ไฮไลท์มาตรฐาน TFRS for NPAEs ที่ธุรกิจห้ามพลาด ปี 2025 (พ.ศ. 2568)
เขียนโดย: รุ่นพี่คณะบัญชีฯ ที่อยากเห็นเพื่อนๆ เติบโต
หวัดดีเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกคน! ใครกำลังมีความฝันอยากเปิดร้านกาแฟเล็กๆ, สร้างแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเอง, หรือเป็นเจ้าของธุรกิจออนไลน์สุดปังบ้าง? ยกมือขึ้นสูงๆ เลย! พี่เองก็เป็นคนนึงที่ฝันอยากมีธุรกิจของตัวเองเหมือนกัน และในฐานะที่เรียนอยู่คณะบัญชีฯ เลยอยากจะเอาเรื่องที่ดูเหมือนจะ ‘น่าเบื่อ’ แต่ ‘โคตรสำคัญ’ มาเล่าให้ฟังแบบย่อยง่ายๆ นั่นก็คือเรื่องของ “มาตรฐานบัญชี” นั่นเอง
ฟังแล้วอย่าเพิ่งเบือนหน้าหนีนะ! เพราะนี่คือแก่นหลักที่จะทำให้ธุรกิจของเพื่อนๆ แข็งแรงและไปต่อได้ในระยะยาว วันนี้เราจะมาเจาะลึกเรื่อง TFRS for NPAEs ฉบับปรับปรุงใหม่ ที่จะเริ่มใช้ในปี 2568 หรือ 2025 นี่แหละ บอกเลยว่ามันคือ Game Changer สำหรับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMEs) ในไทยเลยนะ! มาดูกันว่ามันคืออะไร แล้วทำไมเราในฐานะ ‘ว่าที่ CEO’ ถึงต้องแคร์สุดๆ
TFRS for NPAEs คืออะไร? ทำไมเราต้องรู้จัก?
ก่อนจะไปดูว่ามีอะไรใหม่ เรามาทำความรู้จักชื่อเต็มๆ ของเขาก่อน TFRS for NPAEs (อ่านว่า ที-เฟิร์ส-ฟอร์-เอ็น-เป้) ย่อมาจาก Thai Financial Reporting Standards for Non-Publicly Accountable Entities แปลเป็นไทยเท่ๆ ก็คือ “มาตรฐานการรายงานทางการเงินสำหรับกิจการที่ไม่มีส่วนได้เสียสาธารณะ”
ฟังแล้วอาจจะงงกว่าเดิม… เอางี้! ให้ลองนึกภาพตามนะ
เปรียบเทียบง่ายๆ: TFRS for NPAEs ก็เหมือนกับ ‘กฎกติกาการเล่นเกมเศรษฐี’ เวอร์ชันสำหรับธุรกิจส่วนใหญ่ในประเทศไทยนั่นแหละ
- “กิจการ” ก็คือผู้เล่น หรือธุรกิจของเรา
- “งบการเงิน” (งบแสดงฐานะการเงิน, งบกำไรขาดทุน) ก็เหมือนป้ายบอกสถานะของเราในเกม ว่าตอนนี้มีเงินเท่าไหร่ มีหนี้สินแค่ไหน ได้กำไรหรือขาดทุน
- “TFRS for NPAEs” คือกฎกลางที่บอกว่า เราจะนับเงินยังไง จะบันทึกการซื้อ-ขายที่ดินยังไง จะคิดมูลค่าโรงแรมที่เราสร้างยังไง เพื่อให้ผู้เล่นทุกคน (ทุกธุรกิจ) ใช้มาตรฐานเดียวกัน
แล้วใครคือ NPAEs? พูดง่ายๆ ก็คือ ธุรกิจส่วนใหญ่ในประเทศเรานี่แหละครับ! ไม่ว่าจะเป็น
- ร้านค้าออนไลน์ที่จดทะเบียนบริษัท
- คาเฟ่เก๋ๆ ที่เราไปนั่งชิลล์
- โรงงาน SME ขนาดเล็ก
- สตาร์ทอัพที่กำลังสร้างแอปพลิเคชันเปลี่ยนโลก
ตราบใดที่ธุรกิจนั้นไม่ได้เป็นบริษัทมหาชนที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือเป็นสถาบันการเงินใหญ่ๆ ก็จะเข้าข่ายเป็น NPAEs และต้องใช้กฎกติกาเล่มนี้ในการทำบัญชีและจัดทำงบการเงิน
ทำไมต้องแคร์? เพราะงบการเงินที่ทำตามมาตรฐานนี้ คือ “ภาษา” ที่เราใช้สื่อสารกับโลกภายนอก ไม่ว่าจะเป็นธนาคารที่เราจะไปขอกู้เงิน, นักลงทุนที่เราอยากให้เขามาร่วมหุ้น, หรือแม้แต่กรมสรรพากรที่เราต้องยื่นภาษี ถ้าเราทำบัญชีมั่วๆ ไม่ตามกฎ คนเหล่านี้ก็จะไม่เชื่อถือเรา โอกาสที่ธุรกิจจะเติบโตก็ยากขึ้นไปอีกขั้นเลยล่ะ
ไฮไลท์เด็ด! TFRS for NPAEs ฉบับปรับปรุง 2568 ที่ต้องจับตา
