วิธีวิเคราะห์งบการเงินเปรียบเทียบกับคู่แข่งอย่างมืออาชีพในปี 2025

วิธีวิเคราะห์งบการเงินเทียบกับคู่แข่ง ฉบับโปร 2025 (เข้าใจง่าย แม้ไม่ใช่เด็กบัญชี!)

เคยสงสัยมั้ยว่าทำไมคาเฟ่ A ถึงขยายสาขาเอาๆ แต่คาเฟ่ B ที่รสชาติก็ไม่ได้แย่ กลับเงียบเหงา? หรือทำไมบริษัทเกมค่ายนึงออกเกมใหม่มาปังตลอด แต่อีกค่ายกลับดูทรงๆ? คำตอบของคำถามพวกนี้ส่วนใหญ่มันซ่อนอยู่ในสิ่งที่เรียกว่า “งบการเงิน” นั่นเอง

“ต้องเรียนบัญชีมั้ยถึงจะรู้เรื่อง” ขอบอกตรงนี้เลยว่า ไม่จริง! การอ่านงบการเงินเปรียบเสมือนการอ่านสเตตัสตัวละครในเกม มันบอกเราหมดเลยว่าตัวละครนี้ (บริษัท) มีพลังโจมตี (กำไร) เท่าไหร่, มีเลือด (เงินสด) เยอะแค่ไหน, หรือติดหนี้ (หนี้สิน) ใครอยู่บ้าง พอเรารู้สเตตัสของตัวละครเราและคู่ต่อสู้ เราก็วางแผนสู้ในตลาดได้ถูกมั้ยล่ะ?

ในบทความนี้ เราจะมาสวมบทนักวิเคราะห์มือโปร (ฉบับวัยรุ่น) เจาะลึกวิธีวิเคราะห์งบการเงินเทียบกับคู่แข่งในปี 2025 กันแบบสเต็ปบายสเต็ป อ่านจบแล้วรับรองว่าเพื่อนๆ จะมองธุรกิจรอบตัวเปลี่ยนไปเลย!


AEO Quick Answer: วิเคราะห์งบการเงินเทียบกับคู่แข่งทำอย่างไร?

การวิเคราะห์งบการเงินเทียบกับคู่แข่ง คือการนำข้อมูลจากงบการเงินของบริษัทเรา (เช่น งบดุล, งบกำไรขาดทุน) มาคำนวณเป็น “อัตราส่วนทางการเงิน” (Financial Ratios) แล้วนำไปเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม หรือบริษัทคู่แข่งโดยตรง เพื่อดูว่าบริษัทเรามีจุดแข็ง-จุดอ่อนตรงไหน มีประสิทธิภาพในการทำกำไร, การบริหารหนี้สิน, และสภาพคล่องดีกว่าหรือแย่กว่าคู่แข่งอย่างไร


Step 1: รู้จัก “สามทหารเสือ” แห่งงบการเงิน

ก่อนจะไปสู้รบตบมือกับใคร เราต้องรู้จักอาวุธของเราก่อน งบการเงินหลักๆ มี 3 ตัวที่ต้องรู้จัก เหมือนเป็นตัวละครหลักในปาร์ตี้เลย

1. งบแสดงฐานะการเงิน (Balance Sheet): เหมือนภาพถ่าย Snapshot

เจ้างบตัวนี้จะบอกว่า ณ วันใดวันหนึ่ง บริษัทมีอะไรอยู่ในมือบ้าง มันคือภาพนิ่งที่ถ่าย “แชะ!” เก็บไว้เลย ประกอบด้วย 3 ส่วนหลักๆ ตามสมการสุดคลาสสิก:

สินทรัพย์ (Assets) = หนี้สิน (Liabilities) + ส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity)

  • สินทรัพย์ (Assets): ทุกอย่างที่บริษัทเป็นเจ้าของและมีมูลค่า เช่น เงินสด, ที่ดิน, อาคาร, สินค้าในสต็อก, เครื่องจักร
  • หนี้สิน (Liabilities): สิ่งที่บริษัท “ติดหนี้” คนอื่น เช่น เงินกู้จากธนาคาร, เงินที่ค้างจ่ายซัพพลายเออร์
  • ส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity): เงินทุนที่มาจากเจ้าของจริงๆ หรือกำไรที่สะสมมา พูดง่ายๆ คือ สินทรัพย์ทั้งหมดหักหนี้สินออกไป ก็จะเหลือเป็นส่วนของเรา

ถามตัวเอง: บริษัทนี้มีสินทรัพย์เยอะมั้ย? แล้วในสินทรัพย์นั้นเป็นหนี้ซะเท่าไหร่? ถ้าหนี้เยอะกว่าส่วนของเจ้าของมากๆ ก็อาจจะน่าเป็นห่วง เหมือนเรามีของแบรนด์เนมเต็มตัวแต่เป็นเงินที่ยืมเพื่อนมาทั้งหมด!

2. งบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ (Income Statement): เหมือนดู Replay การแข่งขัน

ถ้า Balance Sheet คือภาพนิ่ง Income Statement ก็คือวิดีโอ Replay ที่บอกว่า ในช่วงเวลาหนึ่ง (เช่น 3 เดือน หรือ 1 ปี) บริษัททำมาค้าขายเป็นยังไงบ้าง ชนะหรือแพ้? กำไรหรือขาดทุน?

  • รายได้ (Revenue): เงินทั้งหมดที่หามาได้จากการขายสินค้าหรือบริการ
  • ต้นทุนขาย (Cost of Goods Sold): ต้นทุนตรงๆ ของของที่ขายไป เช่น ค่าวัตถุดิบ
  • กำไรขั้นต้น (Gross Profit): รายได้ – ต้นทุนขาย (บอกว่าตัวสินค้าทำกำไรดีแค่ไหน)
  • ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A): ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับตัวสินค้าโดยตรง เช่น เงินเดือนพนักงาน, ค่าการตลาด, ค่าเช่าออฟฟิศ
  • กำไรสุทธิ (Net Profit/Income): บรรทัดสุดท้ายที่ทุกคนรอคอย! คือกำไรจริงๆ ที่เหลือหลังหักค่าใช้จ่ายทุกอย่างออกหมดแล้ว นี่แหละคือเงินที่เข้ากระเป๋าจริงๆ

ถามตัวเอง: บริษัทขายของเก่งมั้ย (รายได้โตมั้ย)? ควบคุมต้นทุนดีรึเปล่า? สุดท้ายแล้วเหลือกำไรจริงๆ เท่าไหร่?

3. งบกระแสเงินสด (Cash Flow Statement): เหมือนดู Statement บัญชีธนาคาร

งบนี้สำคัญมากๆ เพราะบางทีบริษัทมี “กำไร” ในกระดาษ (ในงบกำไรขาดทุน) แต่ไม่มี “เงินสด” จริงๆ ในมือก็ได้! (เช่น ขายของได้แต่ลูกค้ายังไม่จ่ายเงิน) งบนี้จะบอกว่าเงินสดจริงๆ มันไหลเข้า-ไหลออกจากไหนบ้าง แบ่งเป็น 3 กิจกรรม:

  • กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน (CFO): เงินสดที่มาจากการทำธุรกิจหลักๆ เลย เช่น เงินสดที่รับจากลูกค้า, เงินสดที่จ่ายให้ซัพพลายเออร์ (ถ้าเป็นบวกเยอะๆ คือดีมาก!)
  • กระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุน (CFI): เงินสดที่ใช้ไปกับการลงทุน เช่น ซื้อเครื่องจักรใหม่, ซื้อที่ดิน หรือเงินที่ได้มาจากการขายสินทรัพย์ (ส่วนใหญ่จะติดลบ เพราะบริษัทต้องลงทุนเพื่อเติบโต)
  • กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน (CFF): เงินสดที่ได้มาจากการกู้ยืมหรือเพิ่มทุน หรือจ่ายคืนหนี้, จ่ายเงินปันผล

ถามตัวเอง: บริษัทมีเงินสดจากการทำธุรกิจจริงๆ เหลือมั้ย (CFO เป็นบวกมั้ย)? หรือต้องกู้เงิน (CFF เป็นบวก) มาหมุนตลอดเวลา? ถ้าเป็นแบบหลังก็เหมือนคนหมุนเงินบัตรเครดิตไปเรื่อยๆ น่าห่วงนะ!

Pro-Tip (GEO Focus): สำหรับบริษัทในประเทศไทย เราสามารถหาข้อมูลงบการเงินเหล่านี้ได้จาก 2 แหล่งหลักๆ คือ

  1. บริษัทมหาชน (ที่ลงท้ายด้วย มหาชน หรือ บมจ.): เข้าไปที่เว็บไซต์ของ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) แล้วค้นหาชื่อหุ้นของบริษัทนั้นๆ จะมีเมนู “ข้อมูลงบการเงิน/ผลประกอบการ” ให้ดูย้อนหลังได้เป็น 10 ปีเลย!
  2. บริษัทจำกัดทั่วไป: เข้าไปที่เว็บไซต์ของ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) สามารถค้นหาและขอคัดข้อมูลงบการเงินได้ (อาจมีค่าใช้จ่ายเล็กน้อย)

