สรุปสิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีปี 2025 ที่คนไทยควรใช้ให้คุ้ม

วางแผนภาษี 2025 ฉบับ Gen Z: ลดหย่อนภาษีให้คุ้มก่อนเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว! 🚀

หวัดดีเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกคน! ในฐานะรุ่นพี่มหา’ลัยที่กำลังจะก้าวเข้าสู่โลกการทำงานเต็มตัวเหมือนกัน วันนี้เราอยากจะมาชวนคุยเรื่องที่ฟังดูน่าเบื่อและไกลตัวสุดๆ อย่าง “ภาษี” แต่เชื่อเราเถอะว่าเรื่องนี้โคตรสำคัญ! มันคือ Life Skill ที่จะทำให้เราเก็บเงินที่เราหามาได้แบบเหนื่อยยากไว้กับตัวได้มากขึ้น เหมือนมีบัฟเทพติดตัวก่อนลงสนามจริงเลยนะ!

หลายคนอาจจะคิดว่า “โหพี่ หนูยังเรียนอยู่เลย” หรือ “เพิ่งเริ่มทำงานเอง เงินเดือนยังไม่เยอะ” แต่การรู้เรื่อง “การลดหย่อนภาษี” ไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ คือความได้เปรียบแบบสุดๆ วันนี้เราจะมาแกะทุกซอกทุกมุมของสิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีปี 2568 (ซึ่งเป็นรายได้ที่เราจะใช้ยื่นตอนต้นปี 2569) แบบภาษาคนเข้าใจง่าย ไม่ต้องมีศัพท์การเงินยากๆ ให้ปวดหัว พร้อมเทคนิคสำหรับชาวไทย Gen Z โดยเฉพาะ ไปดูกันเลย! 💪

ภาษีคืออะไร? ทำไมเราต้องแคร์? 🤔

ก่อนจะไปดูว่าเราจะ “ลด” มันยังไง เรามาเข้าใจคอนเซ็ปต์มันแบบเร็วๆ กันก่อน ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ก็คือเงินส่วนหนึ่งที่คนมีรายได้แบบเราๆ ต้องแบ่งให้รัฐบาล เพื่อที่รัฐจะได้เอาเงินก้อนนี้ไปพัฒนาประเทศ เช่น สร้างถนน โรงพยาบาล โรงเรียน หรือเป็นงบประมาณต่างๆ ที่ทำให้ประเทศเราเดินต่อไปได้

แล้ว “ค่าลดหย่อนภาษี” ล่ะ? มันคือ “ตัวช่วย” ที่กฎหมายกำหนดไว้ให้เราสามารถนำไปหักออกจากรายได้ของเราได้ ทำให้รายได้ที่เราต้องเอาไปคำนวณภาษีมันน้อยลง ผลก็คือ… เราจะเสียภาษีน้อยลง หรืออาจจะไม่ต้องเสียเลยก็ได้! มันคือสิทธิประโยชน์ที่เราต้องใช้ให้คุ้ม! เหมือนได้คูปองส่วนลดจากรัฐบาลเลยแหละ

💡 Point สำคัญ: บทความนี้พูดถึงรายได้และสิทธิลดหย่อนของ ปีภาษี 2568 (1 ม.ค. – 31 ธ.ค. 2025) ซึ่งเราจะนำไปยื่นภาษีในช่วง ต้นปี 2569 (ม.ค. – มี.ค. 2026) นะครับเพื่อนๆ อย่าสับสนไทม์ไลน์กันล่ะ!

เจาะลึก! รายการลดหย่อนภาษีปี 2568 ที่คนไทยต้องรู้

มาถึงไฮไลต์ของเราแล้ว! เราจะแบ่งรายการลดหย่อนเป็นกลุ่มๆ เพื่อให้เข้าใจง่ายและเห็นภาพรวมชัดขึ้นว่ามีอะไรที่เราจะใช้ประโยชน์ได้บ้าง

หมวดที่ 1: กลุ่มพื้นฐานส่วนตัวและครอบครัว (Basic & Family)

