กำไรสุทธิกับการตกแต่งบัญชี: ความจริงหรือภาพลวงตา?

กำไรสุทธิกับการตกแต่งบัญชี: ความจริงหรือภาพลวงตา?

โดย รุ่นพี่คณะบัญชีฯ ที่อยากให้น้องๆ มองตัวเลขเป็น

โลกของธุรกิจก็ไม่ต่างกันเลยเพื่อนๆ บริษัทต่างๆ ก็มี “โปรไฟล์” ของตัวเองเหมือนกัน มันเรียกว่า “งบการเงิน” และรูปที่สวยที่สุดในโปรไฟล์นั้นก็คือ “กำไรสุทธิ (Net Profit)” นั่นเอง ตัวเลขนี้แหละที่บอกว่า “เฮ้! บริษัทเราเจ๋งนะ ทำมาค้าขึ้นนะ มาลงทุนกับเราสิ!”

แต่คำถามสำคัญก็คือ… กำไรที่เห็นสวยหรูน่ะ มันคือความจริง 100% หรือเป็นแค่ภาพลวงตาที่ผ่านการ “แต่ง” มาแล้ว? วันนี้เราจะมาสวมบทนักสืบการเงินกัน ชวนทุกคนมาทำความรู้จักกับ “การตกแต่งบัญชี” หรือ “Window Dressing” แบบเจาะลึกแต่เข้าใจง่ายสุดๆ รับรองว่าอ่านจบแล้วจะมองตัวเลขในข่าวเศรษฐกิจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป!

กำไรสุทธิ: หัวใจสำคัญที่ทุกคนจับจ้อง

เรามาปูพื้นกันก่อนว่า ‘กำไรสุทธิ’ เนี่ยมันคืออะไรกันแน่

ลองนึกภาพว่าเรากับเพื่อนเปิดร้านขายน้ำมะนาวหน้าโรงเรียนนะ

  • รายได้ (Revenue): เงินทั้งหมดที่ได้จากการขายน้ำมะนาว สมมติว่าขายได้ 1,000 บาท
  • ค่าใช้จ่าย (Expenses): เงินที่จ่ายไปเพื่อทำให้ร้านเปิดได้ เช่น ค่ามะนาว ค่าน้ำตาล ค่าน้ำแข็ง ค่าแก้ว สมมติรวม 400 บาท และมีค่าเช่าที่อีก 100 บาท รวมเป็น 500 บาท
  • กำไรสุทธิ (Net Profit): คือเงินที่เหลือจริงๆ หลังจากหักค่าใช้จ่ายทุกอย่างออกหมดแล้ว ในที่นี้คือ 1,000 – 500 = 500 บาท

ง่ายๆ แค่นี้เลย! กำไรสุทธิคือตัวชี้วัดสุดท้ายที่บอกว่าธุรกิจนั้นๆ “ทำมาหากินแล้วเหลือเงินเข้ากระเป๋าจริงๆ เท่าไหร่” มันเลยเป็นตัวเลขที่นักลงทุน, ธนาคาร, หรือแม้กระทั่งพนักงานในบริษัทเองให้ความสำคัญมากที่สุด

“กำไรสุทธิเปรียบเสมือนเกรดเฉลี่ยในใบเกรดของบริษัท ยิ่งสูงก็ยิ่งดูดี แต่… เราจะรู้ได้ยังไงว่าเกรดนั้นไม่ได้มาจากการ ‘ปั่น’ คะแนนในนาทีสุดท้าย?”

Window Dressing: ศาสตร์แห่งการ ‘จัดฉาก’ ตัวเลข

เอาล่ะ มาถึงพระเอกของเราในวันนี้ “Window Dressing” หรือที่แปลตรงตัวว่า “การตกแต่งหน้าร้าน”

มันคือเทคนิคต่างๆ ที่บริษัทใช้เพื่อทำให้งบการเงิน (โดยเฉพาะตัวเลขกำไร) ดูดีกว่าความเป็นจริงในช่วงเวลาสั้นๆ โดยเฉพาะช่วงสิ้นสุดรอบบัญชี (เช่น สิ้นไตรมาส หรือสิ้นปี) เพื่อโชว์ให้นักลงทุนหรือคนนอกเห็น

สิ่งสำคัญที่ต้องขีดเส้นใต้ไว้เลยคือ Window Dressing ส่วนใหญ่ยังไม่ถึงขั้นผิดกฎหมาย! มันเหมือนการเล่นกับ “ช่องว่าง” หรือความยืดหยุ่นของมาตรฐานการบัญชีมากกว่า

ทำไมบริษัทต้อง ‘แต่งบัญชี’?

