ข้อจำกัดที่กำไรสุทธิไม่สะท้อนสภาพคล่องของธุรกิจ

กำไรเยอะ แต่ทำไมหมุนเงินไม่ทัน? ไขข้อสงสัยเรื่อง ‘กำไร’ กับ ‘เงินสด’ ที่วัยรุ่นควรรู้

หวัดดีเพื่อนๆ ทุกคน! เราในฐานะที่เป็นนักศึกษาบริหารฯ ปีโตๆ หน่อย วันนี้มีเรื่องการเงินแบบเข้มๆ แต่จะพยายามย่อยให้เข้าใจง่ายที่สุดมาแชร์กัน เคยสงสัยมั้ยว่าทำไมร้านค้าออนไลน์บางร้านที่ดูขายดี๊ดี… โพสต์ออเดอร์รัวๆ บอกว่าเดือนนี้ “กำไร” เป็นหมื่นเป็นแสน แต่พอถึงสิ้นเดือนกลับมาบ่นว่า “ไม่มีเงินจ่ายค่าของ” หรือ “หมุนเงินไม่ทัน” เฉยเลย?

ปรากฏการณ์นี้แหละ คือหัวใจของบทความวันนี้เลย เราจะมาเจาะลึกถึง ข้อจำกัดที่กำไรสุทธิไม่สะท้อนสภาพคล่องของธุรกิจ กัน บอกเลยว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวนะ ใครที่ฝันอยากมีธุรกิจของตัวเอง หรือแค่จะจัดการเงินค่าขนมให้ดีขึ้น อ่านจบแล้วจะปลดล็อกสกิลการมองเงินไปอีกระดับแน่นอน!

“กำไรคือความคิดเห็น เงินสดคือความจริง” (Profit is an opinion, cash is a fact.) – Alfred Rappaport

ก่อนอื่น มาทวนกันหน่อย: กำไรสุทธิ กับ สภาพคล่อง คืออะไร?

1. กำไรสุทธิ (Net Profit) – พระเอกบนหน้ากระดาษ

พูดง่ายๆ กำไรสุทธิ ก็คือตัวเลขที่เหลือหลังจากเอา รายได้ทั้งหมด มาหักลบกับ ค่าใช้จ่ายทั้งหมด ของธุรกิจในรอบเวลาหนึ่งๆ (เช่น เดือนนึง หรือ ปีนึง) ฟีลเหมือนเกรดเฉลยของเรานั่นแหละ มันเป็นตัวชี้วัดว่าธุรกิจที่เราทำเนี่ย “ทำมาหากินเก่งมั้ย” สามารถสร้างรายได้ได้มากกว่ารายจ่ายรึเปล่า

สูตรเบสิกๆ เลยก็คือ: รายได้ – ค่าใช้จ่าย = กำไรสุทธิ

ถ้าตัวเลขเป็นบวกก็คือมีกำไร ถ้าเป็นลบก็คือขาดทุน ซึ่งการคำนวณแบบนี้เรียกว่าใช้ เกณฑ์คงค้าง (Accrual Basis) คือบันทึกรายได้เมื่อมัน “เกิดขึ้น” (เช่น ส่งของให้ลูกค้าแล้ว) และบันทึกค่าใช้จ่ายเมื่อมัน “เกิดขึ้น” (เช่น ใช้ไฟฟ้าไปแล้ว) โดยไม่สนใจว่าจะได้รับเงินหรือจ่ายเงินไปจริงๆ หรือยัง ตรงนี้แหละคือจุดเริ่มต้นของความสับสนทั้งหมด!