กลุ่มนี้เป็นเหมือนด่านแรกที่ทุกคนต้องเจอและใช้สิทธิ์ได้ง่ายที่สุด

  • ค่าลดหย่อนส่วนตัว: 60,000 บาท – อันนี้ทุกคนที่มีรายได้ได้สิทธิ์นี้ทันที ไม่ต้องทำอะไรเลย เป็นเหมือนโบนัสเริ่มต้นจากกรมสรรพากร
  • ค่าลดหย่อนคู่สมรส: 60,000 บาท – สำหรับคนที่มีคู่สมรสที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย และคู่สมรสไม่มีรายได้ (หรือยื่นภาษีรวมกัน)
  • ค่าลดหย่อนบุตร: คนละ 30,000 บาท – สำหรับใครที่วางแผนครอบครัวในอนาคต หรือมีพี่น้องที่พ่อแม่ใช้สิทธิ์นี้อยู่ ถ้ามีลูกคนที่ 2 เป็นต้นไปที่เกิดตั้งแต่ปี 2561 จะลดหย่อนได้คนละ 60,000 บาท!
  • ค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา: คนละ 30,000 บาท – เราสามารถลดหย่อนพ่อแม่ของเราและของคู่สมรสได้ รวมสูงสุด 4 คน (120,000 บาท) เงื่อนไขคือท่านต้องอายุ 60 ปีขึ้นไปและมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี และเราต้องเป็นคนเลี้ยงดูท่านจริงๆ นะ
  • ค่าอุปการะผู้พิการหรือทุพพลภาพ: คนละ 60,000 บาท

หมวดที่ 2: กลุ่มประกันและการลงทุน (Insurance & Investment) – หมวดอัปเลเวลการเงิน!

นี่แหละคือหมวดที่ชาว First Jobber หรือคนที่เริ่มมีเงินเก็บต้องโฟกัสเลย เพราะนอกจากจะช่วยลดหย่อนภาษีแล้ว ยังเป็นการสร้างความมั่นคงและวางแผนอนาคตไปในตัวด้วย

  • เงินสมทบกองทุนประกันสังคม: สูงสุด 9,000 บาท – สำหรับชาวออฟฟิศ มนุษย์เงินเดือนทุกคนที่ถูกหักประกันสังคมทุกเดือน อย่าลืมเอาตัวเลขนี้มาใช้ลดหย่อนด้วยนะ! (เช็คจากสลิปเงินเดือนได้เลย)
  • เบี้ยประกันชีวิตและประกันสะสมทรัพย์: สูงสุด 100,000 บาท – เป็นการซื้อความคุ้มครองให้ตัวเอง เผื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดฝัน แถมยังใช้ลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย วิน-วิน!
  • เบี้ยประกันสุขภาพตนเอง: สูงสุด 25,000 บาท – ค่ารักษาพยาบาลสมัยนี้แพงมาก การมีประกันสุขภาพไว้ก็อุ่นใจ แถมเอามาลดหย่อนได้ด้วย (เมื่อรวมกับประกันชีวิตแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท)
  • เบี้ยประกันสุขภาพบิดามารดา: สูงสุด 15,000 บาท – ซื้อประกันสุขภาพให้คุณพ่อคุณแม่ นอกจากจะได้ดูแลท่านแล้ว ยังเอามาลดหย่อนภาษีได้อีก เป็นลูกกตัญญูที่ฉลาดวางแผนการเงินสุดๆ
  • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) / กบข. / กองทุนสงเคราะห์ครูฯ: ส่วนนี้สำหรับพนักงานบริษัทเอกชนหรือข้าราชการ เป็นเงินที่นายจ้างช่วยเราออม ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท (เมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ)

⭐️ ตัวท็อปที่ต้องรู้จัก: RMF, SSF และน้องใหม่ Thai ESG ⭐️

สามตัวนี้คือเครื่องมือลดหย่อนภาษีผ่านการลงทุนในกองทุนรวมที่ฮิตมากๆ เรามาดูกันแบบเทียบชัดๆ

RMF (Retirement Mutual Fund):

  • เป้าหมาย: ออมเพื่อเกษียณอายุ (โคตรยาว)
  • เงื่อนไข: ต้องซื้อต่อเนื่องเกือบทุกปี และขายได้เมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ + ลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี
  • เหมาะกับ: คนที่มองการณ์ไกลสุดๆ อยากมีเงินใช้สบายๆ ตอนแก่ และรับความเสี่ยงได้หลากหลายระดับ
  • ลดหย่อนได้: 30% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 500,000 บาท (เมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ)

SSF (Super Savings Fund):

  • เป้าหมาย: ออมระยะกลางถึงยาว (ประมาณ 10 ปี)
  • เงื่อนไข: ถือครองหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 10 ปีนับจากวันที่ซื้อ ไม่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี
  • เหมาะกับ: คนที่อยากออมเงินก้อนใหญ่ในอีก 10 ปีข้างหน้า เช่น ดาวน์บ้าน/รถ หรือเรียนต่อ และอยากลดหย่อนภาษีไปด้วย
  • ลดหย่อนได้: 30% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท (และเมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท)

Thai ESG (Thailand ESG Fund):