ก็เหมือนกับที่เราอยากให้โปรไฟล์โซเชียลดูดีนั่นแหละ บริษัทก็มีแรงจูงใจหลายอย่างที่อยากให้ “โปรไฟล์การเงิน” ของตัวเองดูเริ่ดเหมือนกัน

  • ดึงดูดนักลงทุน: ใครๆ ก็อยากลงทุนในบริษัทที่กำไรโตต่อเนื่องจริงมั้ย? ตัวเลขสวยๆ ช่วยทำให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้นได้
  • กู้เงินธนาคารง่ายขึ้น: ธนาคารจะปล่อยกู้ให้บริษัทที่ดูมั่นคงทางการเงิน การมีกำไรดีๆ ก็เหมือนมีเครดิตดี
  • โบนัสผู้บริหาร: ผู้บริหารหลายคนได้โบนัสตามผลประกอบการของบริษัท ถ้ากำไรถึงเป้า โบนัสก้อนโตก็มา!
  • สร้างความเชื่อมั่น: เพื่อรักษาความเชื่อมั่นของลูกค้า คู่ค้า และพนักงานในองค์กร

เปิดตำรา! เทคนิคการแต่งบัญชีที่เจอบ่อยๆ

มาดูกันดีกว่าว่า “ช่างแต่งหน้า” ทางบัญชีเขามีเทคนิคอะไรกันบ้าง เราจะอธิบายโดยใช้ร้านน้ำมะนาวของเราเป็นตัวอย่างนะ จะได้เห็นภาพชัดๆ

1. เร่งรีบปิดการขาย (Accelerating Revenues)

เทคนิคนี้คือการพยายามสร้างรายได้ให้ได้มากที่สุดก่อนจะถึงวันปิดงบพอดีเป๊ะ

  • ตัวอย่างร้านน้ำมะนาว: ปกติเราขายแก้วละ 20 บาท แต่พอใกล้จะสิ้นเดือน เราอยากให้ยอดขายเดือนนี้ดูปังๆ เลยจัดโปร “ซื้อ 1 แถม 1” ในวันสุดท้ายของเดือน ผลคือคนมาซื้อเพียบ! ยอดขาย (รายได้) พุ่งกระฉูดในวันนั้น ทำให้ตัวเลขรายได้รวมของเดือนดูสวยงาม… แต่จริงๆ แล้วกำไรต่อแก้วเราลดลงฮวบเลยนะ
  • ในโลกธุรกิจจริง: บริษัทอาจจะเสนอส่วนลดมหาศาลให้ลูกค้ารายใหญ่ เพื่อให้รีบสั่งซื้อสินค้าล็อตใหญ่ก่อนสิ้นไตรมาส หรืออาจจะส่งของให้ลูกค้าไปก่อนทั้งที่ยังไม่ถึงกำหนดส่ง เพื่อจะได้บันทึกเป็นรายได้ของรอบบัญชีนี้

2. ชะลอค่าใช้จ่าย (Delaying Expenses)

ในเมื่อเพิ่มรายได้ไม่ทันใจ ก็เลื่อนค่าใช้จ่ายออกไปก่อนสิ! กำไรจะได้ดูสูงขึ้น

  • ตัวอย่างร้านน้ำมะนาว: เดือนนี้เราต้องจ่ายค่าเช่าที่ 100 บาท แต่เราไปคุยกับเจ้าของที่ว่า “ขอจ่ายรวบยอดเดือนหน้าได้มั้ย” ถ้าเขาโอเค เท่ากับว่าค่าใช้จ่าย 100 บาทนี้จะยังไม่ถูกบันทึกในเดือนนี้ ทำให้กำไรของเดือนนี้ดูสูงขึ้น 100 บาท! แต่ภาระก็แค่ถูกผลักไปเดือนหน้าอยู่ดี
  • ในโลกธุรกิจจริง: บริษัทอาจจะชะลอการจ่ายเงินให้ซัพพลายเออร์, เลื่อนแผนการซ่อมบำรุงเครื่องจักรครั้งใหญ่ออกไปเป็นต้นปีหน้า, หรือแม้กระทั่งเลื่อนแคมเปญการตลาดที่ต้องใช้เงินเยอะๆ ออกไปก่อน