2. สภาพคล่อง (Liquidity) – เงินสดในมือ ที่ใช้ได้จริง

ส่วน สภาพคล่อง หรือที่หลายคนเรียกว่า กระแสเงินสด (Cash Flow) คือเลือดที่หล่อเลี้ยงธุรกิจจริงๆ มันคือความสามารถในการเปลี่ยนสินทรัพย์มาเป็น “เงินสด” เพื่อจ่ายหนี้สินระยะสั้น หรือค่าใช้จ่ายที่มาถึงดิวแบบปุบปับ

ลองนึกภาพตามนะ แกมีฟิกเกอร์ลิมิเต็ดราคา 50,000 บาท (สินทรัพย์) แต่พรุ่งนี้ต้องจ่ายค่าเทอม 20,000 บาท แกจะเอาฟิกเกอร์ไปจ่ายค่าเทอมเลยได้มั้ย? ก็ไม่ได้ถูกปะ แกต้องเอาฟิกเกอร์ไป “ขาย” เพื่อเปลี่ยนเป็น “เงินสด” ก่อน ความเร็วในการเปลี่ยนนี่แหละคือสภาพคล่อง ถ้าในกระเป๋าตังค์แกมีเงินสด 20,000 บาทพอดี อันนี้คือสภาพคล่องสูงปรี๊ด!

ในทางธุรกิจ สภาพคล่องก็คือเงินสดที่พร้อมจ่ายค่าเช่าร้าน จ่ายเงินเดือนพนักงาน จ่ายค่าของให้ซัพพลายเออร์ ถ้าไม่มีเงินสดพวกนี้ ธุรกิจก็ไปต่อไม่ได้ ต่อให้บนกระดาษจะบอกว่ามีกำไรเป็นล้านก็ตาม

จุดไคลแมกซ์! 4 สาเหตุหลักที่ “กำไร” ไม่เท่ากับ “เงินสด”

เอาล่ะ มาถึงส่วนที่สำคัญที่สุด ทำไมบริษัทที่กำไรเยอะๆ ถึงเจ๊งได้? ทำไมร้านเพื่อนเราขายดีแต่ไม่มีเงินจ่าย? นี่คือคำตอบ!

สาเหตุที่ 1: การขายเชื่อ (ลูกหนี้การค้า)

นี่คือตัวการอันดับหนึ่งเลย! การขายเชื่อ คือการที่เราขายของหรือให้บริการลูกค้าไปก่อน แต่ยังไม่ได้รับเงินสดทันที ลูกค้าจะมาจ่ายทีหลัง (เช่น ภายใน 30 วัน, 60 วัน)

  • ในทางบัญชี (มุมมองกำไร): เมื่อเราส่งของให้ลูกค้า เราจะบันทึก “รายได้” ทันที ทำให้ตัวเลข “กำไร” ในงบของเราดูสวยหรูขึ้นมาเลย
  • ในโลกความจริง (มุมมองเงินสด): เงินสดยังไม่เข้ากระเป๋าเราซักบาท! เรามีแต่ “สิทธิ์เรียกร้อง” ให้ลูกค้าจ่ายเงิน ซึ่งเราเรียกว่า ลูกหนี้การค้า (Accounts Receivable)

ตัวอย่างง่ายๆ: ร้านเสื้อออนไลน์ของนาย A เดือนมกราคมขายเสื้อได้ 100 ตัว ตัวละ 500 บาท (ต้นทุนตัวละ 200) โดยให้เพื่อนๆ เครดิตจ่ายสิ้นเดือนกุมภาฯ

  • กำไรเดือนมกราคม: (รายได้ 100×500) – (ต้นทุน 100×200) = 50,000 – 20,000 = กำไร 30,000 บาท (ตัวเลขดูดีเวอร์!)
  • เงินสดเดือนมกราคม: 0 บาท เพราะยังไม่มีใครจ่ายเงินมาเลย แต่ต้องควักเงินสดจ่ายค่าต้นทุนเสื้อไปก่อนแล้ว 20,000 บาทด้วยซ้ำ!

