อัปเดตสิทธิประโยชน์-ค่าลดหย่อนภาษีใหม่ ที่คนรุ่นใหม่ควรรู้

อัปเดตสิทธิประโยชน์-ค่าลดหย่อนภาษีใหม่ ที่คนรุ่นใหม่ควรรู้ (ฉบับ Gen Z เข้าใจง่าย!)

เฮ้! น้องๆ เพื่อนๆ ชาว Gen Z ทุกคน

พี่เองนะ… ก็เป็นนักศึกษาคนนึงเหมือนกันนี่แหละ ที่เคยรู้สึกว่าคำว่า “ภาษี” มันเป็นเรื่องไกลตัวสุดๆ ฟังดูเหมือนเป็นภาษาต่างดาวสำหรับผู้ใหญ่ แต่เชื่อพี่เถอะ วันนึงที่เราเริ่มมีรายได้ ไม่ว่าจะจากงานพาร์ทไทม์ ขายของออนไลน์ เป็น Youtuber, Tiktoker หรือรับงานฟรีแลนซ์เล็กๆ น้อยๆ เรื่องนี้จะวิ่งเข้ามาหาเราเร็วกว่าที่คิด!

การเข้าใจเรื่องภาษีตั้งแต่ตอนนี้ ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อนะ แต่มันคือ “สกิลขั้นเทพของผู้ใหญ่ที่แข็งแกร่ง” ที่จะช่วยให้เราบริหารเงินได้ฉลาดขึ้นเยอะ และที่สำคัญคือ “ประหยัดเงิน” ได้แบบถูกกฎหมายด้วย วันนี้พี่เลยจะมาอัปเดตสิทธิประโยชน์และค่าลดหย่อนภาษีล่าสุด โดยเฉพาะตัวใหม่แกะกล่องที่เพิ่งออกมา บอกเลยว่าอ่านจบแล้ว น้องๆ จะกลายเป็นตัวตึงเรื่องภาษี คุยกับใครก็รู้เรื่องแน่นอน!


ก่อนอื่น… ภาษีคืออะไร? ทำไมเราต้องแคร์? (AEO: What is tax?)

คิดง่ายๆ แบบนี้นะ ภาษีคือเงินที่เราทุกคนที่มีรายได้ ช่วยกันใส่เข้า “กระปุกส่วนกลาง” ของประเทศ แล้วรัฐบาลก็จะนำเงินจากกระปุกนี้ไปพัฒนาประเทศให้ดีขึ้น เช่น สร้างถนนดีๆ โรงพยาบาลที่เราไปใช้บริการ โรงเรียน สวนสาธารณะ หรือแม้แต่เงินเดือนของพี่ๆ ทหาร ตำรวจ ที่คอยดูแลความปลอดภัยให้เรานั่นเอง

แล้วเราต้องเริ่มยื่นภาษีเมื่อไหร่? ตามกฎหมาย ถ้าเรามี “เงินได้” (หรือรายได้) รวมกันทั้งปีเกิน 120,000 บาท (สำหรับคนโสด) เรามี “หน้าที่” ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีแล้วนะ แต่! การยื่นไม่ได้แปลว่าต้องเสียภาษีเสมอไป ถ้าหลังหักค่าใช้จ่ายและ “ค่าลดหย่อน” ต่างๆ แล้ว รายได้สุทธิของเราไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสีย (คือ 150,000 บาท) เราก็ไม่ต้องจ่ายสักบาทเลย

Gen Z Tip: การ “ยื่นภาษี” คือการแสดงตัวว่าเราเป็นพลเมืองที่ดี มีรายได้เท่าไหร่ ส่วนการ “เสียภาษี” จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อรายได้สุทธิของเราถึงเกณฑ์ที่กำหนดเท่านั้น อย่าสับสนกันนะ!