3. เล่นแร่แปรธาตุกับสินทรัพย์ (Asset Manipulation)

อันนี้จะซับซ้อนขึ้นมาหน่อย แต่เป็นเทคนิคยอดนิยมเลย คือการเปลี่ยนวิธีคิดค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์

  • ตัวอย่างร้านน้ำมะนาว: เราซื้อเครื่องคั้นน้ำมะนาวไฟฟ้ามา 1,200 บาท ตอนแรกเราคิดว่ามันน่าจะใช้ได้ 2 ปี (24 เดือน) เท่ากับว่าเราจะบันทึก “ค่าเสื่อมราคา” หรือค่าใช้จ่ายจากการใช้เครื่องนี้ เดือนละ 1,200 / 24 = 50 บาท แต่พออยากให้กำไรดูดี เราเลยเปลี่ยนใจ บอกว่า “เออ เครื่องนี้น่าจะทนนะ ใช้ได้ 3 ปี (36 เดือน) แหงๆ” ค่าเสื่อมราคาต่อเดือนก็จะเหลือแค่ 1,200 / 36 = 33.33 บาท ทำให้ค่าใช้จ่ายในงบเราลดลงไปเกือบ 17 บาทต่อเดือน!
  • ในโลกธุรกิจจริง: บริษัทใหญ่ๆ ที่มีโรงงาน เครื่องจักร หรืออาคารเยอะๆ การเปลี่ยนแปลง “อายุการใช้งาน” ของสินทรัพย์พวกนี้แค่นิดเดียว ก็ส่งผลให้ค่าใช้จ่าย (ค่าเสื่อมราคา) ลดลงมหาศาล และทำให้กำไรดูพุ่งขึ้นได้ในทันที

4. เทคนิค “Big Bath” (อาบน้ำครั้งใหญ่)

นี่คือเทคนิคขั้นสุดยอด! ถ้าปีไหนมันจะแย่อยู่แล้ว ก็ทำให้มันแย่สุดๆ ไปเลย! แล้วปีหน้าจะได้กลับมาดูดีแบบก้าวกระโดด

  • ตัวอย่างร้านน้ำมะนาว: สมมติปีนี้ฝนตกทุกวัน มะนาวแพง คนไม่ค่อยออกมาซื้อของ เรารู้อยู่แล้วว่าปีนี้ขาดทุนแน่ๆ เราเลยตัดสินใจ “จัดหนัก” ไปเลย คือรวมค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะเกิดในอนาคตมาลงในปีนี้ให้หมด เช่น ค่าซ่อมเครื่องคั้นน้ำที่น่าจะพังปีหน้า, ตัดสินใจโยนแก้วพลาสติกรุ่นเก่าที่ขายไม่ออกทิ้งแล้วบันทึกเป็นขาดทุนทั้งหมด ผลคือปีนี้งบจะออกมา “ขาดทุนยับ” แต่พอปีหน้า ทุกอย่างจะดูสดใสมาก เพราะค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ๆ ถูกเคลียร์ไปหมดแล้ว กำไรก็จะเด้งกลับมาสูงปรี๊ดเหมือนเสกได้
  • ในโลกธุรกิจจริง: มักจะเกิดขึ้นตอนที่มีการเปลี่ยนผู้บริหารคนใหม่ ผู้บริหารคนใหม่จะทำการ “ล้างบาง” บันทึกผลขาดทุนทุกอย่างในปีแรกที่เข้ามา เพื่อที่ว่าปีถัดไป ผลงานของตัวเองจะได้ดูดีขึ้นแบบพลิกฝ่ามือ

เป็นนักสืบการเงิน: 4 สัญญาณเตือนให้เราต้องระวัง!

