แกะงบการเงิน 2025: 5 จุดสำคัญที่นักลงทุน (อยาก) เก่ง ต้องรู้!
เขียนโดย: รุ่นพี่คณะบัญชีฯ ที่อินเรื่องลงทุน
ฮัลโหลชาว Gen Z และน้องๆ วัยมัธยมทุกคน! พี่เป็นนักศึกษาที่กำลังเรียนอยู่มหา’ลัย แล้วก็อินเรื่องการลงทุนมากๆ คนหนึ่งเลยล่ะ วันนี้อยากจะมาแชร์เรื่องที่ดูเหมือนจะ ‘โคตรยาก’ และ ‘น่าเบื่อ’ อย่าง “การวิเคราะห์งบการเงิน” ให้กลายเป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย เหมือนเรากำลังส่องโปรไฟล์ใครซักคนก่อนจะตัดสินใจคบหาดูใจด้วยเลยแหละ
หลายคนอาจจะคิดว่า เฮ้ย! อายุแค่นี้เอง ต้องรู้เรื่องพวกนี้แล้วเหรอ? บอกเลยว่า “ใช่!” ยิ่งเรารู้เร็ว เราก็ยิ่งได้เปรียบ การลงทุนไม่ใช่เรื่องของคนแก่หรือคนรวยอีกต่อไปแล้ว มันคือทักษะการเอาตัวรอดในโลกอนาคตเลยนะ และหัวใจของการลงทุนให้ไม่ ‘เจ๊ง’ ก็คือการอ่าน ‘งบการเงิน’ ให้ออกนี่แหละ
โดยเฉพาะในปี 2025 ที่โลกหมุนเร็วมาก มีทั้ง AI, เทรนด์รักษ์โลก, สังคมผู้สูงวัย การเลือกบริษัทที่จะเอาเงินเก็บค่าขนมของเราไปลงด้วยเนี่ย ต้องดูให้ลึกกว่าแค่ ‘ชื่อเสียง’ หรือ ‘เพื่อนบอกว่าดี’ วันนี้พี่เลยสรุปมาให้เน้นๆ 5 จุดสำคัญ ที่ต้องเช็กในงบการเงินปี 2025 รับรองว่าอ่านจบแล้วจะรู้สึกเหมือนเลเวลอัพ! พร้อมแล้วก็ไปลุยกันเลย!
จุดที่ 1: การเติบโตของรายได้ (Revenue Growth) – บริษัทนี้ยัง ‘ปัง’ อยู่มั้ย?
คิดง่ายๆ เลยนะ รายได้ก็เหมือน ‘ยอดขาย’ ของร้านค้า ถ้าอยากให้ร้านอยู่รอดและเติบโต ยอดขายก็ต้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ใช่ปะ? บริษัทในตลาดหุ้นก็เหมือนกัน สิ่งแรกที่เราต้องส่องเลยคือ “รายได้รวม (Total Revenue)” มันโตขึ้นจากปีที่แล้ว (Year-on-Year) หรือไตรมาสที่แล้ว (Quarter-on-Quarter) หรือเปล่า
ทำไมมันสำคัญ?
- บ่งบอกความต้องการของตลาด: ถ้ารายได้โต แสดงว่าสินค้าหรือบริการของเขายังเป็นที่ต้องการของคน ยังมีคนยอมจ่ายเงินซื้อง่ายๆ คือ “ยังขายได้” นั่นเอง
- สัญญาณของสุขภาพที่ดี: บริษัทที่รายได้โตต่อเนื่อง เหมือนคนสุขภาพดีที่กินข้าวได้เยอะ มีแรงไปทำอะไรต่อได้อีกเยอะ
- ศักยภาพในอนาคต: การเติบโตของรายได้เป็นเหมือนเชื้อเพลิงที่จะทำให้บริษัทขยายกิจการ, วิจัยพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ได้ในอนาคต
เช็กยังไงในปี 2025?