โอเค… พอเข้าใจภาพรวมแล้ว ทีนี้มาถึงส่วนที่ตื่นเต้นที่สุด! สภาวิชาชีพบัญชีฯ เขาได้มีการปรับปรุงมาตรฐาน TFRS for NPAEs ครั้งใหญ่ และจะเริ่มบังคับใช้สำหรับรอบบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อให้งบการเงินของ SME ไทยสะท้อนภาพธุรกิจได้สมจริงและเป็นสากลมากขึ้น พี่จะขอสรุปประเด็นสำคัญๆ ที่กระทบกับเราแน่ๆ มาให้ดูกัน
1. การรับรู้รายได้ (Revenue Recognition) ที่ละเอียดขึ้น
เรื่องเดิมๆ: เมื่อก่อน การรับรู้รายได้อาจจะตรงไปตรงมา เช่น ขายของได้ปุ๊บ บันทึกเป็นรายได้ปั๊บ จบ!
ของใหม่ 2568: มาตรฐานใหม่จะลงลึกในรายละเอียดมากขึ้น โดยจะอิงตามหลักการ 5 ขั้นตอน (คล้ายๆ กับมาตรฐานของบริษัทใหญ่ๆ เลยนะ แต่ย่อส่วนลงมา) เพื่อให้แน่ใจว่าเรารับรู้รายได้ ‘เมื่อส่งมอบภาระผูกพัน’ ให้ลูกค้าจริงๆ
ตัวอย่างให้เห็นภาพ:
สมมติว่าเราเปิดร้านขายคอมพิวเตอร์ประกอบ ราคาเครื่องละ 30,000 บาท แต่ในราคานี้ เราแถมบริการซ่อมและอัปเดตซอฟต์แวร์ฟรี 1 ปีไปด้วย
- แบบเก่า: วันที่ลูกค้าจ่ายเงิน 30,000 บาท เราอาจจะบันทึกเป็นรายได้ทั้งก้อนเลย
- แบบใหม่ (2568): เราต้องมานั่งแยกแยะว่า ใน 30,000 บาทนั้น…
- มูลค่าของ “ตัวเครื่องคอมพิวเตอร์” จริงๆ คือเท่าไหร่ (เช่น 28,000 บาท) -> ส่วนนี้บันทึกเป็นรายได้ได้ทันทีที่ส่งมอบเครื่อง
- มูลค่าของ “บริการซ่อมฟรี 1 ปี” คือเท่าไหร่ (เช่น 2,000 บาท) -> ส่วนนี้จะยังบันทึกเป็นรายได้ทั้งหมดทันทีไม่ได้ แต่ต้อง ทยอยรับรู้เป็นรายได้ ตลอดระยะเวลา 1 ปี ที่เราให้บริการ
ผลกระทบคืออะไร? มันทำให้งบกำไรขาดทุนของเราสะท้อนความจริงมากขึ้น ไม่ใช่ได้เงินก้อนมาแล้วบอกว่ารวยเลย แต่ต้องดูว่าเรายังติดค้างบริการอะไรลูกค้าอยู่รึเปล่า ซึ่งดีต่อนักลงทุนและธนาคารมากๆ เพราะเขาจะเห็นภาพธุรกิจที่แท้จริงของเรา
2. สินทรัพย์ไม่มีตัวตน (Intangible Assets) ที่ชัดเจนกว่าเดิม
เรื่องเดิมๆ: การตีมูลค่าของที่จับต้องไม่ได้ เช่น ซอฟต์แวร์, ลิขสิทธิ์, หรือแม้กระทั่งแอปพลิเคชันที่เราพัฒนาขึ้นเอง อาจจะมีหลักการที่ไม่ชัดเจนมากนัก บางทีก็บันทึกเป็นค่าใช้จ่ายไปเลย
ของใหม่ 2568: จะมีแนวทางที่ชัดเจนขึ้นในการจำแนกและวัดมูลค่าสินทรัพย์เหล่านี้ โดยเฉพาะ ‘ต้นทุนการพัฒนา’ ที่เกิดขึ้นภายในกิจการเอง
ตัวอย่างให้เห็นภาพ:
เรากับเพื่อนๆ กำลังซุ่มพัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับหาเพื่อนติวหนังสือ เรามีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นมากมาย ทั้งค่าจ้างโปรแกรมเมอร์, ค่าเช่าเซิร์ฟเวอร์, ค่าการตลาด
- แบบเก่า: เราอาจจะสับสนว่าจะบันทึกค่าใช้จ่ายพวกนี้ยังไงดี ส่วนใหญ่ก็อาจจะตัดเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนไปเลย
- แบบใหม่ (2568): มาตรฐานจะกำหนดเกณฑ์ชัดเจนว่า ค่าใช้จ่ายช่วงไหนถือเป็น ‘ช่วงวิจัย’ (Research phase) ซึ่งต้องบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายไปตามปกติ และช่วงไหนเข้าเกณฑ์เป็น ‘ช่วงพัฒนา’ (Development phase) ที่สามารถรวบรวมต้นทุนมาบันทึกเป็น ‘สินทรัพย์ไม่มีตัวตน’ ในงบการเงินได้!