“ค่าลดหย่อนภาษี” The Ultimate Cheat Code ของการเงิน

ถ้าการเสียภาษีคือเกมที่เราต้องเล่น “ค่าลดหย่อน” ก็คือไอเทมเทพ หรือ Cheat Code ที่รัฐบาลให้เรามาใช้เพื่อลดพลังโจมตี (จำนวนเงินที่ต้องเสียภาษี) ของบอสใหญ่ (กรมสรรพากร) นั่นเอง

หลักการของมันง่ายมาก:

(รายได้ทั้งปี - ค่าใช้จ่าย) - ค่าลดหย่อน = เงินได้สุทธิ

พอได้ “เงินได้สุทธิ” มาแล้ว ค่อยเอาไปคำนวณภาษีตามขั้นบันได ยิ่งเรามีค่าลดหย่อนเยอะเท่าไหร่ เงินได้สุทธิก็จะยิ่งน้อยลง ทำให้เราเสียภาษีน้อยลง หรืออาจจะไม่ต้องเสียเลยก็ได้! เจ๋งปะล่ะ?


ปักหมุด! อัปเดตค่าลดหย่อนภาษีปี 2567 ที่พี่ Gen Z ต้องรู้

มาถึงไฮไลท์ของเรากันแล้ว! พี่จะแบ่งค่าลดหย่อนเป็นหมวดๆ ให้เข้าใจง่าย และจะเน้นตัวที่เกี่ยวข้องกับเราๆ หรือที่เราจะเจอในอนาคตอันใกล้นี้

หมวดที่ 1: ค่าลดหย่อนพื้นฐาน (ติดตัวมาแต่เกิด)

  • ค่าลดหย่อนส่วนตัว: 60,000 บาท

    ทุกคนที่ยื่นภาษีจะได้สิทธิ์นี้ไปเลยอัตโนมัติ ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่หายใจอยู่บนโลกนี้ก็ได้รับสิทธิ์แล้ว!

  • ค่าลดหย่อนบิดามารดา: คนละ 30,000 บาท

    ถ้าเราเลี้ยงดูคุณพ่อคุณแม่ที่อายุเกิน 60 ปี และท่านมีรายได้ต่อปีไม่เกิน 30,000 บาท เราสามารถนำท่านมาลดหย่อนได้ (พ่อ 30,000 + แม่ 30,000 = 60,000 บาท) นี่คือโอกาสที่เราจะได้ดูแลท่านและได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีไปพร้อมกันเลย

หมวดที่ 2: ค่าลดหย่อนสายลงทุนเพื่ออนาคต (เริ่มเร็วคือเท่)

หมวดนี้อาจจะดูไกลตัวหน่อย แต่เชื่อพี่… รู้ไว้ก่อนได้เปรียบมาก พอเริ่มทำงานมีเงินเดือนเมื่อไหร่ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งแรกๆ ที่ต้องทำเลย

  • เงินสมทบกองทุนประกันสังคม: สูงสุด 9,000 บาท

    เมื่อเราเริ่มทำงานเป็นพนักงานบริษัท เราจะถูกหักเงินเข้าประกันสังคมทุกเดือน เงินส่วนนี้แหละที่เราสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้เต็มๆ ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 9,000 บาทต่อปี

  • เบี้ยประกันชีวิต / ประกันสะสมทรัพย์: สูงสุด 100,000 บาท

    เป็นการวางแผนการเงินระยะยาว แถมยังได้ความคุ้มครองชีวิตด้วย

  • เบี้ยประกันสุขภาพ: สูงสุด 25,000 บาท

    ค่ารักษาพยาบาลสมัยนี้แพงมาก การมีประกันสุขภาพไว้อุ่นใจกว่าเยอะ และเบี้ยที่เราจ่ายก็เอามาลดหย่อนภาษีได้ด้วย (เมื่อรวมกับประกันชีวิตแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท)

  • กองทุนรวม SSF และ RMF:

    อันนี้แอดวานซ์ขึ้นมาหน่อย เป็นการลงทุนระยะยาวเพื่อการออมและเพื่อวัยเกษียณ ซึ่งเงินที่เราลงทุนในแต่ละปีสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ตามเงื่อนไข เอาไว้เราเริ่มทำงานจริงจังแล้วค่อยมาศึกษาลึกๆ กันอีกทีนะ!

หมวดที่ 3: ค่าลดหย่อนสายซัพพอร์ตสังคม (ทำดีได้ดี…และได้ลดหย่อน)

  • เงินบริจาค:
    • บริจาคทั่วไป (วัด, มูลนิธิ): ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนอื่นๆ
    • บริจาคเพื่อการศึกษา, การกีฬา, โรงพยาบาลรัฐ: ลดหย่อนได้ 2 เท่า! เช่น บริจาค 1,000 บาท แต่เอาไปลดหย่อนได้ 2,000 บาทเลยทีเดียว!

