ภาษีนำเข้า 2025: ซื้อของออนไลน์อย่างไรไม่เสียภาษีเกินจำเป็น

ภาษีนำเข้า 2025: ซื้อของออนไลน์อย่างไรไม่เสียภาษีเกินจำเป็น 🛍️💸

ฮัลโหลเพื่อนๆ ชาวเน็ตสายช้อป! พี่เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยเป็นเหมือนกัน… เวลาไถฟีดแอปส้ม แอปฟ้า หรือเว็บนอก แล้วไปเจอของสุดคิ้วท์ที่ไม่มีขายในไทย ไม่ว่าจะเป็นฟิกเกอร์ลิมิเต็ด, เสื้อผ้าแบรนด์โปรด, หรือสกินแคร์ตัวดังที่ต่างชาติเค้ารีวิวกันปังๆ พอจะกดสั่งเท่านั้นแหละ… ความคิดนึงก็แวบเข้ามาในหัว “แล้วจะโดนภาษีมั้ยเนี่ย?” 🤯

ความกังวลเรื่องภาษีนำเข้าเนี่ย เป็นเหมือนด่านสุดท้ายของนักช้อปออนไลน์อย่างเราๆ เลยเนอะ วันนี้ในฐานะรุ่นพี่ที่ผ่านสมรภูมิการกดของข้ามประเทศมาพอสมควร (และเคยเจ็บมาเยอะ 😭) จะมาสรุปและอัปเดตเรื่อง “ภาษีนำเข้า 2025” ให้ฟังกันแบบเคลียร์ๆ สไตล์เด็กมหา’ลัยคุยกัน รับรองว่าอ่านจบแล้วเพื่อนๆ จะช้อปของได้อย่างโปรขึ้น วางแผนการเงินได้ดีขึ้น และที่สำคัญ… ไม่ต้องเสียภาษีเกินจำเป็นอีกต่อไป!

Part 1: “ภาษีนำเข้า” คืออะไรกันแน่? ทำไมเราต้องจ่าย?

ก่อนจะไปถึงทริคต่างๆ เรามาทำความเข้าใจพื้นฐานกันก่อนแบบง่ายๆ นะ ภาษีนำเข้า หรือที่เรียกเป็นทางการว่า “อากรขาเข้า” มันก็เหมือนกับ “ค่าธรรมเนียม” ที่เราต้องจ่ายให้รัฐบาล (ในที่นี้คือ กรมศุลกากร) เพื่อนำของจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทยนั่นเอง

ถาม: แล้วเค้าเก็บไปทำไมอ่ะ?

ตอบ: หลักๆ เลยก็มี 2 เหตุผล

  • เพื่อปกป้องผู้ผลิตในประเทศ: ลองคิดดูว่าถ้าของจากต่างประเทศที่ผลิตได้ทีละเยอะๆ ราคาถูกๆ ทะลักเข้ามาโดยไม่มีกำแพงภาษีเลย สินค้าที่ผลิตในไทยก็อาจจะขายไม่ออก ผู้ประกอบการในบ้านเราก็จะลำบาก
  • เพื่อเป็นรายได้ให้รัฐ: เงินภาษีส่วนนี้ รัฐบาลก็จะนำไปพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ เช่น สร้างถนน, โรงพยาบาล, หรือเป็นงบการศึกษาให้เราๆ นี่แหละ

ภาษีที่เกี่ยวกับการนำเข้าของที่เราต้องรู้จักหลักๆ จะมี 2 ตัว คือ:

  1. อากรขาเข้า (Import Duty): ตัวนี้แหละคือพระเอกของเรา คิดเป็นเปอร์เซ็นต์จากราคาของ + ค่าขนส่ง + ค่าประกันภัย ซึ่งอัตราจะแตกต่างกันไปตามประเภทสินค้า
  2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT – Value Added Tax): คุ้นๆ กันมั้ย? ใช่เลย! มันคือ VAT 7% ที่เราจ่ายกันเวลาซื้อของในเซเว่นนั่นแหละ แต่เวลาสั่งของจากนอก มันจะถูกนำมาคำนวณบนยอดรวมของ (ราคาของ + อากรขาเข้า) อีกทีนึง

เก็ทคอนเซ็ปต์คร่าวๆ แล้วเนอะ? ไปต่อกันที่ประเด็นที่ทุกคนรอคอยกันเลย!