เห็นมั้ยว่า แค่เรื่องขายเชื่อเรื่องเดียว ก็ทำให้ตัวเลขกำไรกับเงินสดในมือสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง ถ้าลูกหนี้เบี้ยวหนี้อีก… หายนะเลยนะนั่น

สาเหตุที่ 2: การสต็อกสินค้า (สินค้าคงคลัง)

สำหรับธุรกิจขายของ สินค้าคงคลัง (Inventory) ก็เหมือนเงินที่จมอยู่ การที่เราซื้อของมาตุนไว้เยอะๆ เพื่อรอขาย มันหมายถึงเราเอา “เงินสด” ไปแลกเป็น “สินค้า” มาเก็บไว้

  • ในทางบัญชี: การซื้อของมาสต็อกยังไม่ถูกนับเป็น “ค่าใช้จ่าย” นะ มันจะถูกนับเป็นค่าใช้จ่ายที่ชื่อว่า “ต้นทุนขาย” ก็ต่อเมื่อสินค้านั้น “ถูกขายออกไปแล้ว”
  • ในโลกความจริง: เงินสดของเราไหลออกจากกระเป๋าไปตั้งแต่วันที่จ่ายเงินให้ซัพพลายเออร์แล้ว!

ตัวอย่าง: ร้านของนาย A สั่งเสื้อลายใหม่มาสต็อกเพิ่มอีก 500 ตัว เป็นเงิน 100,000 บาท เพื่อเตรียมขายเดือนหน้า

  • กำไร: ยังไม่กระทบ เพราะของยังไม่ได้ขาย ตัวเลขกำไรยังเหมือนเดิม
  • เงินสด: หายวับไป 100,000 บาท ทันทีที่โอนจ่ายค่าเสื้อ!

ถ้าเรากะปริมาณสต็อกผิด ซื้อมาเยอะเกินไปแล้วขายไม่ออก เงินสดก็จะจมอยู่กับของพวกนั้น กลายเป็นของค้างสต็อก ธุรกิจก็จะขาดสภาพคล่องได้ง่ายๆ เลย

สาเหตุที่ 3: ค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่เงินสด (เช่น ค่าเสื่อมราคา)

เอ๊ะ มีด้วยเหรอค่าใช้จ่ายที่ไม่ต้องจ่ายเป็นเงิน? มีสิ! ตัวที่คลาสสิกที่สุดคือ ค่าเสื่อมราคา (Depreciation)

ค่าเสื่อมราคาคือการทยอยตัดมูลค่าของสินทรัพย์ใหญ่ๆ (เช่น คอมพิวเตอร์, รถยนต์, เครื่องจักร) ออกเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละปีตามอายุการใช้งานของมัน

  • ในทางบัญชี: สมมติเราซื้อคอมพิวเตอร์มาทำร้าน 30,000 บาท กะว่าใช้ได้ 3 ปี เราก็จะบันทึก “ค่าเสื่อมราคา” เป็นค่าใช้จ่ายปีละ 10,000 บาท ซึ่งการมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ก็จะไปทำให้ “กำไร” ของเราลดลง (ซึ่งดีนะ เพราะทำให้เราเสียภาษีน้อยลง)
  • ในโลกความจริง: เงินสด 30,000 บาท มันออกจากกระเป๋าเราไปเต็มๆ ตั้งแต่วันแรกที่ซื้อคอมแล้ว! ในปีที่ 2 และ 3 ที่เราบันทึกค่าเสื่อมราคาปีละ 10,000 บาท เราไม่ได้ควักเงินสดจ่ายอีกแล้ว

ดังนั้น ค่าเสื่อมราคาเป็นรายการที่ ลดกำไร แต่ไม่ได้ทำให้เงินสดลดลง (ในงวดนั้นๆ) มันจึงเป็นอีกตัวแปรที่ทำให้ตัวเลขกำไรกับเงินสดไม่ตรงกัน

สาเหตุที่ 4: การจ่ายคืนเงินกู้ (ส่วนของเงินต้น)