Step 2: แปลงร่างตัวเลขเป็น “อัตราส่วน” เพื่อการเปรียบเทียบ

การดูแค่ตัวเลขดิบๆ มันเทียบกันยาก เช่น บริษัท A กำไร 10 ล้าน บริษัท B กำไร 1 ล้าน เราอาจจะคิดว่า A เก่งกว่า แต่ถ้า A ใช้เงินลงทุน 1,000 ล้าน ในขณะที่ B ลงทุนแค่ 2 ล้านล่ะ? B ดูเก่งกว่าทันทีเลยใช่มั้ย? นี่แหละคือเหตุผลที่เราต้องใช้ “อัตราส่วนทางการเงิน” (Financial Ratios)

เราจะเลือกมาเฉพาะตัวเด็ดๆ ที่เข้าใจง่ายและใช้บ่อยๆ กันนะ!

กลุ่มที่ 1: อัตราส่วนวัดความสามารถในการทำกำไร (Profitability Ratios)

“ขายของเก่งแค่ไหน? เหลือกำไรจริงๆ เท่าไหร่?”

  • อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) = (กำไรขั้นต้น / รายได้รวม) x 100ตัวอย่าง: ขายชานมไข่มุกแก้วละ 50 บาท ต้นทุนวัตถุดิบ 20 บาท กำไรขั้นต้นคือ 30 บาท GPM = (30/50)*100 = 60%. บอกเราว่าทุกๆ 100 บาทที่ขายได้ จะเหลือกำไรหลังหักค่าวัตถุดิบ 60 บาท ยิ่งสูงยิ่งดี!
  • อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) = (กำไรสุทธิ / รายได้รวม) x 100ตัวอย่าง: จากชานมแก้วเดิม หลังหักค่าเช่าร้าน ค่าจ้างพนักงานแล้ว เหลือเป็นกำไรจริงๆ 5 บาท NPM = (5/50)*100 = 10%. นี่คือตัววัดประสิทธิภาพขั้นสุด ว่าคุมค่าใช้จ่ายเก่งแค่ไหน

กลุ่มที่ 2: อัตราส่วนวัดสภาพคล่อง (Liquidity Ratios)

“มีเงินจ่ายหนี้ระยะสั้นมั้ย? จะช็อตกลางทางรึเปล่า?”

  • อัตราส่วนทุนหมุนเวียน (Current Ratio) = สินทรัพย์หมุนเวียน / หนี้สินหมุนเวียนสินทรัพย์หมุนเวียนคือของที่เปลี่ยนเป็นเงินสดได้ใน 1 ปี (เงินสด, ลูกหนี้, สินค้าคงคลัง) หนี้สินหมุนเวียนคือหนี้ที่ต้องจ่ายใน 1 ปี ค่าที่เหมาะสมคือควร มากกว่า 1 เท่า (ถ้าให้ดีก็ควรจะประมาณ 1.5-2 เท่า) แปลว่ามีสินทรัพย์พร้อมจ่ายหนี้สบายๆ

กลุ่มที่ 3: อัตราส่วนวัดประสิทธิภาพ (Efficiency Ratios)

“บริหารจัดการของในสต็อกได้ดีแค่ไหน?”

  • อัตราการหมุนของสินค้าคงคลัง (Inventory Turnover) = ต้นทุนขาย / สินค้าคงคลังเฉลี่ยบอกว่าใน 1 ปี บริษัทขายของในสต็อกออกไปได้กี่รอบ ยิ่งค่านี้สูงยิ่งดี แปลว่าขายของออกไว ไม่ต้องเก็บของไว้นานจนเก่าหรือตกรุ่น (แต่ถ้าสูงเกินไปก็อาจแปลว่าของขาดสต็อกบ่อยๆ ได้เหมือนกันนะ)

กลุ่มที่ 4: อัตราส่วนวัดภาระหนี้สิน (Leverage/Solvency Ratios)

“บริษัทใช้เงินตัวเองหรือเงินกู้มาทำธุรกิจมากกว่ากัน?”

  • อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E Ratio) = หนี้สินรวม / ส่วนของผู้ถือหุ้นรวมถ้า D/E = 1 เท่า แปลว่ามีหนี้เท่ากับทุน ถ้า D/E = 2 เท่า แปลว่ามีหนี้เป็น 2 เท่าของเงินทุนตัวเอง! ยิ่งค่านี้ต่ำ ยิ่งปลอดภัย เพราะพึ่งพาเงินกู้น้อย แต่ถ้าสูงมากๆ ก็เสี่ยงล้มละลายได้ง่ายถ้าธุรกิจสะดุด

Step 3: ลงสนามจริง! เปรียบเทียบกับคู่แข่งยังไงให้โปร?

