ฮัลโหลชาวแก๊ง! พี่เป็นคนนึงนะที่อยู่ในวัยมหา’ลัยเหมือนกับหลายๆ คน กำลังเรียนไปด้วย ทำงานพาร์ทไทม์ไปด้วย พอมีเงินเก็บนิดๆ หน่อยๆ ก็เริ่มมองหาลู่ทางให้เงินทำงานบ้าง ซึ่ง “หุ้น” เนี่ยแหละ คือหนึ่งในเป้าหมายที่โคตรจะน่าสนใจเลย! แต่พอจะเริ่มจริงจัง… เปิดแอป Streaming ดูชื่อหุ้นเต็มไปหมด แล้วจะเลือกตัวไหนดี? ซื้อตามเพื่อน? ซื้อตามกระแสในโซเชียล? บอกเลยว่า… เสี่ยงมาก!
การลงทุนที่ดีมันไม่ใช่การเดาสุ่มเว้ยทุกคน แต่มันคือการ “วิเคราะห์” เหมือนเราทำการบ้านก่อนไปสอบนั่นแหละ วันนี้ในฐานะรุ่นพี่ (ที่เคยงงมาก่อน) จะมาแชร์ “สูตรโกง” ที่ไม่ลับ แต่โคตรสำคัญ ที่จะช่วยให้เราสแกนสุขภาพของบริษัท หรือ “หุ้น” ที่เราสนใจได้ง่ายขึ้น นั่นก็คือ “อัตราส่วนทางการเงิน (Financial Ratios)” นั่นเอง! คิดซะว่ามันเป็นค่าสเตตัสของตัวละครในเกม ที่บอกได้ว่าตัวละครนี้เก่งด้านไหน มีจุดอ่อนอะไร พร้อมแล้วก็ไปลุยกันเลย!
ก่อนอื่น… อัตราส่วนทางการเงินมันคืออะไรกันแน่?
พูดง่ายๆ มันคือการเอาตัวเลขจาก “งบการเงิน” ของบริษัท (เหมือนสมุดบัญชีรายรับ-รายจ่ายของบริษัทนั่นแหละ) มาหารกัน เพื่อให้ได้ค่าตัวเลขใหม่ออกมาหนึ่งตัว ซึ่งตัวเลขนี้แหละที่จะช่วยบอก “เรื่องราว” เกี่ยวกับบริษัทนั้นๆ ได้ เช่น บริษัทนี้ทำกำไรเก่งมั้ย? มีหนี้เยอะไปรึเปล่า? หรือราคาหุ้นตอนนี้ถูกหรือแพงเกินไป? มันคือเครื่องมือที่ช่วยให้เราตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น ไม่ใช่แค่อารมณ์หรือความรู้สึก
เอาล่ะ! เกริ่นมาพอแล้ว เรามาดู 5 อัตราส่วนทางการเงินยอดฮิตที่นักลงทุนมือใหม่แบบเราๆ ต้องรู้ไว้กันเลยดีกว่า
1. P/E Ratio (Price-to-Earnings Ratio): ตัววัดความ “ถูก-แพง” ของหุ้น
P/E Ratio คืออะไร?
