ติวเข้ม! สรุปการเปลี่ยนแปลงรูปแบบงบการเงินใหม่ 2568 ฉบับเด็กบัญชี (และคนอยากรู้!)

หวัดดีเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกคน! พี่เป็นนักศึกษาคณะบัญชีฯ นะ วันนี้จะมาชวนคุยเรื่องที่ดูเหมือนจะไกลตัว แต่จริงๆ แล้วใกล้ตัวเรามากๆ โดยเฉพาะใครที่ฝันอยากทำธุรกิจ หรือกำลังเรียนสายบัญชีอยู่ เรื่องนั้นก็คือ “การเปลี่ยนแปลงรูปแบบงบการเงินใหม่” ที่จะเริ่มใช้เต็มรูปแบบในปี 2568 นั่นเอง! ฟังดูอาจจะเหมือนเรื่องของผู้ใหญ่ แต่เชื่อพี่เถอะว่าการเข้าใจเรื่องนี้ก่อนใคร จะทำให้เราดูโปรขึ้นอีกสิบระดับเลยล่ะ! พร้อมแล้วก็ไปลุยกันเลย!

เกริ่นก่อน…งบการเงินมันคืออะไรกันนะ?

ก่อนจะไปดูว่ามีอะไรเปลี่ยนไป เรามาปูพื้นฐานกันแบบง่ายสุดๆ ก่อนเนอะ ลองนึกภาพตามนะ… สมมติว่าเราได้เงินค่าขนมมาเดือนละ 3,000 บาท เราก็เอาไปซื้อข้าว ซื้อของ จ่ายค่าเดินทาง บางเดือนก็มีเงินเหลือเก็บ บางเดือนก็ชักหน้าไม่ถึงหลัง การที่เราจดว่า “ได้เงินมาเท่าไหร่ (รายรับ)” และ “จ่ายอะไรไปบ้าง (รายจ่าย)” สุดท้าย “เหลือเงินเท่าไหร่ (กำไร/ขาดทุน)” เนี่ยแหละ คือคอนเซ็ปต์พื้นฐานของงบการเงินเลย!

ในโลกธุรกิจก็เหมือนกัน แต่สเกลมันใหญ่กว่ามาก งบการเงิน (Financial Statements) ก็คือรายงานสุขภาพทางการเงินของบริษัท ที่จะบอกคนนอก (เช่น นักลงทุน, ธนาคาร, หรือแม้กระทั่งเราๆ ที่จะไปสมัครงาน) ว่าบริษัทนี้แข็งแรงแค่ไหน มีเงินเท่าไหร่ เป็นหนี้เยอะมั้ย แล้วปีที่ผ่านมาทำมาค้าขายได้กำไรหรือขาดทุน

งบการเงินหลักๆ ที่เราควรรู้จักก็จะมี:

  • งบแสดงฐานะการเงิน: บอกว่า ณ วันใดวันหนึ่ง บริษัทมีทรัพย์สิน, หนี้สิน, และส่วนของเจ้าของเท่าไหร่ (เหมือนภาพนิ่ง snapshot สุขภาพการเงิน)
  • งบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ: บอกว่าตลอดทั้งปี บริษัทมีรายได้, ค่าใช้จ่าย, และสุดท้ายเหลือกำไร/ขาดทุนเท่าไหร่ (เหมือนวิดีโอบอกเล่าเรื่องราวตลอดปี)
  • งบแสดงการเปลี่ยนแปลงส่วนของเจ้าของ: โชว์ว่าส่วนของเจ้าของ (ทุน) เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้างในรอบปี
  • งบกระแสเงินสด: ติดตามการไหลเข้า-ออกของเงินสดจริงๆ ในบริษัท
  • หมายเหตุประกอบงบการเงิน: ส่วนอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมของตัวเลขในงบต่างๆ (สำคัญมาก!)

ทีนี้ พอจะเห็นภาพรวมแล้วใช่มั้ยว่ามันสำคัญยังไง ถ้าไม่มีงบการเงิน เราก็จะไม่รู้เลยว่าธุรกิจที่เราสนใจมัน “รุ่ง” หรือ “ร่วง” กันแน่!

