ผลกระทบและการเตรียมรับมือภาษีขั้นต่ำทั่วโลก (GMT) สำหรับธุรกิจไทยในปี 2025

เจาะลึก! ภาษีขั้นต่ำทั่วโลก (GMT) ศึกใหญ่ที่ธุรกิจไทยต้องรู้ก่อนปี 2025

ภาพโลกและตัวเลขกราฟแสดงถึงเศรษฐกิจและการเงินระหว่างประเทศ ที่เกี่ยวข้องกับภาษีขั้นต่ำทั่วโลก (GMT)

เฮ้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกคน! เราในฐานะรุ่นพี่ที่กำลังเรียนด้านเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศอยู่ อยากจะมาชวนคุยเรื่องที่กำลังเป็น Talk of the Town ในวงการธุรกิจโลก และกำลังจะกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวพวกเราทุกคนในอีกไม่ช้า นั่นก็คือ “ภาษีขั้นต่ำทั่วโลก” หรือ Global Minimum Tax (GMT) นั่นเอง! ฟังดูอาจจะเหมือนเรื่องไกลตัว ยากๆ น่าเบื่อ แต่เชื่อเราเถอะว่าเรื่องนี้โคตรจะสำคัญ และจะเปลี่ยนโฉมหน้าการทำธุรกิจในไทยและทั่วโลกไปเลย โดยเฉพาะในปี 2025 ที่ประเทศไทยเราจะเริ่มนำมาตรการนี้มาใช้เต็มรูปแบบ!

บทความนี้จะไม่ได้มาเลกเชอร์แบบน่าเบื่อนะ แต่จะมาไขข้อข้องใจแบบเข้าใจง่าย สไตล์รุ่นพี่เล่าให้น้องฟัง ว่าเจ้า GMT คืออะไรกันแน่? มันจะกระทบกับบริษัทในไทยยังไง? แล้วพวกเราในฐานะคนรุ่นใหม่ที่กำลังจะก้าวเข้าสู่โลกของการทำงานหรือทำธุรกิจ ต้องเตรียมตัวรับมือกับมันยังไงบ้าง ไปดูกันเลย!

ไขข้อข้องใจ: ภาษีขั้นต่ำทั่วโลก (Global Minimum Tax) คืออะไรกันแน่?

ก่อนอื่นเลย ลองนึกภาพตามนะ… สมมติว่ามีสนามเด็กเล่นหลายๆ แห่ง บางแห่งเก็บค่าเข้าถูกมาก หรือไม่เก็บเลย (เราเรียกประเทศแบบนี้ว่า “Tax Haven” หรือแดนสวรรค์ทางภาษี) ในขณะที่สนามเด็กเล่นอีกแห่งเก็บค่าเข้าตามปกติ

ทีนี้ บริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่ (Multi-National Enterprises – MNEs) ที่มีเงินเยอะๆ ก็ฉลาดไง แทนที่จะไปตั้งบริษัทแม่หรือบริษัทที่ทำกำไรเยอะๆ ในประเทศที่เก็บภาษีปกติ พวกเขาก็ย้ายไปจดทะเบียนในประเทศที่เป็น Tax Haven เพื่อจ่ายภาษีให้น้อยที่สุด หรือแทบไม่จ่ายเลย ทำให้ประเทศที่พวกเขาไปทำธุรกิจจริงๆ และสร้างรายได้มหาศาล กลับเก็บภาษีจากกำไรเหล่านั้นได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย

GMT ก็คือ “กฎกติกาใหม่ของสนามเด็กเล่นโลก” ที่ประเทศต่างๆ กว่า 140 ประเทศทั่วโลก (รวมถึงไทยด้วย!) ภายใต้การนำของ OECD ตกลงร่วมกันว่า “ต่อไปนี้ ไม่ว่าบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่จะไปตั้งอยู่ที่ไหนในโลกก็ตาม จะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราไม่ต่ำกว่า 15%”

พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นการกำหนด “พื้น” ของอัตราภาษีไว้ที่ 15% เพื่อป้องกันการแข่งขันลดภาษีเพื่อดึงดูดการลงทุน (Race to the Bottom) และปิดช่องโหว่การหนีภาษีของบริษัทใหญ่ๆ นั่นเอง

ใครบ้างที่ต้องปฏิบัติตามกฎนี้?

