3 งบการเงินฉบับวัยรุ่น: เข้าใจง่ายๆ ใน 15 นาที!
วันนี้จะมาชวนคุยเรื่องที่ฟังดูเหมือนจะโคตรจริงจังอย่าง “งบการเงิน” แต่เชื่อพี่เถอะว่ามันไม่ได้น่ากลัวเหมือนชื่อเลยสักนิด!
เคยสงสัยมั้ยว่าบริษัทใหญ่ๆ อย่าง Apple, Tesla หรือแม้แต่ร้านคาเฟ่หน้าปากซอย เขารู้ได้ยังไงว่าตัวเอง “รวยขึ้น” หรือ “จนลง”? เขาวัดผลความสำเร็จกันยังไง? คำตอบทั้งหมดซ่อนอยู่ในเอกสาร 3 ฉบับที่เรียกว่า งบกำไรขาดทุน, งบดุล, และงบกระแสเงินสด นี่แหละ
บทความนี้พี่จะย่อยเรื่องยากๆ ให้กลายเป็นเรื่องง่ายเหมือนอ่านการ์ตูน เหมือนมีรุ่นพี่มานั่งติวให้ตัวต่อตัวเลย พร้อมแล้วก็ไปลุยกัน!
ก่อนอื่น… ทำไมเราต้องแคร์เรื่องงบการเงินด้วย?
บางคนอาจจะคิดว่า “เรายังเรียนอยู่เลย จะไปยุ่งเรื่องงบบริษัททำไม?” พี่อยากจะบอกว่าความรู้เรื่องนี้มันเจ๋งกว่าที่คิดเยอะนะ!
- อยากเปิดร้านขายของออนไลน์? ต้องรู้สิว่ากำไรหรือขาดทุน!
- อยากลงทุนในหุ้น? ถ้าอ่านงบไม่เป็น ก็เหมือนสุ่มเลือกแบบหลับตาเลยนะ
- อยากทำงานในบริษัทดีๆ? การเข้าใจภาพรวมการเงินของบริษัท ทำให้เราดูโปรขึ้นเยอะ!
- แค่อยากฉลาดขึ้น? เรื่องเงินเป็นทักษะชีวิตที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งเลยล่ะ
โอเค เกริ่นมาพอแล้ว เรามาทำความรู้จักกับพระเอกทั้ง 3 ของเรากันดีกว่า!
1. งบกำไรขาดทุน (Income Statement): “สมุดพก” ของธุรกิจ
จำสมุดพกตอนประถมได้มั้ย? ที่มันจะบอกว่าเทอมนี้เราได้เกรดอะไรบ้าง… งบกำไรขาดทุนก็ทำหน้าที่คล้ายๆ กันเลย มันคือรายงานที่บอกว่า ในช่วงเวลาหนึ่งๆ (เช่น 1 เดือน, 3 เดือน, หรือ 1 ปี) ธุรกิจนั้นทำผลงานเป็นยังไง… กำไร หรือ ขาดทุน?
สูตรของมันง่ายแบบสุดๆ คือ:
มาดูตัวอย่างกันดีกว่า!
ตัวอย่าง: ร้านขายเสื้อยืดออนไลน์ “TeenStyle”
สมมติว่าเรากับเพื่อนเปิดร้านขายเสื้อยืดออนไลน์ชื่อ “TeenStyle” ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา
- รายได้: เราขายเสื้อไป 100 ตัว ตัวละ 300 บาท รายได้รวม = 100 x 300 = 30,000 บาท
- ค่าใช้จ่าย:
- ต้นทุนค่าเสื้อ (ซื้อมาจากโรงงาน) 100 ตัว ตัวละ 150 บาท = 15,000 บาท
- ค่าแพ็กของ + ค่าส่ง = 3,000 บาท
- ค่ายิงแอดโปรโมทร้านในโซเชียลมีเดีย = 2,000 บาท
- ค่าใช้จ่ายรวม = 15,000 + 3,000 + 2,000 = 20,000 บาท
ดังนั้น กำไรของร้าน TeenStyle ในเดือนมกราคม คือ:
30,000 (รายได้) – 20,000 (ค่าใช้จ่าย) = 10,000 บาท (กำไร)
เย้! เดือนนี้ร้านเรามีกำไร! เห็นมั้ยว่างบกำไรขาดทุนมันช่วยตอบคำถามสำคัญว่า “ช่วงที่ผ่านมา… เราทำเงินได้จริงมั้ย?”