ผลกระทบคืออะไร? ถ้าเราทำถูกต้องตามเกณฑ์ ธุรกิจสตาร์ทอัพของเราจะมี ‘สินทรัพย์’ ที่มีมูลค่าโชว์ในงบการเงินได้ แม้ว่าแอปฯ จะยังไม่สร้างรายได้ก็ตาม ซึ่งมันทำให้บริษัทดูมีมูลค่าและน่าสนใจในสายตานักลงทุนมากขึ้นเยอะเลย!
3. การเปลี่ยนแปลงทางบัญชีและแก้ไขข้อผิดพลาด (Accounting Changes and Error Corrections)
เรื่องเดิมๆ: เวลาเจอนโยบายบัญชีใหม่ๆ หรือเจอข้อผิดพลาดจากปีก่อนๆ การปรับปรุงงบการเงินอาจจะทำได้หลายวิธี
ของใหม่ 2568: เน้นย้ำให้ใช้วิธี ‘การปรับย้อนหลัง’ (Retrospective Application) เป็นหลัก นั่นหมายความว่า ถ้ามีอะไรเปลี่ยน เราต้องกลับไปแก้ไขงบการเงินของปีก่อนๆ ที่เอามาแสดงเปรียบเทียบด้วย เสมือนว่าเราใช้นโยบายใหม่นี้มาตั้งแต่แรกแล้ว
ตัวอย่างให้เห็นภาพ:
ปี 2568 เราเปลี่ยนวิธีตีราคาสินค้าคงเหลือจากแบบ A เป็นแบบ B พอมาทำงบของปี 2568 เราต้องแสดงงบของปี 2567 เปรียบเทียบด้วยใช่มั้ย?
- แบบเก่า: อาจจะปล่อยงบปี 2567 ไว้เหมือนเดิม แล้วเริ่มใช้วิธี B ในปี 2568 เลย
- แบบใหม่ (2568): เราต้องกลับไปคำนวณตัวเลขของปี 2567 ใหม่ “เสมือนว่า” เราใช้วิธี B มาตั้งแต่ปี 2567 แล้วค่อยเอางบที่ปรับปรุงแล้วมาแสดงเปรียบเทียบกับปี 2568
ผลกระทบคืออะไร? ทำให้คนอ่านงบสามารถเปรียบเทียบผลการดำเนินงานแบบปีต่อปีได้สมเหตุสมผลมากขึ้น (Apple-to-Apple Comparison) เพราะทุกอย่างอยู่บนมาตรฐานเดียวกันหมดแล้วนั่นเอง
ถามมา-ตอบไป สไตล์เด็กบัญชี (Q&A)
คำถาม: หนูเปิดร้านขายของในไอจีเฉยๆ ไม่ได้จดบริษัท ต้องทำตาม TFRS for NPAEs นี้ด้วยมั้ย?