กฎนี้ไม่ได้ใช้กับทุกบริษัทนะเพื่อนๆ ใจเย็นๆ! เป้าหมายหลักคือ บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ (MNEs) ที่มีรายได้รวมทั่วโลกตั้งแต่ 750 ล้านยูโรต่อปีขึ้นไป (ประมาณ 2.8 หมื่นล้านบาท) เท่านั้น ดังนั้น ธุรกิจ SMEs หรือสตาร์ทอัพในบ้านเรา ไม่ต้องกังวลว่าจะโดนกฎนี้โดยตรงนะ

ทำไมโลกต้องมี GMT? ยุคแห่งการ ‘ช้อปปิ้งภาษี’ กำลังจะจบลง

คำถามที่ดีมาก! เหตุผลหลักๆ ที่ทำให้โลกต้องเดินมาถึงจุดนี้มีอยู่ 2-3 ข้อ

  • ความยุติธรรม (Fairness): ทำไมบริษัทท้องถิ่น, SMEs หรือแม้แต่พวกเราที่เป็นมนุษย์เงินเดือนในอนาคตต้องจ่ายภาษีเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกกลับมีช่องทางในการจ่ายภาษีน้อยกว่ามากๆ? GMT เกิดขึ้นมาเพื่อสร้างสนามแข่งขันที่เท่าเทียมกันมากขึ้น
  • รายได้ของรัฐบาล: เมื่อบริษัทใหญ่ๆ จ่ายภาษีน้อยลง รัฐบาลของแต่ละประเทศ (รวมถึงรัฐบาลไทย) ก็ขาดรายได้ที่จะนำไปพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ เช่น การศึกษา, สาธารณสุข, โครงสร้างพื้นฐาน หรือสวัสดิการต่างๆ ที่จะกลับมาสู่พวกเราทุกคนนั่นแหละ
  • หยุดการแข่งขันที่ไม่สร้างสรรค์: การที่แต่ละประเทศแข่งกันลดภาษีเพื่อดึงดูดการลงทุน สุดท้ายแล้วจะไม่มีใครได้ประโยชน์ในระยะยาว ประเทศจะขาดรายได้ และต้องไปพึ่งพาการลงทุนจากต่างชาติเพียงอย่างเดียว GMT จะช่วยเปลี่ยนโฟกัสให้ประเทศต่างๆ หันมาแข่งขันกันในด้านอื่นที่มีคุณภาพมากกว่า เช่น ทักษะแรงงาน, นวัตกรรม, หรือความมั่นคงของประเทศ

ภาพคนกำลังคำนวณภาษีและเอกสารทางบัญชีจำนวนมาก แสดงถึงความซับซ้อนในการรับมือกับ GMT

ส่องผลกระทบ GMT ต่อธุรกิจไทย: ใครได้ ใครเสีย เมื่อปี 2025 มาถึง

เอาล่ะ มาถึงส่วนที่เกี่ยวข้องกับบ้านเราโดยตรงเลยดีกว่า! ประเทศไทยประกาศชัดเจนว่าจะเริ่มบังคับใช้กฎเกณฑ์ GMT ในปี 2568 หรือปี 2025 ที่จะถึงนี้ ซึ่งจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างทั้งในแง่บวกและแง่ลบ

ด้านบวก: โอกาสของประเทศไทย

  1. รัฐบาลไทยมีโอกาสจัดเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น: นี่คือไฮไลท์เลย! ภายใต้กฎ GMT จะมีสิ่งที่เรียกว่า Income Inclusion Rule (IIR) และ Undertaxed Profit Rule (UTPR) ซึ่งอธิบายง่ายๆ คือ:
    • ถ้าบริษัทแม่ของไทยไปลงทุนในต่างประเทศแล้วเสียภาษีที่นั่นต่ำกว่า 15% รัฐบาลไทยมีสิทธิเก็บภาษีส่วนต่างเพิ่มได้
    • ในทางกลับกัน ถ้าบริษัทลูกของต่างชาติในไทยเสียภาษีต่ำกว่า 15% (เช่น ได้รับสิทธิประโยชน์ BOI) แล้วประเทศแม่ของเขาไม่ได้เก็บภาษีส่วนต่างเพิ่ม รัฐบาลไทยก็จะมีสิทธิเก็บภาษีส่วนต่างนั้นเองได้เช่นกัน!