Part 2: The Magic Number 1,500 บาท และกฎ(ที่อาจจะ)ใหม่ปี 2025

หัวใจสำคัญของการสั่งของไม่ให้โดนภาษี (อากรขาเข้า) ที่สายช้อปรู้กันดีก็คือตัวเลข 1,500 บาท นี่แหละ!

กฎปัจจุบัน (ที่ใช้กันมานาน)

ของที่ส่งมาจากต่างประเทศ หากมีราคารวมค่าขนส่งและค่าประกันภัยแล้ว ไม่เกิน 1,500 บาท จะได้รับการ “ยกเว้นอากรขาเข้า”

แต่เดี๋ยวก่อน! คำว่า “ราคา” ในที่นี้ ไม่ใช่แค่ราคาของบนหน้าเว็บนะทุกคน แต่มันคือราคาที่เรียกว่า “CIF”

💡 AEO Quick Answer: CIF คืออะไร?

CIF ย่อมาจาก Cost, Insurance, Freight เป็นหลักการที่กรมศุลกากรใช้ประเมินราคาสินค้าเพื่อคำนวณภาษี ประกอบด้วย:

  • C – Cost: ราคาของที่เราจ่ายไปจริงๆ
  • I – Insurance: ค่าประกันภัยการขนส่ง (ถ้ามี)
  • F – Freight: ค่าขนส่ง หรือค่าส่งของนั่นเอง

ดังนั้น CIF = ราคาของ + ค่าประกัน + ค่าส่ง นั่นเอง! เวลาจะดูว่าเกิน 1,500 บาทมั้ย ต้องเอามารวมกันให้หมดนะ!

ตัวอย่าง: เราสั่งหูฟังราคา 1,300 บาท ค่าส่ง 250 บาท
CIF = 1,300 + 250 = 1,550 บาท
แบบนี้คือ เกิน 1,500 บาท แล้วนะ! มีสิทธิ์โดนเรียกเก็บอากรขาเข้าและ VAT จุกๆ ได้เลย

🚨 อัปเดตสำคัญ! ทิศทางภาษีนำเข้าปี 2025

มาถึงเรื่องใหญ่ที่ทำให้วงการนักช้อปสั่นสะเทือน! เมื่อเร็วๆ นี้มีข่าวออกมาว่าทางภาครัฐมีแผนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงกฎการเก็บภาษีครั้งใหญ่ในปี 2567-2568 (ซึ่งก็คือปี 2025 ที่จะถึงนี้) โดยมีใจความสำคัญว่า:

“อาจมีการพิจารณาให้เก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% กับสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศทุกชิ้น แม้ว่าจะมีราคาต่ำกว่า 1,500 บาทก็ตาม”

แปลว่าอะไร?

  • อากรขาเข้า (Import Duty): ยังเหมือนเดิม คือของที่ราคา CIF ไม่เกิน 1,500 บาท ยังคง “ได้รับการยกเว้น” อยู่
  • ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%): นี่คือตัวที่เปลี่ยนไป! ของที่เคยได้รับการยกเว้นเพราะราคาไม่ถึง 1,500 บาท อาจจะต้อง “เริ่มจ่าย VAT 7%” ตั้งแต่บาทแรกเลย

ลองดูตัวอย่างเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดๆ:

สมมติเราสั่งเคสโทรศัพท์มือถือสุดน่ารัก ราคา (CIF) 800 บาท

  • กฎปัจจุบัน: ราคาไม่ถึง 1,500 บาท –> ไม่ต้องเสียภาษีอะไรเลย จ่าย 800 บาทจบ รอรับของชิลๆ ที่บ้าน
  • กฎใหม่ (คาดการณ์ปี 2025): ราคาไม่ถึง 1,500 บาท (ยกเว้นอากรขาเข้า) แต่! ต้องเสีย VAT 7%
    คำนวณ VAT: 800 * 7% = 56 บาท
    สรุปยอดที่ต้องจ่ายทั้งหมด: 800 + 56 = 856 บาท

เห็นมั้ยว่าถึงจะดูเป็นเงินไม่เยอะ แต่ถ้าเราสั่งของจุกจิกบ่อยๆ รวมๆ กันแล้วก็เป็นเงินหลายร้อยเลยนะ! การเปลี่ยนแปลงนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา แต่เราในฐานะผู้บริโภคก็ต้องเตรียมตัวและวางแผนให้ดี