เข้าไปในเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ค้นหาชื่อหุ้นที่สนใจ แล้วเข้าไปที่เมนู “ข้อมูลงบการเงิน/ผลประกอบการ” เราจะเห็นตัวเลขรายได้ย้อนหลังเป็นปีๆ หรือเป็นไตรมาสเลย
Pro-Tip 2025: อย่าดูแค่ตัวเลข! ต้องไปหาอ่าน ‘คำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ (MD&A)’ ด้วยว่ารายได้ที่โตเนี่ย มันโตมาจากอะไร?
- โตเพราะขายของได้มากขึ้นจริงๆ (Organic Growth) <– อันนี้ดีมาก!
- โตเพราะขึ้นราคาสินค้า (ต้องดูว่าลูกค้ายังซื้ออยู่มั้ย)
- โตเพราะไปซื้อกิจการอื่นมา (ต้องดูว่าซื้อมาแล้วคุ้มรึเปล่า)
- โตเพราะเทรนด์ใหม่ๆ เช่น บริษัทพลังงานที่หันมาทำโรงไฟฟ้าสะอาดแล้วรายได้พุ่ง หรือบริษัทที่นำ AI มาใช้แล้วลดต้นทุน เพิ่มยอดขายได้
เปรียบเทียบง่ายๆ: เหมือนเช็กยอด Follower ของ IG ดาราคนโปรด เราต้องดูว่ายอดฟอลที่เพิ่มขึ้น มาจากคอนเทนต์ที่ดีจริงๆ หรือมาจากการซื้อโฆษณาอย่างเดียว การเติบโตที่มาจากคุณภาพ (Organic) ย่อมดีกว่าเสมอ!
จุดที่ 2: อัตรากำไร (Profit Margin) – ขายดีแล้วเหลือเงินเท่าไหร่?
เคยเห็นร้านที่คนต่อคิวเยอะๆ แต่สุดท้ายเจ๊งมั้ย? นั่นเพราะ ‘รายได้’ เยอะ แต่ ‘กำไร’ อาจจะไม่มีเลยก็ได้! จุดนี้แหละที่สำคัญมากๆ เราต้องดูว่าหลังจากหักต้นทุนทุกสิ่งอย่างแล้ว บริษัทเหลือเงินเข้ากระเป๋าจริงๆ เท่าไหร่ ซึ่งเราจะดูผ่านสิ่งที่เรียกว่า “อัตรากำไร”
ตัวที่ต้องรู้จักมี 2 ตัวหลักๆ:
- อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin): บอกเราว่า “รายได้ – ต้นทุนสินค้าโดยตรง” เหลือเท่าไหร่ คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของรายได้ มันบอกถึงความสามารถในการควบคุมต้นทุนการผลิตและพลังในการตั้งราคาขาย ถ้า Margin นี้สูง แสดงว่าบริษัทตั้งราคาขายได้ดี หรือมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าคู่แข่ง
- อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin): อันนี้คือ “ตัวจบ” เลย! มันคือรายได้หักค่าใช้จ่ายทุกอย่างในโลกหล้า ทั้งต้นทุนสินค้า, ค่าจ้างพนักงาน, ค่าการตลาด, ค่าเช่าออฟฟิศ, ดอกเบี้ย, ภาษี… เหลือเป็นกำไรสุทธิกี่เปอร์เซ็นต์ ตัวเลขนี้ยิ่งสูงยิ่งดี แปลว่าบริษัทบริหารจัดการเก่งมาก
เช็กยังไงในปี 2025?