  • เป้าหมาย: ลงทุนเพื่อความยั่งยืน + ลดหย่อนภาษี (น้องใหม่มาแรง!)
  • เงื่อนไข: ถือครองหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 8 ปีเต็ม (นับตามปีปฏิทิน)
  • เหมาะกับ: คนรุ่นใหม่หัวใจรักษ์โลก ที่อยากให้เงินของเราไปลงทุนในบริษัทที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สังคม และมีธรรมาภิบาล (ESG) แถมได้ลดหย่อนภาษีเป็นโบนัส
  • ลดหย่อนได้: 30% ของรายได้ แต่ได้วงเงินพิเศษเพิ่มจากตัวอื่น สูงสุด 100,000 บาท! (ไม่ถูกนับรวมในเพดาน 500,000 บาทของกลุ่ม RMF/SSF/PVD)

หมวดที่ 3: กลุ่มกระตุ้นเศรษฐกิจและสังคม (Stimulus & Donation)

กลุ่มนี้เป็นสิทธิประโยชน์ที่รัฐออกมาเพื่อสนับสนุนบางอย่างเป็นพิเศษ

  • ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย: สูงสุด 100,000 บาท – สำหรับใครที่ฝันอยากมีบ้านหลังแรกในอนาคต ดอกเบี้ยที่เราจ่ายธนาคารในแต่ละปี สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้
  • เงินบริจาค:
    • บริจาคทั่วไป: ลดหย่อนได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าลดหย่อนอื่นๆ
    • บริจาคเพื่อการศึกษา/กีฬา/โรงพยาบาลรัฐ: ลดหย่อนได้ 2 เท่า! เช่น บริจาค 1,000 บาท ลดหย่อนได้ 2,000 บาทเลยทีเดียว
  • โครงการช้อปปิ้งกระตุ้นเศรษฐกิจ (เช่น Easy E-Receipt): **ต้องรอประกาศจากรัฐบาลในปี 2568** – โครงการพวกนี้มักจะมาช่วงปลายปี เป็นโอกาสทองที่เราจะซื้อของที่จำเป็นแล้วได้ลดหย่อนภาษีด้วย อย่าลืมติดตามข่าวกันให้ดี!

How-To: วางแผนภาษีสไตล์ First Jobber ต้องเริ่มยังไง?

โอเค! รู้จักตัวช่วยเยอะแยะแล้ว แต่จะเริ่มใช้ยังไงดี? มาดูสเต็ปง่ายๆ กัน

  1. ประมาณการรายได้ทั้งปี: ลองเอารายได้ต่อเดือนของเรา (เช่น 25,000 บาท) มาคูณ 12 จะได้รายได้ต่อปี (25,000 x 12 = 300,000 บาท) ถ้ามีโบนัสหรือรายได้เสริมอื่นๆ ก็บวกเข้าไปด้วย
  2. หักค่าใช้จ่าย: กฎหมายให้เราหักค่าใช้จ่ายได้ 50% ของรายได้ แต่สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท (300,000 x 50% = 150,000 แต่ใช้ได้แค่ 100,000)
  3. ลิสต์รายการลดหย่อนพื้นฐาน:
    • ค่าลดหย่อนส่วนตัว: 60,000 บาท
    • ประกันสังคม: (สมมติจ่ายเดือนละ 750) ปีละ 9,000 บาท
    • รวมเบื้องต้น: 69,000 บาท
  4. คำนวณเงินได้สุทธิเบื้องต้น:รายได้ – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน = เงินได้สุทธิ

    300,000 – 100,000 – 69,000 = 131,000 บาท

  5. เช็คขั้นบันไดภาษี: เงินได้สุทธิ 0 – 150,000 บาทแรก ได้รับการ “ยกเว้นภาษี” ดังนั้นในเคสนี้ เรายังไม่ต้องเสียภาษี! 🎉
  6. มองหาตัวช่วยเพิ่มเพื่ออนาคต: พอรายได้เราเริ่มมากขึ้น จนเงินได้สุทธิเกิน 150,000 บาท เราก็จะต้องเริ่มเสียภาษีในอัตรา 5% ตอนนั้นแหละที่ตัวช่วยอย่าง SSF, RMF, หรือประกันต่างๆ จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยเราประหยัดภาษีและสร้างอนาคตไปพร้อมกัน!

Q&A Corner: คำถามที่เพื่อนๆ Gen Z สงสัยกันเยอะ!

Q1: ยังเป็นนักเรียน/นักศึกษา ไม่มีรายได้ประจำ ต้องสนใจเรื่องนี้มั้ย?

A: โคตรจะควร! การเข้าใจเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนนี้คือการเตรียมความพร้อมที่ดีที่สุด พอเราเริ่มทำงาน เราจะวางแผนได้เร็วกว่าคนอื่น ไม่ต้องมางมตอนที่โดนหักภาษีไปแล้ว นอกจากนี้เรายังสามารถเอาความรู้นี้ไปช่วยคุณพ่อคุณแม่วางแผนภาษีของครอบครัวได้ด้วยนะ เท่สุดๆ!