Part 3: How to Shop Smart – เทคนิคสั่งของออนไลน์ไม่ให้งบบานปลาย 📝

เมื่อรู้กฎกติกาแล้ว ก็ถึงเวลาวางแผนการรบ! นี่คือเทคนิคที่พี่ใช้ประจำและอยากจะแชร์ต่อให้เพื่อนๆ เอาไปปรับใช้กัน

1. คำนวณ CIF ให้เป๊ะก่อนกดจ่ายเงิน

ก่อนจะกด Confirm Order ทุกครั้ง ให้เอา (ราคาของ + ค่าส่ง) มาบวกกันในใจก่อนเลย ถ้าเว็บมีค่าประกันภัยก็อย่าลืมบวกเข้าไปด้วย พยายามคุมยอดรวมนี้ “ไม่ให้เกิน 1,500 บาท” เสมอ เพื่อเลี่ยง “อากรขาเข้า” ซึ่งเป็นภาษีตัวที่หนักที่สุด

2. แยกตะกร้า แยกออเดอร์ (แต่ต้องทำอย่างเข้าใจ)

ถ้าอยากได้ของหลายชิ้นที่รวมกันแล้วเกิน 1,500 บาท วิธีที่หลายคนทำคือ “การแยกออเดอร์” เช่น สั่งของทั้งหมดมูลค่า 2,500 บาท ก็อาจจะแบ่งเป็น 2 ออเดอร์ ออเดอร์ละ 1,250 บาท

ข้อควรระวัง: อย่าสั่ง 2 ออเดอร์ติดกันในวันเดียวกันจากร้านเดียวกัน เพราะมีโอกาสที่ร้านจะแพ็ครวมมาในกล่องเดียว หรือแม้จะแยกกล่องแต่ส่งมาพร้อมกัน เจ้าหน้าที่ศุลกากรอาจจะพิจารณาว่าเป็นเจตนาเลี่ยงภาษีและนำมูลค่ามารวมกันได้ ทางที่ดีควรทิ้งช่วงห่างในการสั่งสัก 2-3 วัน หรือสั่งคนละรอบบิลไปเลยเพื่อความปลอดภัย

3. มองหาตัวเลือก “ราคารวมภาษี” (Delivered Duty Paid – DDP)

เว็บช้อปปิ้งใหญ่ๆ บางเจ้า (เช่น Amazon บางรายการ) จะมีตัวเลือกให้เราจ่ายภาษีไปเลยตั้งแต่ตอนเช็คเอาท์ ซึ่งสะดวกมากๆ เพราะราคานั้นจะเป็นราคาสุดท้ายที่เราต้องจ่ายจริงๆ ไม่มีมาเก็บเพิ่มหน้าบ้านให้ตกใจเล่น และส่วนใหญ่เค้าจะคำนวณมาค่อนข้างแม่นยำด้วย แม้จะดูแพงตอนจ่าย แต่ก็สบายใจกว่าเยอะ

4. ทำความรู้จัก “พิกัดอัตราศุลกากร” (HS Code)

อันนี้อาจจะดูแอดวานซ์ไปนิด แต่รู้ไว้ไม่เสียหาย! สินค้าแต่ละประเภทจะมี “พิกัด” หรือโค้ดที่ใช้กำหนดอัตราอากรขาเข้าไม่เท่ากัน

  • ของที่ไม่ค่อยโดนเพ่งเล็ง/ภาษีไม่สูง: หนังสือ, เอกสาร, ของชิ้นเล็กๆ, เสื้อผ้าบางประเภท
  • ของที่โดนเพ่งเล็ง/ภาษีสูง: เครื่องสำอาง, น้ำหอม (ประมาณ 30%), กระเป๋าแบรนด์เนม (ประมาณ 20%), รองเท้า (ประมาณ 30%), โดรน, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บางชนิด

ถ้าเพื่อนๆ จะสั่งของในกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ แม้ราคาจะปริ่มๆ 1,500 บาท ก็ต้องทำใจไว้เลยว่ามีโอกาสโดนประเมินสูงมาก