ในหน้างบการเงินที่เราดูนั่นแหละ มันจะมีบรรทัดบอก “กำไรขั้นต้น” และ “กำไรสุทธิ” เราก็แค่เอาตัวเลขนั้นมาหารด้วย “รายได้รวม” แล้วคูณ 100 ก็จะได้เป็นเปอร์เซ็นต์ออกมา
Pro-Tip 2025: ในยุคที่เงินเฟ้อสูง ค่าแรงแพงขึ้น พลังงานราคาผันผวน บริษัทไหนที่ยังรักษาหรือเพิ่มอัตรากำไรได้ ถือว่า “โคตรเก่ง” เลยนะ มันอาจจะหมายความว่า:
- มี Brand Loyalty สูง: สามารถขึ้นราคาสินค้าได้ โดยที่ลูกค้าไม่หนีไปไหน (นึกถึง iPhone)
- มีการบริหารต้นทุนที่ดีเยี่ยม: อาจจะใช้เทคโนโลยีหรือ AI เข้ามาช่วยลดต้นทุนการผลิตหรือการดำเนินงาน
- เป็นธุรกิจผูกขาดนิดๆ: มีคู่แข่งน้อยราย ทำให้มีอำนาจในการตั้งราคา
เปรียบเทียบง่ายๆ: เราได้เงินค่าขนมมาเดือนละ 3,000 บาท (รายได้) แต่ต้องจ่ายค่าเดินทาง ค่าข้าว ค่าชีทเรียน 2,500 บาท (ต้นทุน) เราจะเหลือกำไรสุทธิ 500 บาท อัตรากำไรสุทธิของเราคือ (500 / 3,000) * 100 = 16.67% ถ้าเดือนไหนเราประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น หรือหางานพิเศษได้เพิ่มโดยต้นทุนเท่าเดิม อัตรากำไรของเราก็จะสูงขึ้นนั่นเอง
จุดที่ 3: กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (Cash Flow from Operations) – มีเงินสดจริงในมือมั้ย?
นี่คือจุดที่นักลงทุนมือใหม่พลาดบ่อยที่สุด! บางทีเราเห็นในงบว่าบริษัทมี “กำไร” เป็นร้อยล้าน แต่ทำไมบริษัทถึงเจ๊งได้? คำตอบคือ… บริษัทอาจจะไม่มี “เงินสด” จริงๆ ก็ได้
งงล่ะสิ? อธิบายง่ายๆ กำไรทางบัญชี คือการบันทึกรายได้เมื่อ “ขายของได้” แม้จะยังไม่ได้รับเงินสดก็ตาม (เรียกว่า ‘ลูกหนี้การค้า’) เช่น ขายของให้ร้านสะดวกซื้อไป 1 ล้านบาท บัญชีจะบันทึกว่ามีรายได้ 1 ล้านบาทแล้ว แต่ร้านสะดวกซื้ออาจจะยังไม่จ่ายเงินสดทันที อาจจะขอเครดิต 30-60 วัน
ถ้าบริษัทมีแต่ “กำไรในกระดาษ” แต่ไม่มีเงินสดจริงเข้ามา ก็จะไม่มีเงินไปจ่ายค่าจ้างพนักงาน, จ่ายหนี้ธนาคาร, หรือซื้อวัตถุดิบ สุดท้ายก็ล้มได้เหมือนกัน
ทำไมมันสำคัญ?
- เงินสดคือเส้นเลือดใหญ่: ไม่มีเงินสด ก็เหมือนร่างกายไม่มีเลือดหล่อเลี้ยง ทุกอย่างจะหยุดชะงัก
- ปลอมแปลงยาก: ตัวเลขกำไรอาจจะตกแต่งทางบัญชีได้บ้าง แต่กระแสเงินสดมันคือเงินที่เข้า-ออกบัญชีธนาคารจริงๆ ปลอมยากกว่าเยอะ
- ตัวชี้วัดความแข็งแกร่งที่แท้ทรู: บริษัทที่มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวกสม่ำเสมอ คือบริษัทที่แข็งแกร่งจริง
เช็กยังไงในปี 2025?