เวลาเราไปกู้เงินมาทำธุรกิจ ตอนจ่ายคืน มันจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ “ดอกเบี้ย” กับ “เงินต้น”

  • “ดอกเบี้ย” จะถูกนับเป็น ค่าใช้จ่าย ในการคำนวณกำไร
  • แต่ “เงินต้น” ที่เราจ่ายคืน ไม่ถูกนับเป็นค่าใช้จ่าย! เพราะมันคือการจ่ายคืน “หนี้สิน” ที่เรามีอยู่แล้ว

ตัวอย่าง: เรากู้เงินมา 50,000 บาท เดือนนี้ต้องจ่ายคืน 5,500 บาท (เป็นเงินต้น 5,000 + ดอกเบี้ย 500)

  • กำไร: จะถูกหักค่าใช้จ่ายแค่ส่วนของ “ดอกเบี้ย” คือ 500 บาท
  • เงินสด: ไหลออกจากธุรกิจไปเต็มๆ 5,500 บาท!

นี่ก็เป็นอีกหลุมพรางสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเห็นกำไรสวยๆ แต่เงินสดหายไปกับการจ่ายหนี้เงินต้นนั่นเอง

แล้วเราจะดูอะไรแทนล่ะ? รู้จักกับ “งบกระแสเงินสด”

เมื่อ “งบกำไรขาดทุน” ที่โชว์กำไรสุทธิมันมีข้อจำกัดแบบนี้ นักบัญชีและนักการเงินเลยต้องมีฮีโร่อีกคนมาช่วย นั่นคือ งบกระแสเงินสด (Statement of Cash Flows)

งบนี้จะโชว์แบบตรงไปตรงมาเลยว่า เงินสด “เข้า” และ “ออก” จากธุรกิจไปกับเรื่องอะไรบ้าง โดยแบ่งเป็น 3 กิจกรรมหลักๆ:

  1. กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน (Operating Activities): เงินสดที่ได้มาจากการทำธุรกิจหลักๆ เลย เช่น เงินสดรับจากลูกค้า, เงินสดจ่ายให้ซัพพลายเออร์, จ่ายเงินเดือนพนักงาน ตัวนี้สำคัญที่สุด! ถ้าเป็นบวกต่อเนื่องแสดงว่าธุรกิจหลักแข็งแกร่งมาก
  2. กระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุน (Investing Activities): เงินสดที่ใช้ไปกับการซื้อหรือขายสินทรัพย์ระยะยาว เช่น ซื้อคอมพิวเตอร์, ซื้อที่ดิน, ขายรถยนต์ของบริษัท
  3. กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน (Financing Activities): เงินสดที่เกี่ยวกับการหาเงินทุนและการจ่ายคืนเจ้าของ/เจ้าหนี้ เช่น กู้เงินจากธนาคาร, จ่ายคืนเงินกู้, เจ้าของใส่เงินเพิ่ม, จ่ายเงินปันผล

การดูงบกระแสเงินสดจะทำให้เราเห็นภาพ “สุขภาพทางการเงินที่แท้จริง” ของธุรกิจได้ชัดเจนกว่าการดูแค่กำไรสุทธิเพียงอย่างเดียว

Q&A ถาม-ตอบ เคลียร์ทุกข้อสงสัยสไตล์เด็กบริหาร (AEO)

Q1: สรุปสั้นๆ กำไรเยอะแต่ไม่มีเงินสดจ่ายหนี้ เกิดจากอะไรได้บ้าง?

A: เกิดจาก 4 สาเหตุหลักคือ 1) ขายของแต่ยังเก็บเงินลูกค้าไม่ได้ (ขายเชื่อ) 2) เอาเงินไปซื้อของมาสต็อกไว้เยอะเกินไป 3) มีรายการทางบัญชีที่หักกำไรแต่ไม่ได้จ่ายเงินสดจริง (เช่น ค่าเสื่อมราคา) และ 4) จ่ายคืนหนี้เงินกู้ (ส่วนของเงินต้น) ซึ่งเป็นการใช้เงินสดแต่ไม่นับเป็นค่าใช้จ่ายทางบัญชีครับ

Q2: งบกำไรขาดทุน กับ งบกระแสเงินสด ควรดูอันไหนมากกว่ากัน?