    สิ่งนี้จะทำให้รัฐบาลเรามีรายได้เพิ่มขึ้น เพื่อนำมาพัฒนาประเทศต่อไป

  2. สร้างความเท่าเทียมในการแข่งขัน: ธุรกิจ SME และบริษัทไทยที่จ่ายภาษีในอัตราปกติมาตลอด จะได้แข่งขันบนสนามที่เท่าเทียมกับบริษัทข้ามชาติมากขึ้น เพราะความได้เปรียบทางภาษีของบริษัทใหญ่ๆ จะลดลง
  3. เพิ่มความโปร่งใสทางภาษี: บริษัทต่างๆ จะต้องเปิดเผยข้อมูลทางภาษีมากขึ้น ทำให้การตรวจสอบโปร่งใสและเป็นระบบมากขึ้น

ด้านลบ: ความท้าทายที่ต้องเผชิญ

  1. ความน่าสนใจของสิทธิประโยชน์ BOI อาจลดลง: ที่ผ่านมา ประเทศไทยใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี (เช่น การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี) เป็นแม่เหล็กดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ (Foreign Direct Investment – FDI) แต่เมื่อมี GMT เข้ามา การให้สิทธิประโยชน์เหล่านี้อาจจะไม่มีความหมายอีกต่อไป เพราะถึงไทยจะไม่เก็บภาษี ประเทศแม่ของบริษัทนั้นๆ ก็จะมาเก็บส่วนต่าง 15% ไปอยู่ดี นี่คือความท้าทายครั้งใหญ่ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เลยทีเดียว
  2. ความซับซ้อนและต้นทุนที่เพิ่มขึ้น: บริษัทไทยขนาดใหญ่ที่เข้าข่าย GMT และมีการลงทุนในต่างประเทศ จะต้องเจอกับกฎเกณฑ์ทางภาษีที่ซับซ้อนขึ้นมาก ต้องมีการประเมินผลกระทบ เตรียมข้อมูล และอาจต้องจ้างที่ปรึกษา ซึ่งเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
  3. ต้องปรับเปลี่ยนนโยบายครั้งใหญ่: รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องคิดใหม่ทำใหม่ ว่าจะใช้อะไรมาดึงดูดการลงทุนแทนนโยบายทางภาษีแบบเดิมๆ เช่น การพัฒนาทักษะแรงงาน, การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน, การสร้างระบบนิเวศสำหรับนวัตกรรม เป็นต้น

ภารกิจเตรียมพร้อม! ธุรกิจไทยและคนรุ่นใหม่ต้องทำอะไรเพื่อรับมือ GMT ปี 2025

เมื่อรู้ถึงผลกระทบแล้ว คำถามต่อไปคือ “แล้วเราจะทำยังไงต่อ?” การเตรียมตัวที่ดีคือหัวใจสำคัญของการรับมือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้

สำหรับภาคธุรกิจ (โดยเฉพาะบริษัทใหญ่)

  • ประเมินผลกระทบ (Impact Assessment): รีบประเมินเลยว่าโครงสร้างบริษัทและการลงทุนทั้งในและต่างประเทศของตัวเองจะได้รับผลกระทบจาก GMT มากน้อยแค่ไหน ต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นที่ไหน เท่าไหร่
  • ทบทวนโครงสร้างองค์กรและภาษี: อาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการถือหุ้นหรือการดำเนินงานเพื่อให้สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ใหม่ และลดภาระภาษีที่ไม่จำเป็น
  • ลงทุนในเทคโนโลยีและบุคลากร: การคำนวณภาษีตามหลัก GMT มีความซับซ้อนสูงมาก บริษัทต้องเตรียมระบบบัญชีและบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้โดยเฉพาะ

สำหรับภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

  • ออกแบบสิทธิประโยชน์ใหม่: BOI และหน่วยงานอื่นๆ ต้องเร่งออกแบบมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่ไม่ใช่แค่เรื่องภาษี (Non-tax incentives) เช่น เงินอุดหนุนเพื่อการวิจัยและพัฒนา, การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล, หรือการอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ
  • สื่อสารและให้ความรู้: จัดทำแนวทางที่ชัดเจนและให้ความรู้กับภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถเตรียมตัวและปรับตัวได้ทัน

สำหรับพวกเรา (วัยรุ่นและคนรุ่นใหม่)

เรื่องนี้อาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ แต่จริงๆ แล้วมันเกี่ยวกับอนาคตของพวกเราโดยตรงเลยนะ!