5. ใช้บริการ “ชิปปิ้ง” หรือ Shipping Forwarder

สำหรับสายสั่งของหนักๆ จากประเทศใดประเทศหนึ่งโดยเฉพาะ (เช่น จีน, อเมริกา, ญี่ปุ่น) การใช้บริการชิปปิ้งเป็นทางออกที่ดีมาก ชิปปิ้งคือบริษัทตัวกลางที่จะมีโกดังอยู่ที่ประเทศนั้นๆ เราก็สั่งของให้ไปส่งที่โกดังของเค้า แล้วเค้าจะรวบรวมและจัดการส่งต่อมาที่ไทยให้เราอีกที

ข้อดีคือ: ส่วนใหญ่เค้าจะเคลียร์ภาษีมาให้เรียบร้อย คิดค่าบริการเป็นกิโลหรือเป็นคิว (ลูกบาศก์เมตร) เราแค่รอจ่ายเงินและรับของที่ไทยได้เลย เหมาะกับคนที่สั่งของบ่อยๆ หรือของชิ้นใหญ่


Part 4: สถานการณ์ฉุกเฉิน! “โดนกักของที่ศุลกากร” ทำไงดี?

วันนึงถ้าเราเช็ค Tracking Number แล้วขึ้นสถานะว่า “อยู่ระหว่างดำเนินพิธีการศุลกากร” หรือ “กักไว้เพื่อตรวจสอบ” หรือมีใบแจ้งหนี้จากไปรษณีย์มาที่บ้าน… อย่าเพิ่งตกใจ! มันเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ ให้ทำตามนี้เลย

  1. ตั้งสติและดูเอกสาร: ในใบแจ้งจะระบุว่าพัสดุของเราถูกกักอยู่ที่ไหน (ส่วนใหญ่คือไปรษณีย์หลักสี่) และต้องทำอะไรบ้าง
  2. เตรียมหลักฐาน: สิ่งที่ต้องเตรียมคือ
    • ใบแจ้งจากไปรษณีย์/บริษัทขนส่ง
    • บัตรประชาชนตัวจริง และสำเนา
    • หลักฐานการสั่งซื้อและการชำระเงิน (แคปหน้าจอออเดอร์, สลิปโอนเงิน, อีเมลยืนยัน) พยายามปรินต์ออกมาให้ชัดเจนที่สุด
  3. ไปติดต่อศุลกากร: เดินทางไปยังสถานที่ที่ระบุในใบแจ้ง ยื่นเอกสารให้เจ้าหน้าที่ เค้าจะเปิดพัสดุต่อหน้าเราเพื่อประเมินประเภทและราคาของ
  4. ชำระภาษีและรับของ: เจ้าหน้าที่จะคำนวณภาษีที่เราต้องจ่าย เราก็ชำระเงิน (เตรียมเงินสดไปจะสะดวกที่สุด) แล้วก็รับน้องกลับบ้านได้เลย!

กระบวนการอาจจะดูยุ่งยากนิดหน่อย แต่ถ้าเราเตรียมเอกสารไปครบถ้วนและพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ดีๆ ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย


Part 5: Q&A คำถามที่พบบ่อยจากใจชาวเน็ต 🙋‍♀️🙋‍♂️

รวบรวมคำถามยอดฮิตที่พี่เจอประจำมาตอบให้ตรงนี้เลย!

Q1: ให้ร้านค้าเขียนหน้ากล่องว่าเป็น “Gift” (ของขวัญ) หรือสำแดงราคาต่ำๆ จะช่วยเลี่ยงภาษีได้มั้ย?
A1: เป็นวิธีที่ ไม่แนะนำอย่างยิ่ง! เจ้าหน้าที่ศุลกากรมีประสบการณ์สูง เค้าดูออกว่าของข้างในคืออะไร และมีฐานข้อมูลราคาประเมินอยู่แล้ว ถ้าเค้าตรวจเจอว่าของในกล่องไม่ตรงกับที่สำแดง หรือราคามันดูไม่สมเหตุสมผล (เช่น กล่องใหญ่แต่มูลค่า $5) เค้ามีสิทธิ์ประเมินราคาใหม่ตามฐานข้อมูลของเค้า ซึ่งอาจจะสูงกว่าราคาจริงที่เราซื้อมาก็ได้ กลายเป็นว่าต้องเสียภาษีแพงขึ้นไปอีก แถมยังเสียเวลาด้วย ทำตามกฎดีที่สุดครับ