P/E คืออัตราส่วนที่ฮิตที่สุดในสามโลก! มันบอกเราว่า “เรายอมจ่ายเงินกี่บาท เพื่อให้ได้กำไรจากหุ้นตัวนั้น 1 บาท” หรือถ้ามองอีกมุมคือ ถ้าบริษัททำกำไรได้เท่านี้ไปเรื่อยๆ เราจะต้องใช้เวลากี่ปีถึงจะคืนทุนจากการซื้อหุ้นตัวนี้
สูตรคำนวณ:
P/E = ราคาหุ้นต่อหุ้น (Price) / กำไรสุทธิต่อหุ้น (Earnings Per Share หรือ EPS)
แปลว่าอะไร? เก็ตง่ายๆ
- P/E สูง: อาจแปลว่านักลงทุนคาดหวังว่าบริษัทนี้จะเติบโตสูงมากๆ ในอนาคต เลยยอมจ่ายแพงเพื่อซื้อ “ความหวัง” นั้นไว้ก่อน หรืออีกแง่คือ… หุ้นตัวนั้นอาจจะแพงเกินจริงไปแล้วก็ได้ (Overvalued)
- P/E ต่ำ: อาจแปลว่าหุ้นตัวนั้นมีราคา “ถูก” เมื่อเทียบกับกำไรที่ทำได้ (Undervalued) หรืออีกแง่คือนักลงทุนอาจจะมองว่าบริษัทนี้ไม่มีอนาคต ไม่น่าจะเติบโตแล้ว ราคามันเลยถูก
ข้อควรระวัง: อย่าดูแค่ตัวเลขเดี่ยวๆ! ต้องเอาไปเทียบกับ P/E เฉลี่ยของอุตสาหกรรมเดียวกันด้วย เช่น หุ้นธนาคาร ก็ต้องเทียบกับหุ้นธนาคารด้วยกัน หรือเทียบกับ P/E ในอดีตของตัวมันเอง
สมมติมีร้านขายเสื้อยืด 2 ร้าน คุณภาพเหมือนกันเป๊ะ
– ร้าน A (P/E ต่ำ): ขายเสื้อตัวละ 200 บาท
– ร้าน B (P/E สูง): ขายเสื้อตัวละ 1,000 บาท เพราะเป็นแบรนด์ดังที่คนคาดว่าคอลเลคชั่นหน้าจะปังมาก
การซื้อร้าน B ไม่ได้แปลว่าผิดนะ แต่เราต้องมั่นใจว่าอนาคตมันจะ “ปัง” จริงๆ ตามที่คนคาดหวัง!
2. P/BV Ratio (Price-to-Book Value Ratio): วัดความคุ้มค่าจาก “สินทรัพย์”
P/BV Ratio คืออะไร?
ถ้า P/E มองที่ “กำไร” P/BV จะมองที่ “มูลค่าทางบัญชี” หรือพูดง่ายๆ คือ “ส่วนของเจ้าของ” นั่นเอง มันบอกเราว่า ราคาหุ้นที่เราจ่ายไปเนี่ย มันแพงกว่า “มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ” ของบริษัทกี่เท่า
สูตรคำนวณ:
P/BV = ราคาหุ้นต่อหุ้น (Price) / มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (Book Value Per Share)
แปลว่าอะไร? เก็ตง่ายๆ
- P/BV > 1: หมายความว่าเราจ่ายเงินซื้อหุ้นแพงกว่ามูลค่าสินทรัพย์จริงของบริษัท เหตุผลก็คล้ายๆ P/E คือนักลงทุนอาจจะมองเห็นศักยภาพที่มองไม่เห็นในบัญชี เช่น ความแข็งแกร่งของแบรนด์, เทคโนโลยี, หรือทีมผู้บริหาร
- P/BV < 1: หมายความว่าเราจ่ายเงินซื้อหุ้น “ถูกกว่า” มูลค่าสินทรัพย์ของบริษัทซะอีก! เหมือนถ้าบริษัทเจ๊งวันนี้แล้วขายสินทรัพย์ทั้งหมดทิ้ง ผู้ถือหุ้นอาจจะได้เงินคืนมากกว่าราคาหุ้นที่ซื้อมาด้วยซ้ำ (ในทางทฤษฎีนะ!)
