วิธีลดหย่อนภาษีปี 2025 ที่มือใหม่ควรรู้

ลดหย่อนภาษี 2025 (2568) ฉบับเด็กจบใหม่! วางแผนภาษีตั้งแต่เนิ่นๆ แบบตัวท็อป จะแคร์เพื่อ?

ภาษีไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แค่ต้องเข้าใจและวางแผนให้เป็น!

ฮัลโหลเพื่อนๆ ชาว Gen Z! เราเชื่อว่าหลายคนในที่นี้อาจจะเพิ่งเรียนจบใหม่ๆ ได้เป็น First Jobber ป้ายแดง หรือบางคนอาจจะเริ่มมีรายได้เสริมจากการทำฟรีแลนซ์ ขายของออนไลน์ เป็นอินฟลูฯ ตัวน้อยๆ พอสิ้นปีปุ๊บ… คำว่า “ภาษี” ก็ลอยมาหลอกหลอนทันที 😱

“ภาษีคืออะไร?” “ทำไมต้องจ่าย?” “แล้วลดหย่อนภาษีที่เขาพูดกันมันคืออะไรอะแก?”

ใจเย็นๆ ก่อน! วันนี้ในฐานะรุ่นพี่ (ที่เคยงงมาก่อนเหมือนกัน) จะมาสวมบทติวเตอร์จำเป็น สรุปเรื่อง “วิธีลดหย่อนภาษีปี 2025” (สำหรับรายได้ที่เกิดขึ้นในปี 2567 เพื่อยื่นตอนต้นปี 2568) แบบฉบับที่อ่านง่าย ย่อยง่ายที่สุด ไม่ต้องมีพื้นฐานก็เข้าใจได้แน่นอน มาดูกันว่าเราจะเปลี่ยนเรื่องปวดหัวให้เป็นเรื่องปังๆ ที่ช่วยให้เราได้เงินคืนเข้ากระเป๋าได้ยังไง!


ก่อนจะลดหย่อน ต้องเข้าใจก่อนว่า “ภาษี” คืออะไร?

คิดภาพตามง่ายๆ นะทุกคน ภาษีก็เหมือน “ค่าส่วนกลาง” ของประเทศเรานี่แหละ เงินที่เราจ่ายไปจะถูกนำไปพัฒนาถนนหนทาง โรงพยาบาล โรงเรียน สวัสดิการต่างๆ ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนั่นเอง การจ่ายภาษีจึงเป็นหน้าที่ของคนที่มีรายได้ทุกคน เพื่อช่วยกันพัฒนาประเทศ

แล้วใครบ้างที่ต้องยื่นภาษี?

ตามกฎหมายของกรมสรรพากร ประเทศไทย ถ้าเราเป็นคนโสดและมีเงินได้ตลอดทั้งปีเกิน 120,000 บาท (เฉลี่ยเดือนละ 10,000 บาท) เรามี “หน้าที่” ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีนะ ส่วนจะต้อง “จ่าย” ภาษีเพิ่มมั้ย อันนี้อีกเรื่องนึง ซึ่งการ “ลดหย่อนภาษี” นี่แหละคือพระเอกที่จะมาช่วยเราตรงนี้!

Key Takeaway: การลดหย่อนภาษี ไม่ใช่การหนีภาษี แต่เป็น “สิทธิ” ที่กฎหมายให้เรา เพื่อนำค่าใช้จ่ายบางอย่างมาหักออกจากเงินได้ ทำให้เราเสียภาษีน้อยลง หรืออาจจะได้เงินคืนด้วยซ้ำ! มันคือการวางแผนการเงินอย่างชาญฉลาดนั่นเอง


เปิดคลัง “ไอเทม” ลดหย่อนภาษี 2025 ที่มือใหม่ต้องรู้!

มาถึงส่วนที่สนุกที่สุดแล้ว! เราจะพาทุกคนไปเก็บไอเทมลดหย่อนภาษีแต่ละชิ้นกัน ซึ่งเราขอแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลักๆ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น

กลุ่มที่ 1: ไอเทมติดตัว (ค่าลดหย่อนส่วนตัวและครอบครัว)

กลุ่มนี้เป็นเหมือนค่าลดหย่อนพื้นฐานที่หลายคนมีติดตัวอยู่แล้ว มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง

  • ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท: ไอเทมฟรี! แค่เรามีรายได้และยื่นภาษี รัฐก็ให้สิทธินี้กับทุกคนทันที ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเลย
  • ค่าลดหย่อนคู่สมรส 60,000 บาท: สำหรับคนมีคู่ที่จดทะเบียนสมรส และคู่สมรสไม่มีเงินได้เลยในปีนั้นๆ (เก็บไว้เป็นความรู้เนอะเพื่อนๆ)
  • ค่าลดหย่อนบิดามารดา คนละ 30,000 บาท: ไอเทมสำหรับลูกกตัญญู! ถ้าเราเลี้ยงดูคุณพ่อคุณแม่ที่อายุเกิน 60 ปี และท่านมีรายได้ทั้งปีไม่เกิน 30,000 บาท เราสามารถนำมาลดหย่อนได้เลย (ถ้าพี่น้องช่วยกันเลี้ยงดู ต้องตกลงกันให้ดีนะว่าใครจะใช้สิทธิ เพราะใช้ซ้ำซ้อนไม่ได้)
  • ค่าลดหย่อนบุตร: สำหรับคนที่มีลูก ลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท (ลูกคนที่ 2 เป็นต้นไปที่เกิดตั้งแต่ปี 2561 ลดหย่อนได้คนละ 60,000 บาท)

กลุ่มที่ 2: ไอเทมสร้างอนาคต (ประกันและการลงทุน)

กลุ่มนี้คือที่สุดของความปัง! เพราะนอกจากจะช่วยลดหย่อนภาษีได้เยอะมาก ยังเป็นการสร้างความมั่นคงและวางแผนอนาคตให้กับตัวเองไปในตัวด้วย เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวของจริง

หมวดประกัน: เกราะป้องกันความเสี่ยง

  • เงินสมทบกองทุนประกันสังคม: สำหรับเพื่อนๆ ที่ทำงานบริษัท เป็นพนักงานประจำทุกคนจะถูกหักเงินเข้าประกันสังคมทุกเดือน เราสามารถนำยอดเงินสมทบที่เราจ่ายไปตลอดทั้งปีมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 9,000 บาท (เช็คยอดได้จากแอป SSO Connect หรือเอกสาร 50 ทวิจากบริษัท)
  • เบี้ยประกันชีวิต / ประกันสะสมทรัพย์: ตัวนี้ฮิตมาก! เป็นการซื้อความคุ้มครองชีวิต พร้อมกับออมเงินไปในตัว หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน คนข้างหลังก็ไม่ลำบาก แถมยังได้เงินคืนเมื่อครบกำหนดสัญญาด้วย ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท (ต้องเป็นกรมธรรม์ที่มีระยะเวลาคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไปนะ)
  • เบี้ยประกันสุขภาพ: ค่ารักษาพยาบาลสมัยนี้แพงหูฉี่! การมีประกันสุขภาพไว้ก็อุ่นใจกว่าเยอะ ซึ่งเบี้ยที่เราจ่ายไป สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 25,000 บาท
  • เบี้ยประกันสุขภาพบิดามารดา: ถ้าเราซื้อประกันสุขภาพให้คุณพ่อคุณแม่ ก็สามารถนำเบี้ยมาลดหย่อนได้สูงสุด 15,000 บาท

✨ ทริคพิเศษ: เบี้ยประกันชีวิตและเบี้ยประกันสุขภาพ (ของตัวเอง) เมื่อรวมกันแล้ว ต้องไม่เกิน 100,000 บาทนะ!

หมวดการลงทุน: ต่อยอดเงินให้งอกเงย

สำหรับสายอยากให้เงินทำงาน การลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษีคือคำตอบ! แต่ต้องบอกก่อนว่าการลงทุนมีความเสี่ยงนะเพื่อนๆ ควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจ

  • กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF – Super Saving Fund):
    • คอนเซ็ปต์: ออมเงินระยะกลาง-ยาว เพื่อเป้าหมายในอนาคต เช่น เก็บเงินดาวน์บ้าน/รถ เรียนต่อ
    • เงื่อนไข: ต้องถือหน่วยลงทุนไว้อย่างน้อย 10 ปีเต็ม (นับแบบวันชนวัน)
    • ลดหย่อนได้: 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 200,000 บาท
  • กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF – Retirement Mutual Fund):
    • คอนเซ็ปต์: ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเพื่อการ “เกษียณ” เป็นการออมเงินระยะยาวมากๆ
    • เงื่อนไข: ต้องลงทุนต่อเนื่อง (อย่างน้อยปีเว้นปี) และจะขายคืนได้เมื่อเราอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี
    • ลดหย่อนได้: 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 500,000 บาท

🚨 คำเตือนสำคัญ: เมื่อนำค่าลดหย่อนในหมวดการลงทุนเพื่อการเกษียณทั้งหมด (RMF, SSF, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กบข., ประกันบำนาญ) มารวมกัน จะต้องไม่เกิน 500,000 บาท นะ!