Q2: แล้วจะคำนวณภาษีคร่าวๆ ด้วยตัวเองได้ยังไง?
A2: ได้เลย! สมมติเราสั่งกระเป๋า 1 ใบ ราคา CIF คือ 2,000 บาท และสมมติว่ากระเป๋ามีอัตราอากรขาเข้า 20%
ขั้นที่ 1 (คำนวณอากรขาเข้า): 2,000 * 20% = 400 บาท
ขั้นที่ 2 (คำนวณฐานสำหรับ VAT): (ราคา CIF + อากรขาเข้า) = 2,000 + 400 = 2,400 บาท
ขั้นที่ 3 (คำนวณ VAT): 2,400 * 7% = 168 บาท
สรุปภาษีที่ต้องจ่ายทั้งหมด: 400 + 168 = 568 บาท
ยอดรวมที่เราต้องจ่ายจริงๆ คือ 2,000 (ค่าของ) + 568 (ค่าภาษี) = 2,568 บาท

Q3: สั่งของจากจีนผ่านแอปส้ม (Shopee) หรือแอปฟ้า (Lazada) ที่เขียนว่าส่งจากต่างประเทศ ต้องกังวลเรื่องนี้มั้ย?
A3: ส่วนใหญ่แล้วไม่ต้องกังวลครับ เพราะร้านค้าหรือแพลตฟอร์มพวกนี้มักจะจัดการเรื่องภาษีนำเข้าในรูปแบบขนส่งเชิงพาณิชย์มาให้เรียบร้อยแล้ว ราคาที่แสดงบนแอปมักจะเป็นราคาสุทธิที่เราจ่าย (แต่อย่าลืมเช็ครายละเอียดร้านค้าและรีวิวเพื่อความแน่ใจนะ!)

Q4: กฎใหม่เรื่อง VAT 7% จะเริ่มใช้เมื่อไหร่กันแน่?
A4: ณ ตอนนี้ (ปลายปี 2024) ยังเป็นเพียง “แผนและข้อเสนอ” ที่กำลังพิจารณากันอยู่ ยังไม่มีประกาศบังคับใช้อย่างเป็นทางการออกมาครับ แต่เป็นแนวโน้มที่มีความเป็นไปได้สูงมากในปี 2025 สิ่งที่เราทำได้คือติดตามข่าวสารจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เช่น เว็บไซต์ของกรมศุลกากรโดยตรง และเตรียมตัววางแผนการช้อปให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง

บทสรุปส่งท้ายสำหรับนักช้อป Gen Z

การช้อปปิ้งออนไลน์ข้ามโลกเป็นอะไรที่เปิดประสบการณ์และสนุกมาก แต่การเป็นนักช้อปที่ “ฉลาด” คือการที่เราต้องรู้เท่าทันกฎกติกาต่างๆ ด้วย

Key Takeaways ที่อยากให้ทุกคนจำให้ขึ้นใจคือ:

  • รู้จักค่า CIF: ราคาของ + ค่าส่ง + ค่าประกัน คือตัวตัดสิน
  • ยึดเลข 1,500 บาท: เป็นเส้นตายของการ “ยกเว้นอากรขาเข้า”
  • เตรียมรับมือ VAT 7%: ติดตามข่าวสารเรื่องกฎใหม่ปี 2025 ให้ดี เพราะมันอาจจะทำให้ของราคาต่ำกว่า 1,500 บาท ไม่ฟรีภาษีอีกต่อไป
  • วางแผนก่อนซื้อ: แยกออเดอร์, เช็คประเภทสินค้า, คำนวณภาษีคร่าวๆ จะช่วยเซฟเงินในกระเป๋าได้เยอะมาก

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ทุกคนนะ! การเข้าใจเรื่องภาษีอาจจะดูน่าเบื่อและตัวเลขเยอะไปหน่อย แต่เชื่อพี่เถอะว่ามันจะทำให้สกิลการช้อปของทุกคนเลเวลอัพขึ้นไปอีกขั้นแน่นอน ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการ F ของที่อยากได้โดยไม่ต้องมานั่งปวดหัวเรื่องภาษีนะ! ใครมีคำถามอะไรเพิ่มเติม คอมเมนต์คุยกันได้เลย! 👋

“`

Most Popular

Categories