Q2: รายได้จากงานฟรีแลนซ์, ขายของออนไลน์, หรือเป็น Youtuber ต้องยื่นภาษีมั้ย?

A: ต้องยื่นครับ! ถ้ามีรายได้รวมทั้งปีเกิน 60,000 บาท (กรณีโสด) ก็มีหน้าที่ต้อง “ยื่น” ภาษีแล้ว แต่จะ “เสีย” ภาษีหรือไม่ ก็ต้องมาคำนวณเงินได้สุทธิแบบที่เราทำกันไปข้างบนอีกที อย่าคิดว่ากรมสรรพากรไม่รู้นะ สมัยนี้ข้อมูลทุกอย่างออนไลน์หมดแล้ว!

Q3: RMF กับ SSF ดูคล้ายกันมากเลย จะเลือกอะไรดี?

A: ให้ถามเป้าหมายตัวเองครับ!

– ถ้าเป้าหมายคือ “เกษียณเท่านั้น!” อยากมีเงินใช้สบายๆ ตอนอายุ 55+ และมีวินัยลงทุนต่อเนื่องได้ ให้ไปทาง RMF

– ถ้าเป้าหมายคือ “ออมเงินก้อนในอีก 10 ปี” เช่น อยากเก็บเงินดาวน์บ้าน หรือเรียนต่อ และไม่สะดวกซื้อทุกปี ให้ไปทาง SSF

– หรือถ้าอยากทำทั้งสองอย่าง ก็สามารถแบ่งเงินลงทุนทั้ง RMF และ SSF ได้เลย!

Q4: การขอ “ใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ” จากร้านค้าเพื่อใช้ลดหย่อน (เช่น โครงการ Easy E-Receipt) ทำยังไง?

A: ง่ายมาก! ตอนจ่ายเงินที่ร้านค้าที่ร่วมโครงการ (ส่วนใหญ่เป็นร้านใหญ่ๆ ในห้าง) ให้แจ้งพนักงานว่า “ขอใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบเพื่อลดหย่อนภาษี” แล้วยื่นบัตรประชาชนให้เขาได้เลย เขาจะคีย์ข้อมูลชื่อ-นามสกุล และเลขประจำตัวผู้เสียภาษี (ซึ่งก็คือเลขบัตรประชาชน 13 หลักของเรา) เข้าระบบให้ แค่นี้เอง! ข้อมูลจะถูกส่งตรงไปที่กรมสรรพากรโดยอัตโนมัติ สะดวกสุดๆ

Q5: ถ้าลืมยื่นภาษี หรือยื่นไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้น?

A: อย่าหาทำเลยนะ! ถ้าเรามีหน้าที่ต้องยื่นแต่ไม่ยื่น จะมีโทษปรับอาญาไม่เกิน 2,000 บาท และถ้าคำนวณแล้วต้องเสียภาษีแต่ไม่ได้จ่าย ก็จะต้องเสียเงินเพิ่มอีก 1.5% ต่อเดือนของค่าภาษีที่ต้องจ่ายด้วย มันไม่คุ้มกันเลย ตั้งแจ้งเตือนในปฏิทินไว้เลยว่าช่วง มกราคม – มีนาคมของทุกปี คือ “ฤดูยื่นภาษี”!

บทสรุป: เปลี่ยนเรื่องภาษีให้เป็นเกมวางแผนการเงินสุดสนุก

เห็นมั้ยว่าเรื่อง “ลดหย่อนภาษี” ไม่ได้น่ากลัวหรือซับซ้อนอย่างที่คิดเลย มันเหมือนกับการวางแผนเล่นเกมเศรษฐีในชีวิตจริง ยิ่งเรารู้จักไอเทม (ค่าลดหย่อน) เยอะเท่าไหร่ เราก็ยิ่งมีโอกาสชนะ (เก็บเงินไว้กับตัวได้มากขึ้น) มากเท่านั้น

สำหรับเพื่อนๆ ชาวไทยทุกคน โดยเฉพาะ Gen Z ที่กำลังจะเริ่มต้นชีวิตการทำงาน การใส่ใจเรื่องนี้ตั้งแต่ก้าวแรก คือการสร้างรากฐานทางการเงินที่แข็งแกร่งและมั่นคงให้กับตัวเองในระยะยาวเลยนะ เริ่มต้นศึกษาตั้งแต่วันนี้ พอถึงวันที่เรามีรายได้ เราจะขอบคุณตัวเองในอดีตแน่นอน!

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคนนะ ถ้ามีคำถามอะไรเพิ่มเติม ลองคุยกับผู้ปกครอง หรือศึกษาข้อมูลจากเว็บไซต์ของกรมสรรพากรโดยตรงได้เลย แล้วเจอกันใหม่บทความหน้านะ! บ๊ายบาย 👋

Most Popular

Categories