สำหรับ First Jobber อาจจะเริ่มจาก SSF ก่อนก็ได้ เพราะเงื่อนไขยืดหยุ่นกว่า หรือจะแบ่งเงินเล็กๆน้อยๆ ไปลง RMF เพื่อสร้างวินัยการออมเพื่อเกษียณตั้งแต่เนิ่นๆ ก็เป็นไอเดียที่ดีมากๆ

กลุ่มที่ 3: ไอเทมไลฟ์สไตล์และทำความดี (กระตุ้นเศรษฐกิจและบริจาค)

กลุ่มสุดท้าย เป็นไอเทมที่เกี่ยวข้องกับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและการช่วยเหลือสังคม

  • ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย: สำหรับคนที่เริ่มวางแผนซื้อบ้านหรือคอนโดเป็นของตัวเอง สามารถนำดอกเบี้ยที่จ่ายให้ธนาคารตลอดทั้งปีมาลดหย่อนได้สูงสุด 100,000 บาท
  • โครงการช้อปปิ้งกระตุ้นเศรษฐกิจ (เช่น Easy E-Receipt): รัฐบาลมักจะมีโครงการแบบนี้ออกมาช่วงปลายปีหรือต้นปี เพื่อกระตุ้นให้คนใช้จ่าย อย่างโครงการ Easy E-Receipt ที่เพิ่งผ่านมาในปี 2567 ก็ให้สิทธิลดหย่อนสูงสุด 50,000 บาท สำหรับปี 2025 (ยื่น 2568) ต้องรอติดตามประกาศจากรัฐบาลอีกทีนะ! แต่ถ้ามีมาเมื่อไหร่ อย่าลืมขอใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์เก็บไว้ด้วยล่ะ
  • เงินบริจาค: สายบุญต้องเลิฟ!
    • ลดหย่อนได้ 2 เท่า: เงินบริจาคเพื่อการศึกษา, การกีฬา, โรงพยาบาลรัฐ และมูลนิธิที่กำหนด (เช็ครายชื่อได้จากเว็บกรมสรรพากร) สามารถนำมาลดหย่อนได้ 2 เท่าของที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนอื่นๆ
    • ลดหย่อนได้ตามจริง: เงินบริจาคมูลนิธิและองค์กรสาธารณกุศลทั่วไป ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนอื่นๆ

Q&A ถาม-ตอบ ทุกเรื่องลดหย่อนภาษีฉบับ First Jobber

รวบรวมคำถามที่เพื่อนๆ มือใหม่สงสัยกันบ่อยที่สุดมาตอบให้เคลียร์ๆ ตรงนี้เลย!

Q1: รายได้เท่าไหร่ถึงต้อง “ยื่น” ภาษี และเท่าไหร่ถึงต้อง “จ่าย” ภาษีคะ?

A: ถ้าเป็นคนโสด มีรายได้จากเงินเดือนอย่างเดียว เกิน 120,000 บาท/ปี (เดือนละ 10,000) มีหน้าที่ต้อง “ยื่น” แบบฯ ค่ะ ส่วนจะต้อง “จ่าย” ภาษีมั้ย ขึ้นอยู่กับว่าหลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนต่างๆ แล้ว เงินได้สุทธิของเราเหลือเท่าไหร่ โดยปกติถ้าเงินได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาท จะได้รับการยกเว้น ไม่ต้องเสียภาษีค่ะ

Q2: ถ้าไม่ยื่นภาษีจะเป็นอะไรมั้ย?

A: เป็นแน่นอน! หากเรามีหน้าที่ต้องยื่นแต่ไม่ยื่น อาจมีโทษปรับอาญาสูงสุด 2,000 บาท และถ้ามีภาษีที่ต้องจ่ายแต่ไม่ได้จ่าย ก็จะโดนเงินเพิ่ม (ดอกเบี้ย) อีก 1.5% ต่อเดือนของยอดภาษีที่ต้องชำระด้วยนะ อย่าหาทำเด็ดขาด!

Q3: เพิ่งเริ่มทำงาน เงินเดือนยังไม่เยอะ จำเป็นต้องซื้อ SSF/RMF เลยมั้ย?

A: ไม่จำเป็นเสมอไปค่ะ! ให้เราลองคำนวณภาษีดูก่อน ถ้าหลังหักค่าลดหย่อนพื้นฐาน (ส่วนตัว, ประกันสังคม) แล้วเราไม่ต้องเสียภาษีอยู่แล้ว ก็ยังไม่จำเป็นต้องรีบซื้อกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษี แต่ถ้าอยากเริ่มสร้างวินัยการลงทุน ก็สามารถเริ่มซื้อด้วยเงินจำนวนน้อยๆ ก่อนได้ เพื่อทำความคุ้นเคยและให้เงินทำงานตั้งแต่เนิ่นๆ ค่ะ

Q4: เป็นฟรีแลนซ์ หรือมีรายได้หลายทาง ลดหย่อนภาษีได้เหมือนกันมั้ย?