เราต้องไปดู “งบกระแสเงินสด” (Statement of Cash Flows) แล้วมองหาบรรทัดที่เขียนว่า “กระแสเงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงาน” (Net cash flow from operating activities) ตัวเลขนี้ควรจะเป็น “บวก” และที่ดีที่สุดคือควรจะใกล้เคียงหรือมากกว่า “กำไรสุทธิ” ด้วยซ้ำ
Pro-Tip 2025: ในยุคที่ดอกเบี้ยยังสูง การกู้เงินจากธนาคารมีต้นทุนแพง บริษัทที่มีเงินสดในมือเยอะๆ จากการดำเนินงานของตัวเอง จะได้เปรียบมาก เพราะสามารถนำเงินนั้นไปลงทุนต่อยอดได้เลยโดยไม่ต้องไปกู้ใครให้เสียดอกเบี้ยแพงๆ
จุดที่ 4: โครงสร้างหนี้สิน (Debt Structure) – เป็นหนี้เยอะไปรึเปล่า?
การเป็นหนี้ไม่ใช่เรื่องผิดนะทุกคน! บริษัทใหญ่ๆ ส่วนมากก็กู้เงินมาขยายกิจการกันทั้งนั้น มันเหมือนดาบสองคม ถ้ากู้มาแล้วสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย ก็ถือว่าคุ้ม แต่ถ้ากู้มาเยอะเกินไปจนจ่ายไม่ไหว อันนี้คือสัญญาณอันตราย!
เราจะวัดระดับหนี้สินของบริษัทด้วยอัตราส่วนยอดฮิตที่ชื่อว่า “อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt to Equity Ratio หรือ D/E Ratio)”
สูตรคือ: หนี้สินทั้งหมด (Total Liabilities) / ส่วนของผู้ถือหุ้นทั้งหมด (Total Equity)
แปลว่าอะไร?
- D/E = 1 เท่า: หมายความว่า บริษัทมีหนี้สินเท่ากับส่วนของเจ้าของ (เงินทุนของบริษัทเอง)
- D/E > 1 เท่า: หมายความว่า บริษัทใช้เงินจากการกู้ยืมมากกว่าเงินทุนของตัวเอง มีความเสี่ยงสูงขึ้น
- D/E < 1 เท่า: หมายความว่า บริษัทใช้เงินทุนของตัวเองเป็นหลัก มีความเสี่ยงต่ำ
เช็กยังไงในปี 2025?
ดูใน “งบแสดงฐานะการเงิน” (Statement of Financial Position) จะมีตัวเลข “หนี้สินรวม” กับ “ส่วนของผู้ถือหุ้นรวม” บอกอยู่ เอามาหารกันง่ายๆ เลย
Pro-Tip 2025: ค่า D/E Ratio ที่เหมาะสมจะแตกต่างกันไปในแต่ละอุตสาหกรรมนะ
- ธุรกิจที่ไม่ต้องลงทุนเยอะ เช่น ธุรกิจบริการ, ซอฟต์แวร์ ควรมี D/E ต่ำๆ (ไม่ควรเกิน 1 เท่า)
- ธุรกิจที่ต้องลงทุนสูง เช่น โรงไฟฟ้า, โรงพยาบาล, ธนาคาร อาจจะมี D/E สูงถึง 2-3 เท่า หรือมากกว่านั้นได้ ถือเป็นเรื่องปกติ
สิ่งสำคัญคือต้องเอา D/E Ratio ของบริษัทที่เราสนใจ ไปเทียบกับ “ค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม” และ “คู่แข่ง” ถ้ามันสูงกว่าชาวบ้านเขามากๆ อาจจะต้องระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในภาวะเศรษฐกิจไม่แน่นอนและดอกเบี้ยสูงแบบนี้ บริษัทหนี้เยอะจะเจ็บหนักกว่าเพื่อน!
จุดที่ 5: ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity – ROE) – เอาเงินเราไปทำงอกเงยแค่ไหน?
มาถึงจุดสุดท้ายที่พี่ชอบที่สุด! ถ้าเราเอาเงินไปลงทุนในบริษัท ก็เท่ากับว่าเราเป็น “เจ้าของร่วม” คนหนึ่ง เงินของเราจะถูกนับเป็น “ส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity)” คำถามคือ… ผู้บริหารเอาเงินของเราไปบริหารได้เก่งแค่ไหน? สามารถสร้างผลตอบแทนกลับมาให้เราได้กี่เปอร์เซ็นต์?