แล้วเราในฐานะคนนอก จะรู้ได้ยังไงว่าบริษัทไหนกำลัง “แต่งหน้า” อยู่รึเปล่า? ไม่ต้องห่วง เรามีวิธีส่องง่ายๆ เหมือนจับโป๊ะเพื่อนที่แต่งรูปเก่งๆ นั่นแหละ

1. กำไรโต แต่เงินสดหด!

นี่คือสัญญาณเตือนที่ชัดที่สุด! ในงบการเงิน จะมีอีกตัวที่สำคัญไม่แพ้กำไรสุทธิคือ “งบกระแสเงินสด” (Cash Flow Statement) ซึ่งบอกว่าบริษัทมีเงินสดเข้า-ออกจริงๆ เท่าไหร่ ถ้าในงบบอกว่ากำไรเยอะมาก แต่เงินสดจากการดำเนินงานกลับติดลบหรือเพิ่มขึ้นน้อยนิด มันอาจแปลว่าบริษัทขายของได้จริง (บันทึกรายได้ไปแล้ว) แต่ยังเก็บเงินจากลูกค้าไม่ได้เลย หรือที่เรียกว่ามีแต่ “ลูกหนี้การค้า” เต็มไปหมด

2. เปรียบเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน

ถ้าบริษัทน้ำมะนาวอื่นๆ ทุกเจ้าในตลาดบอกว่าปีนี้มะนาวแพงมาก กำไรลดลงกันหมด แต่มีร้านของเราเจ้าเดียวที่ประกาศว่า “กำไรโตสวนกระแส 50%!” แบบนี้ก็น่าสงสัยแล้วว่าเราไปทำอีท่าไหนมาถึงได้เก่งอยู่คนเดียว อาจจะต้องเข้าไปดูรายละเอียดว่ารายได้โตมาจากอะไร หรือค่าใช้จ่ายลดลงเพราะอะไรเป็นพิเศษ

3. อ่าน “หมายเหตุประกอบงบการเงิน”

อันนี้เหมือนการอ่าน “คอมเมนต์ใต้ภาพ” หรือ “แคปชันยาวๆ” ที่เพื่อนเราเขียนอธิบายรูปนั่นแหละ ในงบการเงินจะมีส่วนที่เรียกว่า “หมายเหตุประกอบงบการเงิน” (The Notes to Financial Statements) ซึ่งเป็นส่วนที่คนส่วนใหญ่มักจะข้ามไป แต่มันคือขุมทรัพย์! บริษัทต้องอธิบายว่าใช้นโยบายบัญชีอะไร มีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง เช่น เปลี่ยนวิธีคิดค่าเสื่อมราคาจาก 2 ปีเป็น 3 ปี ถ้าเจออะไรแบบนี้ ก็เป็นสัญญาณว่ากำไรที่เพิ่มขึ้นอาจจะไม่ได้มาจากการดำเนินงานที่ดีขึ้นจริงๆ

4. ระวังรายการ “พิเศษ” หรือ “ครั้งเดียว”

บางทีบริษัทอาจมีกำไรพุ่งสูง เพราะขายที่ดินหรืออาคารเก่าได้ ซึ่งเป็น “กำไรพิเศษที่เกิดขึ้นครั้งเดียว” ไม่ใช่กำไรจากการทำธุรกิจปกติ เราต้องแยกให้ออกว่ากำไรที่เห็นนั้นมาจากความสามารถในการแข่งขันจริงๆ หรือมาจากโชคที่เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวแล้วจบไป

Q&A คลายข้อสงสัยสไตล์เด็กวิทย์-คณิต (และศิลป์-คำนวณ)

Q: สรุปแล้ว “การตกแต่งบัญชี” มันผิดกฎหมายมั้ย?

A: เป็นโซนสีเทาๆ ครับ! ถ้าทำอยู่ในกรอบของมาตรฐานการบัญชี (แค่เลือกใช้วิธีที่ให้ผลลัพธ์ดูดีที่สุด) ก็จะเรียกว่า Aggressive Accounting ซึ่งไม่ผิดกฎหมาย แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เริ่มสร้างตัวเลขปลอมขึ้นมา เช่น สร้างยอดขายที่ไม่มีอยู่จริง หรือซ่อนหนี้สิน แบบนี้จะกลายเป็น Fraudulent Accounting (การฉ้อโกงทางบัญชี) ซึ่งผิดกฎหมายเต็มๆ และมีโทษร้ายแรงมาก

Q: แล้วทำไมถึงมี “ช่องว่าง” ให้บริษัททำแบบนี้ได้ล่ะ?