แล้วทำไมต้องเปลี่ยน? อัปเดตครั้งใหญ่นี้มีที่มาที่ไปยังไง?

คำถามที่ดีมาก! ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ก็นึกอยากจะเปลี่ยนกันนะ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มีเหตุผลสำคัญอยู่เบื้องหลัง นั่นก็คือ สภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งเป็นองค์กรหลักที่ดูแลมาตรฐานการบัญชีของประเทศไทย ได้มีการปรับปรุงมาตรฐานการรายงานทางการเงินสำหรับกิจการที่ไม่มีส่วนได้เสียสาธารณะ หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า TFRS for NPAEs (อ่านว่า ที-ฟริส-ฟอร์-เอ็น-ป้า)

เดี๋ยวนะ… NPAEs คืออะไร?

NPAEs (Non-Publicly Accountable Entities) พูดภาษาบ้านๆ ก็คือ ธุรกิจส่วนใหญ่ในประเทศไทย ที่ไม่ใช่บริษัทมหาชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ นั่นเอง เช่น ร้านกาแฟแถวบ้าน, ธุรกิจ SME, บริษัทจำกัดของครอบครัวเรา หรือสตาร์ทอัพที่กำลังเติบโต กิจการเหล่านี้แหละคือกลุ่มเป้าหมายหลักของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้

เหตุผลที่ต้องปรับปรุงก็เพื่อ:

  1. ทำให้เป็นสากลมากขึ้น: รูปแบบใหม่จะใกล้เคียงกับมาตรฐานของกิจการขนาดใหญ่ (PAEs) และมาตรฐานสากล (IFRS) มากขึ้น ทำให้งบการเงินของบริษัทไทยดูน่าเชื่อถือในสายตาต่างชาติ
  2. ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กว่าเดิม: รูปแบบใหม่จะช่วยให้คนอ่านงบ (เช่น ธนาคารที่จะให้กู้เงิน) เห็นภาพความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจได้ชัดเจนขึ้น
  3. เพิ่มความโปร่งใส: มีการจัดหมวดหมู่และเปิดเผยข้อมูลบางอย่างละเอียดขึ้น เพื่อลดความเข้าใจผิด

สรุปง่ายๆ คือ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เหมือนการ “อัปเกรด” ระบบรายงานผลสุขภาพของธุรกิจในบ้านเรา ให้ทันสมัย ชัดเจน และเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจมากขึ้นนั่นเอง

เข้าเรื่อง! สรุป 3 จุดเปลี่ยนสำคัญในงบการเงินใหม่ 2568

เอาล่ะ มาถึงหัวใจของบทความนี้กันแล้ว พี่จะสรุปการเปลี่ยนแปลงหลักๆ ที่เราต้องรู้ไว้ โดยจะเน้นไปที่ “งบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ” เพราะเป็นส่วนที่มีการเปลี่ยนแปลงชัดเจนที่สุด

1. พระเอกของการเปลี่ยนแปลง: งบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ (Statement of Comprehensive Income)

จุดเปลี่ยนที่ใหญ่และสำคัญที่สุดคือ “วิธีการแสดงผล” ในงบกำไรขาดทุน จากเดิมที่หลายบริษัท (NPAEs) นิยมใช้รูปแบบขั้นเดียว (Single-Step) ที่ดูง่ายๆ คือ “รายได้ทั้งหมด – ค่าใช้จ่ายทั้งหมด = กำไร”

ของใหม่! เขาแนะนำ (และแทบจะบังคับกลายๆ) ให้ใช้รูปแบบที่เรียกว่า “แบบจำแนกค่าใช้จ่ายตามหน้าที่” (By Function) หรือที่เรียกกันติดปากว่า “รูปแบบหลายขั้น” (Multi-Step) ซึ่งหัวใจของมันคือการโชว์บรรทัดสำคัญที่เรียกว่า “กำไรขั้นต้น (Gross Profit)” ออกมาให้เห็นจะๆ เลย!

แล้วกำไรขั้นต้นมันคืออะไร? สำคัญยังไง?