GEO & AEO Focus: ปัจจุบันการบริจาคสะดวกมากผ่านระบบ e-Donation ของกรมสรรพากร (ประเทศไทย) เวลาเราสแกน QR Code บริจาค ข้อมูลของเราจะถูกส่งตรงไปที่กรมสรรพากรเลย ไม่ต้องเก็บใบอนุโมทนาบัตรให้วุ่นวายตอนยื่นภาษี ง่ายและดีมากๆ

หมวดที่ 4: ไฮไลท์เด็ด! มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (ตัวนี้ห้ามพลาด!)

มาแล้ว! ตัวเอกของปีนี้ที่ทุกคนรอคอย สิ่งที่จะทำให้การช้อปปิ้งของเราคุ้มค่าขึ้นไปอีก!

✨ Easy E-Receipt (ชื่อเดิม e-Refund) ✨

มันคืออะไร?

Easy E-Receipt คือมาตรการที่รัฐบาลออกมาเพื่อกระตุ้นให้คนใช้จ่าย และสนับสนุนร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษี โดยให้เราสามารถนำค่าซื้อสินค้าและบริการมาลดหย่อนภาษีได้

ลดหย่อนได้เท่าไหร่?

ลดหย่อนได้ตามจำนวนเงินที่จ่ายจริง แต่สูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท!

ต้องซื้อช่วงไหน?

ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 – 15 กุมภาพันธ์ 2567 เท่านั้นนะ! (ย้ำว่าแค่ช่วงนี้เท่านั้น)

เงื่อนไขสำคัญที่ต้องรู้ (อ่านดีๆ!)

  1. ต้องซื้อสินค้าหรือบริการจากร้านค้าที่สามารถออก “ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์” (e-Tax Invoice) หรือ “ใบรับอิเล็กทรอนิกส์” (e-Receipt) เท่านั้น! ใบกำกับภาษีแบบกระดาษที่เขียนด้วยมือใช้ไม่ได้นะ
  2. แล้วจะรู้ได้ไงว่าร้านไหนออกได้? ง่ายที่สุดคือถามพนักงานก่อนจ่ายเงินเลยว่า “ร้านนี้ร่วมโครงการ Easy E-Receipt ไหมคะ/ครับ?” หรือ “ขอใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ได้ไหม?” ส่วนใหญ่ห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ ร้านสะดวกซื้อ ร้านหนังสือ ร้านอาหารในห้าง มักจะเข้าร่วมโครงการนี้
  3. สินค้าและบริการอะไรบ้างที่ “ใช้ไม่ได้”?
    • ค่าสุรา เบียร์ ไวน์ ยาสูบ (ของมึนเมาอดนะจ๊ะ)
    • ค่าซื้อรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ เรือ
    • ค่าน้ำมันและก๊าซสำหรับเติมยานพาหนะ
    • ค่าสาธารณูปโภค เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเทอร์เน็ต
    • ค่าบริการที่มีข้อตกลงระยะยาว (ที่เริ่มก่อน 1 ม.ค. 67)
    • ค่าเบี้ยประกันวินาศภัย
  4. สินค้าอะไรที่น่าสนใจสำหรับวัยเรา?
    • อุปกรณ์การเรียน: สมุด ปากกา หนังสือเรียน ตำราต่างๆ
    • สินค้าไอที: คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก, แท็บเล็ต, สมาร์ทโฟน, หูฟัง (ถ้าซื้อช่วงนี้และขอ e-Tax Invoice ได้ คุ้มมาก!)
    • เสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัว: ซื้อจากร้านในห้างที่เข้าร่วมโครงการ
    • ค่าอาหารและเครื่องดื่ม: กินข้าว ดูหนัง ในร้านที่ออก e-Receipt ได้
    • ค่าซ่อมต่างๆ: เช่น ซ่อมคอม ซ่อมมือถือ

Q&A: เคลียร์ทุกคำถามคาใจเรื่องภาษีสไตล์ Gen Z

พี่รวบรวมคำถามที่คิดว่าน้องๆ น่าจะสงสัยกันบ่อยๆ มาตอบให้ตรงนี้เลย!