Key takeaway: งบกำไรขาดทุน บอก “ผลการดำเนินงาน” ใน “ช่วงเวลาหนึ่ง”
2. งบดุล (Balance Sheet): “รูปโปรไฟล์” ณ จุดเวลาใดเวลาหนึ่ง
ถ้างบกำไรขาดทุนคือสมุดพกที่บอกผลงานเป็น “ช่วงๆ” งบดุลก็เหมือนการถ่ายรูปโปรไฟล์ หรือการเซลฟี่เลย มันคือการบอกว่า “ณ วันนี้ วันที่นี้… ฐานะการเงินของธุรกิจเราเป็นยังไง?” มันคือภาพนิ่ง ไม่ใช่ภาพเคลื่อนไหว
หัวใจของงบดุลคือสมการที่ ต้องเท่ากันเสมอ! เหมือนตาชั่งที่สองข้างต้องสมดุลกันเป๊ะๆ
ฟังดูยากใช่มั้ย? มาย่อยกันทีละคำ
- สินทรัพย์ (Assets): คือทุกอย่างที่บริษัทเป็นเจ้าของและมีมูลค่า เช่น เงินสดในธนาคาร, สินค้าที่ยังขายไม่ออก (เสื้อยืดในสต็อก), คอมพิวเตอร์, ตึก, ที่ดิน
- หนี้สิน (Liabilities): คือทุกอย่างที่บริษัท “เป็นหนี้” คนอื่น เช่น เงินกู้จากธนาคาร, เงินที่ค้างจ่ายโรงงานผลิตเสื้อ
- ส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity): คือ “ของของเราจริงๆ” หลังจากหักหนี้สินทั้งหมดออกไปแล้ว มันคือเงินทุนที่เราลงไปตอนแรกบวกกับกำไรที่สะสมมา
กลับไปที่ร้าน TeenStyle ของเรา!
ตัวอย่าง: งบดุลของร้าน “TeenStyle” ณ วันที่ 31 มกราคม
สมมติว่า ณ สิ้นเดือนมกราคม เรามาเช็คสถานะร้านกัน
ฝั่งซ้าย: สินทรัพย์ (เรามีอะไรบ้าง)
- เงินสดในบัญชี (จากยอดขาย + เงินทุนเริ่มต้น) = 35,000 บาท
- เสื้อยืดในสต็อกที่ยังไม่ได้ขาย (50 ตัว x ต้นทุน 150) = 7,500 บาท
- คอมพิวเตอร์ที่ใช้ทำงาน = 20,000 บาท
- รวมสินทรัพย์ = 35,000 + 7,500 + 20,000 = 62,500 บาท
ฝั่งขวา: หนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น (เงินทุนมาจากไหน)
- หนี้สิน (เราเป็นหนี้ใคร)
- เงินที่ยืมพ่อแม่มาลงทุนตอนแรก = 5,000 บาท
- รวมหนี้สิน = 5,000 บาท
- ส่วนของผู้ถือหุ้น (ของเราจริงๆ)
- เงินทุนที่เราลงกันเองตอนเปิดร้าน = 47,500 บาท
- กำไรสะสม (จากเดือนมกราคม) = 10,000 บาท
- รวมส่วนของผู้ถือหุ้น = 47,500 + 10,000 = 57,500 บาท
ทีนี้มาเช็คสมการกัน:
สินทรัพย์ (62,500) = หนี้สิน (5,000) + ส่วนของผู้ถือหุ้น (57,500)
62,500 = 62,500
เป๊ะ! สมการสมดุลพอดี! งบดุลช่วยตอบคำถามว่า “ณ ตอนนี้… เราแข็งแกร่งแค่ไหน? มีทรัพย์สินเท่าไหร่ และเป็นหนี้เท่าไหร่?”