เหมาะกับใคร: P/BV มักจะใช้ได้ดีกับธุรกิจที่มีสินทรัพย์เยอะๆ จับต้องได้ เช่น โรงงาน, ธนาคาร, อสังหาริมทรัพย์ แต่จะไม่ค่อยเหมาะกับบริษัทเทคโนโลยีที่สินทรัพย์ส่วนใหญ่คือ “สมองคน” หรือ “ซอฟต์แวร์”
– Book Value คือ ราคาชิ้นส่วนทั้งหมดรวมกัน (การ์ดจอ, CPU, RAM)
– ราคาหุ้น คือ ราคาที่ร้านขายคอมฯ ตั้งไว้
ถ้า P/BV > 1 ก็เหมือนร้านบวกค่าแบรนด์, ค่าประกอบ, ค่าประกันเข้าไป แต่ถ้า P/BV < 1 ก็เหมือนเราเจอคอมฯ ลดล้างสต็อกที่ราคาถูกกว่าไปซื้อแยกชิ้นมาประกอบเองซะอีก!
3. D/E Ratio (Debt-to-Equity Ratio): สแกนความเสี่ยง “หนี้สิน”
D/E Ratio คืออะไร?
ตัวนี้สำคัญมาก! มันคือเครื่องมือวัด “ความมั่นคง” และ “ความเสี่ยง” ของบริษัท โดยจะบอกเราว่า บริษัทมีหนี้สินเป็นกี่เท่าของส่วนของผู้ถือหุ้น (ทุน)
สูตรคำนวณ:
D/E = หนี้สินรวม (Total Debt) / ส่วนของผู้ถือหุ้น (Total Equity)
แปลว่าอะไร? เก็ตง่ายๆ
- D/E สูง (เช่น > 2 เท่า): แปลว่าบริษัทใช้เงินจากการกู้ยืมมาทำธุรกิจเยอะ มีภาระต้องจ่ายดอกเบี้ยสูง ถ้าเกิดเศรษฐกิจไม่ดี รายได้หด อาจจะหมุนเงินไม่ทันจนเจ๊งได้! มีความเสี่ยงสูง
- D/E ต่ำ (เช่น < 1 เท่า): แปลว่าบริษัทใช้เงินทุนของตัวเองเป็นหลัก มีหนี้น้อย ความเสี่ยงต่ำ มีความมั่นคงทางการเงินสูงกว่า
แต่… D/E สูงไม่ได้แย่เสมอไป! บางธุรกิจอย่างโรงไฟฟ้าหรือธนาคาร การมีหนี้เยอะถือเป็นเรื่องปกติ เพราะต้องใช้เงินลงทุนสูง แต่ถ้าเป็นธุรกิจทั่วไป D/E ที่ไม่สูงจนเกินไป (ส่วนใหญ่มองกันว่าไม่ควรเกิน 1.5-2 เท่า) ก็จะสบายใจกว่า
– เพื่อน A (D/E ต่ำ): อยากได้มือถือใหม่ เลยเก็บเงินเองจนครบแล้วค่อยซื้อ ไม่มีหนี้ สบายๆ
– เพื่อน B (D/E สูง): อยากได้มือถือใหม่ เลยไปผ่อน 0% แถมยังไปกู้เงินเพื่อนมาโปะบัตรเครดิตอีก ถ้าเดือนไหนช็อตขึ้นมา บอกเลยว่าชีวิตวุ่นวายแน่นอน!
4. ROE (Return on Equity): วัดความสามารถในการ “ทำกำไร”
ROE คืออะไร?