A: ต้องดูทั้งสองอย่างประกอบกันครับ! งบกำไรขาดทุน บอกเราว่า “ธุรกิจทำมาหากินเก่งแค่ไหน” (Profitability) ส่วน งบกระแสเงินสด บอกเราว่า “ธุรกิจจัดการเงินสดได้ดีแค่ไหน และจะอยู่รอดในระยะสั้นได้หรือไม่” (Liquidity/Solvency) ธุรกิจที่ดีควรจะกำไรดีและมีกระแสเงินสดเป็นบวกจากการดำเนินงานด้วย

Q3: ถ้าจะเริ่มทำธุรกิจเล็กๆ ของตัวเอง ควรสนใจอะไรมากกว่ากันระหว่าง “กำไร” กับ “เงินสด”?

A: สำหรับธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้น “เงินสดคือพระราชา” (Cash is King) เลยครับ ในช่วงแรกการรักษาสภาพคล่องสำคัญกว่าการทำกำไรสูงสุด เพราะถ้าขาดเงินสดหมุนเวียน ธุรกิจจะตายก่อนที่จะได้เห็นกำไรซะอีก เราต้องแน่ใจว่ามีเงินสดพอจ่ายค่าใช้จ่ายที่จำเป็นเสมอ ส่วนกำไรคือเป้าหมายระยะยาวที่เราต้องทำให้ได้เพื่อการเติบโตครับ

Q4: ถ้าเราไม่ได้ทำธุรกิจ เรื่องนี้เอาไปปรับใช้กับชีวิตประจำวันได้ยังไง?

A: ได้แน่นอน! ลองคิดว่า “รายได้” คือเงินค่าขนมที่พ่อแม่ให้ ส่วน “กำไร” คือเงินที่เหลือหลังหักค่าใช้จ่าย แต่ถ้าเราให้เพื่อนยืมเงินไปก่อน (เหมือนขายเชื่อ) หรือเอาเงินไปซื้อของสะสมที่ยังไม่ได้ใช้ (เหมือนสต็อกสินค้า) “เงินสดในกระเป๋า” หรือสภาพคล่องของเราก็จะลดลง ทำให้ไม่มีเงินพอใช้จ่ายเรื่องจำเป็นอื่นๆ ได้ การเข้าใจเรื่องนี้จะทำให้เราบริหารเงินส่วนตัวได้ดีขึ้นมากๆ เลยครับ

บทสรุปส่งท้าย: มองให้ลึกกว่าตัวเลขกำไร

มาถึงตรงนี้ หวังว่าเพื่อนๆ จะเข้าใจกันมากขึ้นแล้วนะครับว่า ทำไมการดูแค่ “กำไรสุทธิ” เพียงอย่างเดียวถึงอันตราย มันเหมือนการตัดสินหนังสือจากปกที่สวยงาม แต่ข้างในอาจจะมีปัญหาซ่อนอยู่เต็มไปหมด การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง “กำไร” กับ “เงินสด” คือก้าวแรกที่สำคัญสุดๆ ในโลกการเงินและธุรกิจ

ไม่ว่าอนาคตเราจะไปเป็นเจ้าของธุรกิจ เป็นนักลงทุน หรือเป็นพนักงานบริษัท การมีสกิลมองทะลุตัวเลขพวกนี้ได้ จะทำให้เราตัดสินใจเรื่องต่างๆ ได้เฉียบคมขึ้นเยอะ เปรียบเสมือนมี “ซูเปอร์พาวเวอร์” ทางการเงินติดตัวไปเลยล่ะ!

Most Popular

Categories