Key takeaway: งบดุล บอก “ฐานะการเงิน” ณ “จุดเวลาใดเวลาหนึ่ง”
3. งบกระแสเงินสด (Cash Flow Statement): “รายการเดินบัญชี” ฉบับอัปเกรด
เคยเจอมั้ย? ในงบกำไรขาดทุนบอกว่ามี “กำไร” ตั้งเยอะ แต่พอจะเอาเงินไปจ่ายค่าของ… อ้าว! เงินสดในบัญชีไม่พอ! นี่แหละคือเหตุผลที่เราต้องมีงบกระแสเงินสด
งบนี้ไม่สนเรื่อง “กำไรบนกระดาษ” แต่สนแค่ว่า “เงินสดจริงๆ ไหลเข้า-ไหลออกไปทางไหนบ้าง” ในช่วงเวลาหนึ่งๆ มันคือ “ความจริง” ของสภาพคล่องบริษัท
งบกระแสเงินสดจะแบ่งการไหลของเงินเป็น 3 กิจกรรมหลักๆ:
- กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน (Operating Activities): เงินสดที่ได้มาจากการทำธุรกิจหลักๆ ของเราเลย เช่น เงินที่ลูกค้าจ่ายค่าเสื้อ, เงินที่เราจ่ายค่าวัตถุดิบ, จ่ายเงินเดือน (ถ้ามี)
- กระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุน (Investing Activities): เงินสดที่ใช้ไปกับการซื้อหรือขายสินทรัพย์ระยะยาว เช่น ซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่, ซื้อเครื่องสกรีนเสื้อ, หรือขายรถเก่าของบริษัท
- กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน (Financing Activities): เงินสดที่ได้มาจากการกู้ยืมหรือการเพิ่มทุน หรือจ่ายคืนหนี้ เช่น กู้เงินจากธนาคาร, จ่ายคืนเงินที่ยืมพ่อแม่มา, เจ้าของใส่เงินเพิ่มเข้ามาในร้าน
ร้าน TeenStyle อีกครั้ง!
ตัวอย่าง: งบกระแสเงินสดของร้าน “TeenStyle” ในเดือนมกราคม
-
- (+) เงินสดรับจากการดำเนินงาน:
- รับเงินจากลูกค้าที่ขายเสื้อไป = 30,000 บาท
- (-) เงินสดจ่ายจากการดำเนินงาน:
- จ่ายค่าเสื้อให้โรงงาน = 15,000 บาท
- จ่ายค่าแพ็กของ + ส่งของ = 3,000 บาท
- จ่ายค่ายิงแอด = 2,000 บาท
- สุทธิจากกิจกรรมดำเนินงาน = 30,000 – 15,000 – 3,000 – 2,000 = +10,000 บาท
- (+) เงินสดรับจากการดำเนินงาน:
-
- (-) เงินสดจ่ายจากกิจกรรมลงทุน:
- ซื้อคอมพิวเตอร์ใหม่ = 20,000 บาท
- สุทธิจากกิจกรรมลงทุน = -20,000 บาท
- (-) เงินสดจ่ายจากกิจกรรมลงทุน:
- (+) เงินสดรับจากกิจกรรมจัดหาเงิน:
- เงินทุนที่เราร่วมกันลง = 47,500 บาท
- เงินที่ยืมพ่อแม่มา = 5,000 บาท
- สุทธิจากกิจกรรมจัดหาเงิน = +52,500 บาท
รวมเงินสดสุทธิที่เปลี่ยนแปลงในเดือนนี้:
10,000 (ดำเนินงาน) – 20,000 (ลงทุน) + 52,500 (จัดหาเงิน) = +42,500 บาท
ถ้าตอนต้นเดือนเราไม่มีเงินสดเลย (เงินสดต้นงวด = 0) พอสิ้นเดือนเราก็จะมีเงินสดในมือ 42,500 บาท ซึ่งงบนี้จะช่วยตอบคำถามว่า “เงินสดเราเพิ่มขึ้นหรือลดลง… เพราะอะไร?”
Key takeaway: งบกระแสเงินสด บอก “ที่มาที่ไปของเงินสด” ใน “ช่วงเวลาหนึ่ง”
ความเชื่อมโยงของ 3 งบ: จิ๊กซอว์ที่ลงล็อกกันพอดี!
งบทั้งสามไม่ได้อยู่แยกกันนะ แต่มันเชื่อมโยงกันเป็นภาพใหญ่ภาพเดียวเลย!
- กำไรสุทธิ จาก งบกำไรขาดทุน จะไหลไปรวมเป็น “กำไรสะสม” ในส่วนของผู้ถือหุ้นของ งบดุล
- เงินสดคงเหลือปลายงวด จาก งบกระแสเงินสด จะต้องเท่ากับยอด “เงินสด” ที่เป็นสินทรัพย์ใน งบดุล เป๊ะๆ
การอ่านงบทั้ง 3 ไปด้วยกัน ทำให้เราเห็นภาพรวมของสุขภาพทางการเงินของธุรกิจได้ครบทุกมิติเลยล่ะ!