ถ้าอยากรู้ว่าผู้บริหาร “เก่ง” แค่ไหน ต้องดูตัวนี้! ROE จะบอกเราว่า จากเงินทุนทุกๆ 100 บาทที่ผู้ถือหุ้นลงไป บริษัทสามารถนำไปสร้างผลตอบแทนหรือกำไรกลับคืนมาได้กี่บาท
สูตรคำนวณ:
ROE = (กำไรสุทธิ / ส่วนของผู้ถือหุ้น) x 100
แปลว่าอะไร? เก็ตง่ายๆ
- ROE สูง (เช่น > 15%): ยิ่งสูงยิ่งดี! แปลว่าบริษัทเก่งมาก สามารถเอาเงินทุนไปต่อยอดสร้างกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพสุดๆ
- ROE ต่ำ: แปลว่าบริษัทไม่ค่อยเก่งในการสร้างผลตอบแทนจากเงินทุนที่มีอยู่
สิ่งสำคัญ: ควรดู ROE ที่สูงอย่าง “สม่ำเสมอ” ติดต่อกันหลายๆ ปี (เช่น 3-5 ปี) จะแสดงถึงความเก่งที่แท้จริง ไม่ใช่แค่ฟลุ๊คกำไรดีแค่ปีเดียว
เงินทุน (Equity) คือ เวลาที่เราอ่านหนังสือ 10 ชั่วโมง
– บริษัท A (ROE สูง): อ่าน 10 ชม. ได้เกรด A (4.00) แปลว่าใช้เวลาได้คุ้มค่ามาก
– บริษัท B (ROE ต่ำ): อ่าน 10 ชม. เท่ากัน แต่ได้แค่เกรด C (2.00) แปลว่าประสิทธิภาพในการอ่านยังไม่ดีพอ
เราก็อยากลงทุนกับคนที่เก่งใช่ปะล่ะ?
5. Dividend Yield (อัตราเงินปันผลตอบแทน): วัดผลตอบแทนจาก “เงินปันผล”
Dividend Yield คืออะไร?
สำหรับสายชอบ “เสือนอนกิน” หรืออยากได้ Passive Income ต้องรู้จักตัวนี้เลย! มันคืออัตราผลตอบแทนจาก “เงินปันผล” ที่บริษัทจ่ายให้ผู้ถือหุ้น เทียบกับราคาหุ้นที่เราซื้อมา พูดง่ายๆ คือ ถ้าเราถือหุ้นตัวนี้ไว้เฉยๆ 1 ปี เราจะได้เงินคืนมาฟรีกี่เปอร์เซ็นต์
สูตรคำนวณ:
Dividend Yield = (เงินปันผลต่อหุ้น x 100) / ราคาหุ้น
แปลว่าอะไร? เก็ตง่ายๆ
- Dividend Yield สูง (เช่น > 4-5%): ถือว่าน่าสนใจมาก เพราะแค่ถือไว้ก็ได้ผลตอบแทนดีกว่าเอาเงินไปฝากธนาคารแล้ว! เหมาะกับคนที่ไม่ชอบความเสี่ยงสูงมาก และต้องการกระแสเงินสดสม่ำเสมอ
- Dividend Yield ต่ำ หรือ ไม่มีเลย: อาจจะเป็นเพราะบริษัทกำลังอยู่ในช่วงเติบโตสูง เลยเลือกที่จะไม่จ่ายปันผล แต่เก็บกำไรไว้ไปลงทุนขยายกิจการต่อ (ซึ่งถ้าทำสำเร็จ ราคาหุ้นก็จะโตขึ้นแทน)
บริษัทที่จ่ายปันผลดีและสม่ำเสมอมักจะเป็นบริษัทใหญ่ที่เติบโตเต็มที่แล้ว มีกำไรคงที่ ไม่ค่อยหวือหวามากนัก
ราคาหุ้น คือ เงินต้นที่เราเอาไปฝากธนาคาร
เงินปันผล คือ ดอกเบี้ยที่ธนาคารจ่ายให้เราทุกปี
Dividend Yield สูง ก็เหมือนเราเจอธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยสูงๆ นั่นเอง
เคล็ดลับส่งท้าย: อย่าดูแค่ตัวเดียว!
หัวใจสำคัญที่สุดคือ “ห้ามใช้อัตราส่วนเดียวในการตัดสินใจ!” เด็ดขาด! หุ้นที่ P/E ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน อาจจะมีหนี้สินบานตะไท (D/E สูง) ก็ได้ หรือหุ้นที่ปันผลสูงๆ (High Dividend Yield) อาจจะกำลังมีกำไรลดลงเรื่อยๆ (ROE ต่ำลง) ก็เป็นได้
เราต้องมองภาพรวม เหมือนการต่อจิ๊กซอว์ เอาค่าต่างๆ มาประกอบกันเพื่อทำความเข้าใจเรื่องราวของบริษัทนั้นให้ลึกซึ้งที่สุด และที่สำคัญคือต้องเปรียบเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน และดูแนวโน้มย้อนหลังหลายๆ ปีด้วย
Q&A คลายข้อสงสัยสำหรับนักลงทุน Gen Z
Q: แล้วจะไปหาข้อมูลอัตราส่วนพวกนี้ได้จากที่ไหน?