นี่คือสิ่งที่ ROE จะบอกเรา
สูตรคือ: กำไรสุทธิ (Net Profit) / ส่วนของผู้ถือหุ้นเฉลี่ย (Average Equity)
ROE บอกเราว่า “ทุกๆ 100 บาทของเงินทุนจากผู้ถือหุ้น บริษัทสามารถสร้างกำไรได้กี่บาท”
ทำไมมันสำคัญ?
- วัดความสามารถผู้บริหาร: ROE สูง แปลว่าผู้บริหารเก่ง ใช้เงินทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพสุดๆ
- บ่งบอกความได้เปรียบในการแข่งขัน: บริษัทที่มี ROE สูงและสม่ำเสมอ (เช่น เกิน 15% ติดต่อกันหลายๆ ปี) มักจะเป็นบริษัทที่มีความได้เปรียบคู่แข่งอย่างยั่งยืน หรือที่ Warren Buffett เรียกว่ามี ‘คูเมือง (Moat)’ ที่แข็งแกร่ง
- ยิ่งสูง ยิ่งดี: แน่นอนว่าเราอยากลงทุนในบริษัทที่เอาเงินเราไปสร้างผลตอบแทนได้สูงๆ อยู่แล้ว
เช็กยังไงในปี 2025?
เว็บของ SET ส่วนใหญ่จะคำนวณค่านี้ไว้ให้แล้วในหน้า “อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ” สบายเราเลย! สิ่งที่เราต้องทำคือ ดูว่าค่า ROE ของบริษัทเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับในอดีต และเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน
Pro-Tip 2025: มองหาบริษัทที่มี ROE สูงกว่า 15% อย่างสม่ำเสมอ และต้องแน่ใจว่า ROE ที่สูงนั้นไม่ได้มาจาก D/E Ratio ที่สูงปรี๊ดด้วยนะ (เพราะการใช้หนี้เยอะๆ ก็มาปั่น ROE ให้สูงขึ้นได้ชั่วคราวเหมือนกัน แต่เสี่ยงมาก) บริษัทที่สมบูรณ์แบบคือบริษัทที่มี ROE สูง และ D/E Ratio ต่ำ นั่นคือสุดยอดหุ้นเติบโตที่ใช้เงินทุนของตัวเองเป็นหลักในการสร้างกำไร!
Q&A เสริมความเข้าใจ สไตล์ AEO (Answer Engine Optimization)
รวบรวมคำถามที่หลายคนชอบสงสัย มาตอบให้เคลียร์ๆ ตรงนี้เลย!
Q: มือใหม่หัดลงทุน ควรเริ่มดูงบการเงินจากตรงไหน?
A: เริ่มจาก “ข้อมูลสรุปทางการเงิน” หรือ “Factsheet” ที่มีอยู่ในเว็บ SET เลยครับ มันจะสรุปตัวเลขสำคัญๆ ทั้ง 5 ข้อที่พี่บอกมาไว้ในหน้าเดียว ทำให้เห็นภาพรวมได้เร็ว ไม่ต้องไปไล่เปิดงบฉบับเต็มทีละไฟล์ซึ่งอาจจะทำให้ท้อไปก่อน
Q: หุ้นที่ดีควรมี ROE เท่าไหร่?
A: ไม่มีตัวเลขตายตัว แต่โดยทั่วไปแล้ว นักลงทุนส่วนใหญ่มองหาบริษัทที่มี ROE สูงกว่า 15% อย่างสม่ำเสมอ เพราะเป็นระดับที่บ่งบอกถึงความสามารถในการทำกำไรที่ยอดเยี่ยมและยั่งยืน แต่ที่สำคัญกว่าคือต้อง ‘สม่ำเสมอ’ และสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมนั้นๆ
Q: ทำไมกระแสเงินสดถึงสำคัญกว่ากำไร?