กำไรขั้นต้น คือ กำไรที่ได้จากการขายสินค้าหรือบริการ หักลบด้วยต้นทุนที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการผลิตสินค้าหรือบริการนั้นๆ

สูตร: กำไรขั้นต้น = รายได้จากการขาย - ต้นทุนขาย

การโชว์กำไรขั้นต้นทำให้เราวิเคราะห์ธุรกิจได้ลึกขึ้นมาก เช่น ถ้าร้านขายเสื้อออนไลน์มีรายได้ 100,000 บาท แต่ต้นทุนเสื้อที่รับมาขายปาเข้าไป 80,000 บาท กำไรขั้นต้นก็จะเหลือแค่ 20,000 บาท แสดงว่า Margin หรือส่วนต่างกำไรต่อชิ้นอาจจะน้อยเกินไป แม้จะยังไม่ได้หักค่าการตลาด ค่าจ้างแอดมินเลยก็ตาม การเห็นตัวเลขนี้จะช่วยให้เจ้าของธุรกิจตัดสินใจได้ดีขึ้นว่าควรหาแหล่งสินค้าที่ถูกลง หรือควรขึ้นราคาสินค้าดี

มาดูตารางเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดๆ กันดีกว่า!

รูปแบบงบกำไรขาดทุน (แบบเก่าที่นิยม) รูปแบบงบกำไรขาดทุน (แบบใหม่ 2568)
แบบขั้นเดียว (Single-Step)รายได้:
รายได้จากการขาย
รายได้อื่น
รวมรายได้

ค่าใช้จ่าย:
ต้นทุนขาย
ค่าใช้จ่ายในการขาย
ค่าใช้จ่ายในการบริหาร
ต้นทุนทางการเงิน
รวมค่าใช้จ่าย

กำไรก่อนภาษี

แบบหลายขั้น (Multi-Step)รายได้จากการขาย
หัก: ต้นทุนขาย
กำไรขั้นต้น (***โชว์บรรทัดนี้เด่นๆ***)

บวก: รายได้อื่น
หัก: ค่าใช้จ่ายในการขาย
หัก: ค่าใช้จ่ายในการบริหาร
กำไรจากการดำเนินงาน

หัก: ต้นทุนทางการเงิน
กำไรก่อนภาษี

เห็นมั้ยครับว่ารูปแบบใหม่มันบอกเรื่องราวได้มากกว่า มันทำให้เราเห็นประสิทธิภาพของการดำเนินงานหลักจริงๆ ของบริษัท ก่อนที่จะไปหักลบค่าใช้จ่ายออฟฟิศหรือค่าการตลาดเสียอีก

2. การจัดหมวดหมู่บัญชีใหม่: ย้ายบ้านให้ถูกที่ถูกทาง

นอกจากการเปลี่ยนรูปแบบงบกำไรขาดทุนแล้ว ยังมีการปรับเปลี่ยนการจัดประเภทรายการบัญชีบางอย่างให้ชัดเจนขึ้นด้วย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ:

  • ดอกเบี้ยรับ (Interest Income): จากเดิมที่อาจจะถูกจัดเป็น “รายได้อื่น” ตอนนี้มาตรฐานใหม่แนะนำว่าถ้ามันเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานปกติ (เช่น ธุรกิจให้สินเชื่อ) ก็ควรจะไปรวมอยู่ในกลุ่ม “รายได้” หลักเลย
  • เงินปันผลรับ (Dividend Income): ก็เช่นเดียวกัน อาจถูกย้ายจาก “รายได้อื่น” ไปอยู่ในที่ที่เหมาะสมกว่าตามลักษณะของธุรกิจ

การ “ย้ายบ้าน” รายการบัญชีเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อให้ตัวเลข “กำไรจากการดำเนินงาน” สะท้อนภาพจริงของธุรกิจหลักได้ดียิ่งขึ้นนั่นเอง

3. หมายเหตุประกอบงบการเงิน: ละเอียดขึ้นอีกนิด เพื่อความโปร่งใส

จำได้มั้ยที่พี่บอกว่าหมายเหตุฯ เป็นส่วนสำคัญ? ในมาตรฐานใหม่นี้ จะมีการกำหนดให้เปิดเผยข้อมูลบางอย่างในหมายเหตุประกอบงบการเงินเพิ่มขึ้น เช่น การเปิดเผยรายละเอียดของรายได้ให้ละเอียดยิ่งขึ้น หรือนโยบายการบัญชีที่สำคัญๆ ที่บริษัทใช้

เรื่องนี้อาจจะดูเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แต่สำหรับนักวิเคราะห์หรือคนที่จะลงทุน มันคือข้อมูลล้ำค่าที่ช่วยให้เข้าใจที่มาที่ไปของตัวเลขและประเมินความเสี่ยงได้ดีขึ้นมาก

การเปลี่ยนแปลงนี้…แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเราล่ะ?