A: ได้เหมือนกันเป๊ะๆ เลย! ค่าลดหย่อนต่างๆ ที่พูดมาทั้งหมด ฟรีแลนซ์สามารถใช้สิทธิได้เหมือนกับพนักงานประจำทุกอย่าง แค่ตอนยื่นแบบฯ ประเภทเงินได้ของเราจะแตกต่างกันเท่านั้นเอง (พนักงานประจำคือ ม.40(1), ฟรีแลนซ์ส่วนใหญ่คือ ม.40(2))

Q5: ต้องเก็บเอกสารอะไรไว้เป็นหลักฐานบ้าง?

A: สำคัญมาก! ควรเก็บเอกสารหลักฐานการลดหย่อนทุกอย่างไว้ให้ดี เช่น หนังสือรับรองการชำระเบี้ยประกัน, หนังสือรับรองการซื้อหน่วยลงทุน SSF/RMF, ใบอนุโมทนาบัตรจากการบริจาค เผื่อกรณีที่กรมสรรพากรต้องการเรียกดูเอกสารเพิ่มเติม โดยปกติควรเก็บไว้อย่างน้อย 5 ปีค่ะ


สรุป Step-by-Step วางแผนภาษีสำหรับมือใหม่

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว อาจจะยังดูเยอะอยู่ งั้นเรามาสรุปเป็นขั้นตอนง่ายๆ ให้ทำตามกันดีกว่า

  1. คำนวณรายได้ทั้งปี: ลองประมาณการรายได้ของเราทั้งปี 2567 ดูว่าน่าจะอยู่ที่เท่าไหร่ (เงินเดือน x 12 + โบนัส + รายได้อื่นๆ)
  2. ลิสต์ค่าลดหย่อนที่มีอยู่แล้ว: ดูว่าเรามีไอเทมอะไรในมือบ้าง เช่น ค่าลดหย่อนส่วนตัว (60,000), ประกันสังคม (สูงสุด 9,000), ค่าเลี้ยงดูพ่อแม่ ฯลฯ
  3. ลองคำนวณภาษีคร่าวๆ: นำรายได้ทั้งปี มาหักค่าใช้จ่าย (ปกติหักได้ 50% แต่ไม่เกิน 100,000) และหักค่าลดหย่อนที่มีอยู่ เพื่อดูว่า “เงินได้สุทธิ” ของเราอยู่ระดับไหน และต้องเสียภาษีหรือไม่
  4. หาไอเทมเพิ่ม: ถ้าคำนวณแล้วพบว่าต้องเสียภาษี หรืออยากได้เงินคืนเพิ่ม ก็ถึงเวลาเลือกซื้อไอเทมลดหย่อนที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์และเป้าหมายของเรา เช่น ประกันสุขภาพ, SSF, หรือรอช้อปกับโครงการรัฐ
  5. เก็บหลักฐานให้ครบ: เมื่อซื้อหรือใช้สิทธิลดหย่อนอะไรไปแล้ว อย่าลืม! เก็บเอกสารหลักฐานทุกอย่างให้พร้อมสำหรับการยื่นภาษีช่วงต้นปี 2568 (มกราคม – มีนาคม)

การวางแผนภาษี ไม่ใช่เรื่องไกลตัว และไม่ใช่เรื่องของผู้ใหญ่เท่านั้น การที่เราเข้าใจและเริ่มวางแผนตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่เพียงแต่จะช่วยประหยัดเงินในกระเป๋า แต่ยังเป็นการฝึกวินัยทางการเงินที่ยอดเยี่ยม ที่จะติดตัวเราไปตลอดชีวิตเลยนะเพื่อนๆ

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคนนะ! ถ้ามีคำถามอะไรเพิ่มเติม คอมเมนต์คุยกันได้เลย หรือจะลองเข้าไปศึกษาข้อมูลโดยตรงที่เว็บไซต์ของ กรมสรรพากร ก็ได้เช่นกัน ขอให้ทุกคนสนุกกับการวางแผนภาษีนะ! 🚀

Disclaimer: ข้อมูลในบทความนี้เป็นข้อมูล ณ วันที่จัดทำ เพื่อเป็นแนวทางเบื้องต้นเท่านั้น กฎหมายและเงื่อนไขทางภาษีอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ โปรดตรวจสอบข้อมูลล่าสุดจากกรมสรรพากรอีกครั้งก่อนตัดสินใจลงทุนหรือวางแผนภาษี

“`

Most Popular

Categories