A: เพราะ “กำไร” เป็นตัวเลขทางบัญชีที่อาจรวมยอดขายที่ยังไม่ได้รับเงินจริง (ลูกหนี้) แต่ “กระแสเงินสด” คือเงินสดจริงๆ ที่บริษัทมีในมือเพื่อใช้จ่ายหนี้, จ่ายเงินเดือน, และลงทุนต่อ บริษัทอาจมีกำไรแต่ขาดเงินสดจนล้มละลายได้ แต่บริษัทที่กระแสเงินสดเป็นบวกตลอดมักจะอยู่รอดได้เสมอ
Q: D/E Ratio สูงเท่าไหร่ถึงเรียกว่าอันตราย?
A: สำหรับธุรกิจทั่วไป D/E Ratio ที่สูงเกิน 2 เท่า อาจเริ่มถือว่ามีความเสี่ยงสูง แต่ทั้งนี้ต้องเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมนั้นๆ ด้วย เช่น ธุรกิจธนาคารอาจมี D/E สูงถึง 10 เท่าก็ยังถือว่าปกติ
Q: ลงทุนปี 2025 ต้องระวังอะไรเป็นพิเศษในการอ่านงบ?
A: ปี 2025 ต้องโฟกัสเรื่อง “ความสามารถในการปรับตัว” เป็นพิเศษครับ ดูว่าบริษัทรับมือกับต้นทุนที่สูงขึ้น (เงินเฟ้อ) ได้ดีแค่ไหนผ่าน ‘อัตรากำไร’ และดู ‘กระแสเงินสด’ ให้ดี เพราะในยุคดอกเบี้ยสูง บริษัทที่มีเงินสดของตัวเองจะได้เปรียบมาก นอกจากนี้ ควรมองหาบริษัทที่ลงทุนในเทคโนโลยี AI หรือความยั่งยืน (ESG) ซึ่งจะสะท้อนออกมาในรายได้ที่เติบโตในอนาคต
บทสรุป: ไม่ต้องเป็นเซียน ก็เซียนได้!
เป็นไงกันบ้างครับกับ 5 จุดเช็กสำคัญในการแกะงบการเงินปี 2025? ไม่ได้ยากอย่างที่คิดเลยใช่มั้ยล่ะ?
การลงทุนมันไม่ใช่การพนันหรือการเดาสุ่ม แต่มันคือการ ‘ทำการบ้าน’ เพื่อทำความรู้จักบริษัทที่เราจะเอาเงินไปร่วมลงทุนด้วยให้ดีที่สุด เหมือนเราจะเลือกคบเพื่อนสนิทซักคน เราก็ต้องดูนิสัยใจคอ ความน่าเชื่อถือของเขาให้ดีก่อน
สรุปอีกครั้งนะ 5 จุดที่ต้องดูคือ:
- รายได้ (Revenue): ยังขายดีอยู่มั้ย?
- อัตรากำไร (Margin): ขายดีแล้วเหลือตังค์รึเปล่า?
- กระแสเงินสด (Cash Flow): มีเงินสดจริงๆ ในมือมั้ย?
- หนี้สิน (Debt): เป็นหนี้เยอะไปจนน่ากลัวรึเปล่า?
- ROE: เอาเงินเราไปบริหารได้เก่งแค่ไหน?
แค่เราเช็ก 5 ข้อนี้เป็นประจำกับหุ้นที่เราสนใจ พี่รับรองเลยว่าสกิลการลงทุนของน้องๆ จะนำหน้าเพื่อนไปหลายขุม และที่สำคัญคือมันจะช่วยลดโอกาสการขาดทุนหนักๆ ได้อย่างมหาศาลเลย ขอให้ทุกคนสนุกกับการเรียนรู้และเติบโตไปพร้อมกับพอร์ตการลงทุนของตัวเองนะครับ!
