  • ทำความเข้าใจโลกที่เปลี่ยนไป: โลกธุรกิจยุคใหม่จะไม่ได้แข่งขันกันที่ “ใครจ่ายภาษีน้อยกว่า” อีกต่อไป แต่จะแข่งกันที่ “นวัตกรรม, คุณภาพ, และความยั่งยืน” การเข้าใจเทรนด์นี้จะทำให้เรามองเห็นโอกาสในอนาคต
  • พัฒนาทักษะที่จำเป็น: ความรู้ด้านกฎหมายภาษีระหว่างประเทศ, การวิเคราะห์ข้อมูล, และความเข้าใจในธุรกิจข้ามชาติ จะกลายเป็นทักษะที่ตลาดแรงงานต้องการอย่างมากในอนาคต ใครสนใจเรียนต่อด้านบัญชี, การเงิน, หรือกฎหมาย บอกเลยว่ามาถูกทาง!
  • ติดตามข่าวสาร: การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม ซึ่งก็คือชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเราทุกคน การติดตามข่าวสารและเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น จะทำให้เราเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพและพร้อมปรับตัวอยู่เสมอ

ถามมา-ตอบไว! Q&A เคลียร์ทุกประเด็นเรื่อง GMT กับอนาคตธุรกิจไทย (AEO)

Q1: สรุปง่ายๆ สั้นๆ ภาษีขั้นต่ำทั่วโลก (GMT) คืออะไร?

A1: คือกฎที่บังคับให้บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ (รายได้เกิน 750 ล้านยูโร) ต้องเสียภาษีอย่างน้อย 15% ไม่ว่าจะไปทำธุรกิจที่ไหนในโลกก็ตาม เพื่อป้องกันการหนีภาษีและสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรม

Q2: GMT จะกระทบกับคนทั่วไปอย่างเรามั้ย?

A2: กระทบทางอ้อมครับ! เมื่อรัฐบาลเก็บภาษีจากบริษัทใหญ่ๆ ได้มากขึ้น ก็จะมีงบประมาณมาพัฒนาประเทศ พัฒนาการศึกษา, ถนน, โรงพยาบาล ซึ่งส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตเราทุกคนในระยะยาวครับ

Q3: ธุรกิจเล็กๆ หรือ SME ในไทยต้องกังวลรึเปล่า?

A3: ไม่ต้องกังวลโดยตรงครับ กฎนี้บังคับใช้กับบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่มากๆ เท่านั้น แต่ SMEs อาจได้รับประโยชน์ทางอ้อมจากการแข่งขันที่เท่าเทียมขึ้นด้วยซ้ำ

Q4: สิทธิประโยชน์ BOI ของไทยจะหมดความหมายไปเลยมั้ย?

A4: ไม่ถึงกับหมดความหมาย แต่ความน่าสนใจในแง่ “การลดหย่อนภาษี” จะลดลงอย่างมาก BOI และรัฐบาลจึงต้องปรับตัวไปเน้นการให้สิทธิประโยชน์ในด้านอื่นๆ ที่ไม่ใช่ภาษี (Non-tax incentives) แทน เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

Q5: ประเทศไทยจะเริ่มใช้ GMT อย่างเป็นทางการเมื่อไหร่?

A5: ตามแผนที่ประกาศไว้คือ ปี พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) ครับ ดังนั้นภาคธุรกิจจึงต้องเร่งเตรียมตัวกันตั้งแต่ตอนนี้เลย

บทสรุป: ก้าวต่อไปของไทยในเวทีเศรษฐกิจโลก

การมาถึงของภาษีขั้นต่ำทั่วโลก (GMT) ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงเรื่องตัวเลขภาษี แต่มันคือการ “จัดระเบียบโลก” ทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญ มันคือจุดเปลี่ยนที่จะทำให้ความโปร่งใสและความยุติธรรมกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการทำธุรกิจ

สำหรับประเทศไทย นี่คือทั้งความท้าทายและโอกาสครั้งใหญ่ เราอาจจะต้องเจ็บปวดกับการปรับตัวในระยะสั้น แต่ในระยะยาว มันคือการบังคับให้เราต้องยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไปสู่มิติอื่นที่ยั่งยืนกว่าแค่การใช้ภาษีเป็นตัวล่อ

ในฐานะคนรุ่นใหม่ การทำความเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่คือการเตรียมพร้อมสำหรับโลกอนาคตที่เราจะต้องก้าวเข้าไปเป็นผู้เล่นคนสำคัญ… โลกที่ความเก่งกาจและนวัตกรรม จะมีความหมายมากกว่าช่องโหว่ทางภาษีครับ!

Most Popular

Categories