้นได้ตั้งแต่วันนี้… เริ่มจากตัวเราเองนี่แหละ!