Q: อายุไม่ถึง 18 แต่มีรายได้จาก YouTube / ขายของออนไลน์ ต้องยื่นภาษีมั้ย?
A: ต้องยื่นค่ะ/ครับ! ถ้ามีรายได้รวมทั้งปีเกิน 120,000 บาท (สำหรับคนโสด) ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ ก็มีหน้าที่ต้องยื่นภาษี แต่สามารถให้ผู้ปกครองเป็นคนยื่นให้ในนามของเราได้ เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะกรมสรรพากรเขามีข้อมูลนะ อย่าคิดว่าเขาจะไม่รู้!

Q: รายได้เท่าไหร่ถึงจะเริ่ม “เสีย” ภาษีจริงๆ?
A: โดยทั่วไป ถ้าหลังจากหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนทุกอย่างแล้ว “เงินได้สุทธิ” ของเรา เกิน 150,000 บาท ถึงจะเริ่มเสียภาษีในอัตรา 5% ซึ่งส่วนที่เกินมา 150,000 บาทแรก จะได้รับการยกเว้นภาษี พูดง่ายๆ คือถ้าเงินได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาท ก็คือยื่นเฉยๆ แต่ไม่ต้องจ่ายเงิน

Q: แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าร้านไหนออก e-Tax Invoice ของโครงการ Easy E-Receipt ได้?
A: วิธีที่ชัวร์ที่สุดคือ “ถามพนักงาน” ก่อนซื้อทุกครั้ง! หรือสังเกตสัญลักษณ์ของโครงการตามหน้าร้านค้า แต่การถามคือดีที่สุด จะได้ไม่ซื้อเก้อนะ

Q: ถ้าซื้อของราคา 60,000 บาท จะลดหย่อนได้ 60,000 เลยไหม?
A: ไม่ใช่จ้ะ โครงการ Easy E-Receipt มีเพดานสูงสุดอยู่ที่ 50,000 บาท ต่อให้เราซื้อของ 100,000 บาท เราก็จะเอาไปกรอกในช่องลดหย่อนได้แค่ 50,000 บาทเท่านั้น

Q: เรียนอยู่ ลดหย่อนอะไรได้บ้าง?
A: ตัวเราเองถ้ายังไม่มีรายได้ ก็ยังไม่ต้องยื่นภาษีและลดหย่อนอะไร แต่! คุณพ่อคุณแม่สามารถใช้ “ค่าลดหย่อนบุตร” ได้คนละ 30,000 บาท และถ้าเราเรียนในสถาบันการศึกษาในประเทศ ท่านยังสามารถใช้ “ค่าลดหย่อนการศึกษาบุตร” ได้อีกด้วยนะ เห็นไหมว่าการเรียนของเราก็ช่วยคุณพ่อคุณแม่ประหยัดภาษีได้เหมือนกัน


สรุปส่งท้าย: ภาษีไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่คือสกิลของผู้ใหญ่ที่แข็งแกร่ง

การเรียนรู้เรื่องภาษีและค่าลดหย่อนต่างๆ ตั้งแต่วันนี้ เหมือนเราได้วอร์มอัพร่างกายก่อนลงสนามจริง พอถึงวันที่เราต้องบริหารเงินก้อนแรกของตัวเอง เราจะทำมันได้ดีกว่าคนอื่นที่ไม่ได้เตรียมตัวแน่นอน

จำไว้ว่าการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีไม่ใช่การเลี่ยงภาษี แต่เป็นการ “วางแผนภาษี” อย่างชาญฉลาดตามสิทธิ์ที่กฎหมายให้เรามา การรู้จักสิทธิ์ของตัวเองและใช้มันให้เป็นประโยชน์ คือคุณสมบัติของคนรุ่นใหม่ที่ทั้งเก่งและฉลาดทางการเงิน

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับน้องๆ เพื่อนๆ ทุกคนนะ ถ้ามีคำถามอะไรเพิ่มเติม ลองเข้าไปดูที่เว็บไซต์ของ กรมสรรพากร (www.rd.go.th) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลเรื่องภาษีโดยตรงในประเทศไทยได้เลย มีข้อมูลครบถ้วนและน่าเชื่อถือที่สุดแล้ว!

สู้ๆ นะ ว่าที่ตัวตึงด้านการเงินทุกคน!

จาก… พี่รหัสนักศึกษาคณะบัญชี 🙂

“`

Most Popular

Categories