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) จากวัยเราๆ (AEO – Answer Engine Optimization)
Q1: สรุปแล้วงบไหนสำคัญที่สุด?
A: ไม่มีงบไหนสำคัญที่สุดแค่งบเดียว! มันเหมือนถามว่าระหว่าง “ตา” “หู” “จมูก” อะไรสำคัญสุด คำตอบคือมันสำคัญกันคนละหน้าที่และต้องทำงานด้วยกัน
- อยากรู้ว่า ทำมาค้าขายเก่งมั้ย? → ดู งบกำไรขาดทุน
- อยากรู้ว่า ฐานะมั่นคงมั้ย? → ดู งบดุล
- อยากรู้ว่า เงินสดหมุนเวียนดีมั้ย? → ดู งบกระแสเงินสด
Q2: กำไร กับ เงินสด ต่างกันยังไง? ทำไมกำไรเยอะแต่เงินอาจจะไม่มี?
A: คำถามนี้ดีมาก! นี่คือจุดที่คนสับสนบ่อยสุด
กำไร คือแนวคิดทางบัญชี (รายได้ – ค่าใช้จ่าย) สมมติเราขายของให้เพื่อนแล้วเพื่อนบอก “เดี๋ยวสิ้นเดือนจ่ายนะ” เราจะบันทึกเป็น “รายได้” ทันทีในงบกำไรขาดทุน ทำให้เรามี “กำไร” บนกระดาษแล้ว
แต่ เงินสด คือเงินจริงๆ ในมือ เราจะยังไม่ได้เงินก้อนนั้นมาจนกว่าเพื่อนจะจ่ายจริงๆ ถ้าลูกค้าหลายคนติดเงินเราเยอะๆ บริษัทอาจจะมี “กำไร” สูง แต่ไม่มี “เงินสด” พอไปจ่ายหนี้ก็ได้ ซึ่งอันตรายมาก!
Q3: เราจะไปดูงบการเงินของบริษัทจริงๆ ได้ที่ไหน?
A: สำหรับบริษัทที่อยู่ในตลาดหุ้นไทย เพื่อนๆ สามารถเข้าไปดูได้ฟรีๆ ที่เว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยตรงเลยที่ www.set.or.th แค่พิมพ์ชื่อหุ้นที่สนใจ ก็จะมีข้อมูลให้นักลงทุนดูเพียบ รวมถึงงบการเงินพวกนี้ด้วย ลองเข้าไปกดเล่นดูได้เลย!
Q4: เรื่องพวกนี้เรียนยากมั้ย?
A: ไม่ยากเลยถ้าเราเริ่มจากคอนเซ็ปต์ง่ายๆ แบบที่พี่เล่าให้ฟังนี่แหละ มันคือ Logic พื้นฐานที่ทุกคนเข้าใจได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเทพเลขก็เรียนรู้ได้สบายๆ แค่ต้องเปิดใจและทำความเข้าใจทีละส่วน
บทสรุปส่งท้ายจากรุ่นพี่
เป็นไงบ้าง? พอจะเห็นภาพรวมของงบการเงินทั้ง 3 ตัวกันแล้วใช่มั้ย?
- งบกำไรขาดทุน → สมุดพก บอกผลงานในช่วงเวลาหนึ่ง
- งบดุล → รูปโปรไฟล์ บอกฐานะ ณ จุดเวลาหนึ่ง
- งบกระแสเงินสด → รายการเดินบัญชี บอกที่มาที่ไปของเงินสด
การเข้าใจเรื่องพวกนี้ตั้งแต่วัยเราๆ ถือเป็น แต้มต่อ ที่สำคัญมากๆ ไม่ว่าอนาคตเราจะอยากทำอาชีพอะไร การมีความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) จะทำให้เราตัดสินใจเรื่องต่างๆ ในชีวิตได้ดีขึ้นเสมอ
วันนี้อาจจะยังไม่ต้องเข้าใจลึกซึ้งทุกรายละเอียด แค่รู้ว่าแต่ละงบทำหน้าที่อะไรและบอกอะไรเราบ้าง ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว! ลองเอาไปคุยกับเพื่อนๆ หรือลองเปิดงบการเงินของบริษัทที่เราชอบดูเล่นๆ ก็ได้นะ แล้วจะรู้ว่ามันสนุกกว่าที่คิด!