คำตอบ: ถ้าเราทำในนาม ‘บุคคลธรรมดา’ ยังไม่ต้องใช้มาตรฐานนี้ครับ เพราะ TFRS for NPAEs ใช้สำหรับ ‘กิจการ’ ที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล เช่น บริษัทจำกัด หรือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด แต่! ถ้าวันนึงธุรกิจเราโตขึ้นมากๆ จนตัดสินใจไปจดทะเบียนบริษัทเมื่อไหร่ล่ะก็… เจอกันแน่นอน! การเรียนรู้ไว้ก่อนจึงเป็นเรื่องที่ดีมากๆ ครับ
คำถาม: การเปลี่ยนแปลงนี้จะเริ่มใช้เมื่อไหร่กันแน่? ต้องเปลี่ยนทันทีเลยมั้ย?
คำตอบ: มาตรฐานฉบับปรับปรุงนี้จะบังคับใช้สำหรับ รอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป หมายความว่า งบการเงินที่เราจะยื่นในปี 2569 (ซึ่งเป็นงบของปี 2568) จะต้องทำตามกฎใหม่นี้แล้ว ดังนั้น เรามีเวลาเตรียมตัวกันตั้งแต่ตอนนี้เลย!
คำถาม: ฟังดูยุ่งยากและซับซ้อนมากเลย ถ้าทำไม่เป็นควรทำยังไงดี?
คำตอบ: ไม่ต้องกังวล! นี่คือเหตุผลว่าทำไม ‘นักบัญชี’ และ ‘ผู้ตรวจสอบบัญชี’ ถึงมีความสำคัญมากๆ สิ่งที่เราในฐานะเจ้าของธุรกิจต้องทำคือ:
- เข้าใจหลักการพื้นฐาน: แค่เข้าใจคอนเซปต์แบบที่พี่เล่าให้ฟังก็ถือว่าสุดยอดแล้ว จะได้คุยกับนักบัญชีรู้เรื่อง
- เก็บเอกสารให้ดี: บิลซื้อ-ขาย, ใบเสร็จต่างๆ, สัญญา คือหัวใจของการทำบัญชี เก็บให้เป็นระบบที่สุด
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หาสำนักงานบัญชีดีๆ มาเป็นพาร์ทเนอร์ หรือปรึกษานักบัญชีที่ไว้ใจได้ เขาจะช่วยจัดการเรื่องซับซ้อนเหล่านี้ให้เราเอง
หน้าที่ของเราคือโฟกัสที่การทำธุรกิจให้เติบโต ส่วนเรื่องเทคนิคทางบัญชีให้เป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญ แต่เราต้องรู้ทันและเข้าใจภาพรวม
คำถาม: จะหาข้อมูลเพิ่มเติมแบบเป็นทางการได้จากที่ไหน?
คำตอบ: แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือที่สุดคือเว็บไซต์ของ สภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์ (TFAC) เลยครับ (www.fap.or.th) ในนั้นจะมีประกาศฉบับเต็มและเอกสารสรุปต่างๆ ให้อ่านกันแบบจุใจ เหมาะสำหรับคนที่อยากลงลึกในรายละเอียดจริงๆ
สรุปและก้าวต่อไปสำหรับ ‘ว่าที่ CEO’
การเปลี่ยนแปลง TFRS for NPAEs ในปี 2568 นี้อาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องไกลตัวและน่าปวดหัวสำหรับพวกเราชาว Gen Z ที่อยากทำธุรกิจ แต่จริงๆ แล้วมันคือสัญญาณที่ดีมากๆ เลยนะ
มันคือการ ‘อัปเลเวล’ ให้ธุรกิจ SME ของไทย ให้มีมาตรฐานเทียบเท่าสากลมากขึ้น ทำให้งบการเงินของเราน่าเชื่อถือในสายตาของธนาคารและนักลงทุน ซึ่งจะเปิดโอกาสให้เราเข้าถึงแหล่งเงินทุนและเติบโตได้ไกลกว่าเดิม
อย่ามองว่ามันเป็นภาระ แต่ให้มองว่าเป็น ‘แผนที่’ ที่จะช่วยนำทางให้ธุรกิจของเราเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องและมั่นคง การเข้าใจเรื่องพวกนี้ตั้งแต่อายุน้อยๆ ถือเป็นความได้เปรียบอย่างมหาศาล มันคือการวางรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับอาณาจักรธุรกิจที่เรากำลังจะสร้างขึ้นมา
เริ่มจากวันนี้ ลองสนใจดูบัญชีรายรับ-รายจ่ายของตัวเอง ลองศึกษาเคสธุรกิจต่างๆ ไม่จำเป็นต้องเข้าใจทุกอย่าง 100% แต่ขอแค่เปิดใจและเรียนรู้ไปกับมันก็พอแล้ว
สู้ๆ นะ ว่าที่ CEO ทุกคน! พี่เป็นกำลังใจให้!
“`