อ่านมาถึงตรงนี้ น้องๆ บางคนอาจจะคิดว่า “โอ้โห…ดูเป็นเรื่องของผู้ใหญ่จังเลย แล้วมันเกี่ยวอะไรกับชีวิตวัยรุ่นอย่างเรา?” เกี่ยวสิ! เกี่ยวเต็มๆ เลยล่ะ

  • สำหรับน้องๆ ที่เรียนสายบัญชี/บริหาร: นี่คือความรู้ใหม่แกะกล่องที่ต้องอัปเดตเลยนะ! การเข้าใจรูปแบบงบการเงินใหม่จะทำให้เราทำการบ้าน ทำรายงาน หรือแม้กระทั่งตอนไปฝึกงานได้เป๊ะกว่าเพื่อน แถมยังทำให้เราดูเป็นคนทันโลกในสายตาอาจารย์และพี่ๆ ที่ฝึกงานด้วย
  • สำหรับน้องๆ ที่ฝันอยากทำธุรกิจ/สตาร์ทอัพ: การเข้าใจวิธีอ่านงบการเงินรูปแบบใหม่ จะทำให้เราวางแผนธุรกิจได้เฉียบคมขึ้น เข้าใจ “สุขภาพ” ธุรกิจของตัวเองได้ลึกซึ้งขึ้น และที่สำคัญ เวลาไปคุยกับธนาคารเพื่อขอกู้เงิน หรือคุยกับนักลงทุนเพื่อระดมทุน การใช้งบการเงินรูปแบบใหม่ที่เป็นมาตรฐานจะทำให้เราดูน่าเชื่อถือขึ้นมาก
  • สำหรับทุกคน: ความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) เป็นทักษะสำคัญของศตวรรษที่ 21 เลยนะ การอ่านงบการเงินเป็นก็เหมือนการมี “ซูเปอร์พาวเวอร์” ที่จะช่วยให้เราเข้าใจโลกธุรกิจรอบตัวได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเลือกซื้อหุ้นในอนาคต (เมื่ออายุถึง) หรือแม้กระทั่งการประเมินความมั่นคงของบริษัทที่เราจะเข้าไปทำงานด้วย

ดังนั้น อย่ามองว่ามันเป็นแค่เรื่องของตัวเลขน่าเบื่อ แต่มันคือ “ภาษา” ของโลกธุรกิจ ที่ถ้าเราเข้าใจ เราก็จะมีโอกาสมากกว่าคนอื่นแน่นอน

Q&A ถามมา-ตอบไป คลายทุกข้อสงสัยเรื่องงบการเงินใหม่

พี่รวบรวมคำถามที่เพื่อนๆ น่าจะสงสัยกันมาตอบให้แบบเคลียร์ๆ ตรงนี้เลย!

Q: การเปลี่ยนแปลงนี้บังคับใช้เมื่อไหร่กันแน่?

A: ตามประกาศของสภาวิชาชีพบัญชี จะมีผลบังคับใช้สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2566 แต่! เขามีช่วงให้ปรับตัว โดยอนุญาตให้กิจการสามารถใช้งบรูปแบบเดิมได้จนถึงงบการเงินของปี 2567 ดังนั้น งบการเงินของปี 2568 ที่จะยื่นในปี 2569 จะต้องเป็นรูปแบบใหม่นี้กันถ้วนหน้าแล้วจ้า

Q: แล้วกระทบกับบริษัทใหญ่ๆ ในตลาดหุ้น (SET) มั้ย?