A: เพราะธุรกิจแต่ละประเภทมีความซับซ้อนไม่เหมือนกันครับ มาตรฐานการบัญชีจึงต้องมีความยืดหยุ่นเพื่อให้ปรับใช้ได้กับทุกธุรกิจ เช่น บริษัทเทคโนโลยีกับบริษัทเกษตรกรรม ย่อมมีวิธีประเมินมูลค่าสินทรัพย์ที่ต่างกัน ความยืดหยุ่นนี่แหละที่กลายเป็นช่องให้บริษัทใช้เพื่อ “เลือก” วิธีที่ทำให้ตัวเองดูดีที่สุดได้

Q: ตัวเลขไหนในงบการเงินที่ “โกหก” ยากที่สุด?

A: เงินสด (Cash) ครับ! เพราะเงินสดคือสิ่งที่จับต้องได้จริง มันคือเงินในบัญชีธนาคารของบริษัทจริงๆ การปลอมแปลงตัวเลขเงินสดยากกว่าการเล่นแร่แปรธาตุกับรายได้หรือค่าใช้จ่ายมาก นี่คือเหตุผลที่นักลงทุนเก่งๆ ถึงให้ความสำคัญกับ “งบกระแสเงินสด” มากเป็นพิเศษ เพราะมันบอกความจริงได้ดีกว่า

Q: แล้วเรื่องพวกนี้มันเกี่ยวกับชีวิตวัยรุ่นอย่างเรายังไง?

A: เกี่ยวมากเลย! 1) มันคือทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) ที่สอนให้เราไม่เชื่ออะไรง่ายๆ และมองหาความจริงเบื้องหลังข้อมูลเสมอ 2) ถ้าเราเริ่มสนใจการออมเงินหรือการลงทุนในอนาคต (เช่น ซื้อหุ้น) ความรู้พวกนี้คือเกราะป้องกันชั้นดีที่จะไม่ให้เราตกเป็นเหยื่อของบริษัทที่ดูดีแต่เปลือก 3) มันทำให้เราเข้าใจโลกเศรษฐกิจและข่าวสารต่างๆ ได้ลึกซึ้งขึ้นเยอะเลยนะ!

สรุป: มองให้ลึกกว่าแค่ตัวเลขที่โชว์

กลับมาที่คำถามตั้งต้นของเรา “กำไรสุทธิคือความจริงหรือภาพลวงตา?” คำตอบก็คือ… มันเป็นความจริงที่ถูกจัดวางอย่างดี มันไม่ใช่เรื่องโกหกทั้งหมด แต่ก็ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด 100% เช่นกัน

การตกแต่งบัญชีก็เหมือนการใช้ฟิลเตอร์ในไอจี มันทำให้ภาพดูสวยขึ้น น่าดึงดูดขึ้น แต่ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าคนในรูปก็คือคนเดิม หน้าที่ของเราในฐานะ “ผู้เสพข้อมูล” คือต้องรู้เท่าทัน แยกแยะให้ออกว่าส่วนไหนคือเนื้อแท้ และส่วนไหนคือฟิลเตอร์ที่ถูกใส่เข้ามา

อย่ากลัวตัวเลข อย่ากลัวงบการเงินครับเพื่อนๆ มันไม่ได้ยากอย่างที่คิด แค่เราต้องหัดตั้งคำถาม ช่างสังเกต และมองหาความเชื่อมโยง เหมือนนักสืบที่ค่อยๆ ต่อจิ๊กซอว์ไปทีละชิ้น แล้วเราจะเห็นภาพใหญ่ที่ซ่อนอยู่หลังตัวเลขกำไรสวยๆ ได้เอง!

ผู้จัดทำ อาจารย์ยุทธนา แช่มชูกุล อาจารย์ประจำคณะบัญชี

Most Popular

Categories