A: ง่ายมาก! เข้าเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเลย (www.set.or.th) ค้นหาชื่อหุ้นที่สนใจ แล้วเข้าไปที่เมนู “ข้อมูลงบการเงิน/ผลประกอบการ” จะมีสรุปตัวเลขสำคัญๆ พวกนี้ไว้ให้ครบเลย หรือจะดูผ่านแอป Settrade Streaming ที่เราใช้ซื้อขายหุ้นก็ได้เหมือนกัน
Q: ถ้าเจอหุ้นที่ P/E ติดลบ มันหมายความว่าอะไร?
A: P/E ติดลบ แปลว่าบริษัทนั้น “ขาดทุน” จ้า (เพราะค่า E หรือ Earnings มันติดลบ) ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าบริษัทขาดทุน เราจะไม่ดูค่า P/E แต่จะไปดูตัวอื่นแทนเพื่อประเมินสถานการณ์
Q: ต้องมีเงินเยอะแค่ไหนถึงจะเริ่มลงทุนในหุ้นได้?
A: ยุคนี้สบายมาก! ไม่ต้องมีเงินเป็นหมื่นเป็นแสนก็เริ่มได้ บางโบรกเกอร์ไม่มีขั้นต่ำในการฝากเงิน เราสามารถเริ่มซื้อหุ้นได้ทีละ 100 หุ้น ซึ่งหุ้นบางตัวราคาแค่ไม่กี่บาท ใช้เงินหลักร้อยก็เป็นเจ้าของกิจการได้แล้ว! หรือจะเริ่มจากการออมหุ้น (DCA) เดือนละ 500-1,000 บาทก็ได้เหมือนกัน
Q: มือใหม่แบบเราๆ ควรเริ่มจากหุ้นประเภทไหนดี?
A: แนะนำให้เริ่มจากหุ้นในกลุ่ม SET50 หรือ SET100 ก่อนเลย เพราะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ 50-100 อันดับแรกของไทย มีพื้นฐานแข็งแกร่ง คนรู้จักเยอะ สภาพคล่องสูง (ซื้อง่ายขายคล่อง) และมีความผันผวนน้อยกว่าหุ้นเล็กๆ ทำให้เราค่อยๆ เรียนรู้ตลาดไปได้แบบไม่ใจหายใจคว่ำเกินไป
บทสรุป: ก้าวแรกสู่การเป็นนักลงทุนที่มีคุณภาพ
เป็นไงบ้างทุกคน? 5 อัตราส่วนทางการเงินนี้ไม่ยากอย่างที่คิดเลยใช่มั้ย? มันอาจจะดูเหมือนตัวเลขเยอะแยะในตอนแรก แต่พอเราเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ของมันแล้ว บอกเลยว่ามันคืออาวุธชั้นดีที่จะช่วยให้เราลงทุนอย่างมั่นใจและปลอดภัยขึ้นเยอะ
จำไว้ว่านี่เป็นแค่ “ก้าวแรก” ในโลกของการลงทุนที่กว้างใหญ่นะ ยังมีอะไรให้เรียนรู้อีกเยอะ แต่การเริ่มต้นด้วยพื้นฐานที่ถูกต้องและแข็งแรงแบบนี้ จะทำให้เส้นทางการเป็นนักลงทุนของเรายั่งยืนและสนุกแน่นอน!
สู้ๆ นะ ว่าที่นักลงทุน Gen Z ทุกคน!
“`
