A: ไม่กระทบโดยตรงครับ เพราะบริษัทมหาชนเหล่านั้นใช้มาตรฐานการรายงานทางการเงินสำหรับกิจการที่มีส่วนได้เสียสาธารณะ (TFRS for PAEs) ซึ่งมีรูปแบบที่ละเอียดและเป็นสากลแบบนี้มานานแล้ว การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เน้นที่กลุ่ม NPAEs (ธุรกิจส่วนใหญ่ของประเทศ) เป็นหลัก เพื่อยกระดับให้เข้ามาใกล้เคียงกับมาตรฐานของบริษัทใหญ่ๆ มากขึ้น

Q: ถ้าเรากับเพื่อนๆ ทำร้านขายของออนไลน์เล็กๆ ใน IG ต้องทำงบแบบใหม่นี้มั้ย?

A: ถ้าธุรกิจของน้องยังไม่ได้จดทะเบียนเป็น “บริษัทจำกัด” หรือ “ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล” ก็ยังไม่ต้องจัดทำงบการเงินตามมาตรฐานนี้ส่งให้ใคร แต่! พี่แนะนำอย่างแรงว่าให้ลองฝึกทำงบกำไรขาดทุนแบบหลายขั้น (โชว์กำไรขั้นต้น) ไว้ใช้ดูภายในกันเอง มันจะช่วยให้เราเห็นภาพธุรกิจชัดขึ้นมากเลยนะ ว่าขายของไปเนี่ย หักต้นทุนของแล้วเหลือกำไรจริงๆ เท่าไหร่ก่อนไปจ่ายค่าอื่นๆ

Q: เรียนบัญชีจะยากขึ้นมั้ยเนี่ย?

A: ไม่ได้ยากขึ้นเลย! แต่มันจะ “สมเหตุสมผล” และ “มีประโยชน์” มากขึ้นต่างหาก การเรียนรูปแบบใหม่นี้จะทำให้เราเข้าใจตรรกะทางธุรกิจได้ดีขึ้นตั้งแต่ต้น พอไปเจอของจริงตอนทำงานก็จะไม่งง และสามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้ลึกซึ้งกว่าเดิม ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อคนเรียนและคนทำงานในสายนี้มากๆ

Q: อยากศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมแบบละเอียดๆ หาได้จากที่ไหน?

A: แหล่งข้อมูลที่ดีและน่าเชื่อถือที่สุดก็คือเว็บไซต์ของ สภาวิชาชีพบัญชี (TFAC) เลยครับ www.tfac.or.th ในนั้นจะมีประกาศฉบับเต็มและบทความให้ความรู้ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องโดยตรงเลย ใครที่สนใจแบบเจาะลึก พี่แนะนำให้เข้าไปดูในเว็บนี้ได้เลย

บทสรุปส่งท้าย: ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลง แต่คือการเติบโต

การปรับรูปแบบงบการเงินใหม่ในปี 2568 อาจจะดูเป็นเรื่องใหญ่สำหรับพี่ๆ นักบัญชีและเจ้าของธุรกิจ แต่สำหรับพวกเราในฐานะคนรุ่นใหม่ มันคือโอกาสที่ดีในการเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับมาตรฐานสากล มันไม่ใช่แค่การขีดเส้นใต้หรือย้ายบรรทัดบนหน้ากระดาษ แต่มันคือการยกระดับ “ความโปร่งใส” และ “คุณภาพ” ของข้อมูลทางการเงินในบ้านเรา

การเข้าใจว่า “กำไรขั้นต้น” คืออะไรและทำไมมันถึงสำคัญ จะเปลี่ยนมุมมองที่เรามีต่อธุรกิจไปเลย มันจะทำให้เราถามคำถามที่ลึกขึ้น วิเคราะห์ได้เฉียบคมขึ้น และตัดสินใจได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะในฐานะนักเรียน นักศึกษา เจ้าของธุรกิจในอนาคต หรือแม้กระทั่งนักลงทุน

ดังนั้น อย่าไปกลัวการเปลี่ยนแปลงนะครับ แต่จงมองว่ามันคือบันไดอีกขั้นที่จะพาเราและวงการธุรกิจของไทยให้เติบโตไปข้างหน้าอย่างแข็งแรงและยั่งยืน. หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ทุกคนนะ ถ้ามีคำถามอะไรเพิ่มเติม คอมเมนต์คุยกันได้เลย! 😊