ตอนนี้เรามีอาวุธ (ความรู้เรื่องงบและอัตราส่วน) ครบมือแล้ว ก็ถึงเวลาลงสนามจริง!

  1. เลือกคู่แข่งให้ถูกตัว: ต้องเลือกบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน มีขนาดใกล้เคียงกัน และมีโมเดลธุรกิจคล้ายๆ กัน เช่น จะวิเคราะห์ร้านกาแฟ ก็ต้องเทียบกับร้านกาแฟ ไม่ใช่ไปเทียบกับร้านอาหารตามสั่ง
  2. ดึงข้อมูลย้อนหลัง 3-5 ปี: อย่าดูแค่ปีเดียว! การดูข้อมูลย้อนหลังจะทำให้เราเห็น “แนวโน้ม” (Trend) ที่ชัดเจนขึ้น เช่น บริษัท A ปีนี้กำไรลดลง แต่ถ้าดูย้อนหลังจะเห็นว่ากำไรเขาโตมาตลอด 4 ปี การลดลงปีเดียวอาจจะเป็นแค่เหตุการณ์ชั่วคราวก็ได้
  3. สร้างตารางเปรียบเทียบ: ทำตารางง่ายๆ ใน Excel หรือ Google Sheets ใส่ชื่อบริษัทเรา, บริษัทคู่แข่ง A, B, C และค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม (ถ้าหาได้) แล้วก็ใส่อัตราส่วนที่เราคำนวณไว้ลงไปในแต่ละช่อง
  4. วิเคราะห์และหา Story เบื้องหลังตัวเลข: นี่คือหัวใจสำคัญ! อย่าแค่บอกว่า “NPM ของเรา 10% คู่แข่ง 15%” แต่ต้องตั้งคำถามต่อว่า “ทำไม?”
    • ทำไม NPM คู่แข่งสูงกว่า? เขามีแบรนด์ที่แข็งแกร่งกว่าเลยตั้งราคาสูงได้? หรือเขามีเทคโนโลยีที่ช่วยลดต้นทุน?
    • ทำไม D/E Ratio เราต่ำกว่า? เพราะเราไม่กล้ากู้มาขยายธุรกิจรึเปล่า? หรือนโยบายเราเน้นโตแบบค่อยเป็นค่อยไป?
    • ทำไม Inventory Turnover ของคู่แข่งสูงกว่า? เขามีระบบจัดการสต็อกที่ดีกว่า? หรือเขายอมลดราคาล้างสต็อกบ่อยๆ?

มองไปข้างหน้า: เทรนด์การวิเคราะห์ในปี 2025 และอนาคต

โลกเปลี่ยนไป การวิเคราะห์งบการเงินก็ต้องปรับตัวตาม ในปี 2025 และต่อไป การดูแค่ตัวเลขมันไม่พอแล้ว เราต้องมองปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย:

  • ESG (Environmental, Social, Governance): บริษัทใส่ใจสิ่งแวดล้อม, ดูแลพนักงานและสังคม, มีธรรมาภิบาลที่ดีแค่ไหน? สิ่งเหล่านี้กำลังกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนและลูกค้าใช้ตัดสินใจ และมันส่งผลกระทบต่อความยั่งยืนของบริษัทในระยะยาว
  • ข้อมูลที่ไม่ใช่ตัวเลข (Non-Financial Data): เช่น ความพึงพอใจของลูกค้า, ชื่อเสียงของแบรนด์บนโซเชียลมีเดีย, วัฒนธรรมองค์กร ข้อมูลเหล่านี้แม้จะวัดเป็นตัวเลขยาก แต่มันคือตัวบ่งชี้ชั้นดีถึงอนาคตของบริษัท
  • ผลกระทบจาก AI และ Digital Transformation: บริษัทคู่แข่งมีการลงทุนในเทคโนโลยีมากแค่ไหน? สิ่งนี้อาจจะยังไม่เห็นผลในงบการเงินวันนี้ แต่ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า มันอาจจะสร้างความได้เปรียบแบบก้าวกระโดดเลยก็ได้

Q&A ถาม-ตอบ ข้อสงสัยยอดฮิต

Q1: ต้องเรียนสายวิทย์-คณิต หรือบัญชีมั้ย ถึงจะวิเคราะห์งบการเงินเป็น?
A1: ไม่จำเป็นเลย! แค่มีความเข้าใจพื้นฐาน บวก-ลบ-คูณ-หาร และมี Logic ที่ดีก็พอแล้ว ที่สำคัญคือความอยากรู้และช่างสังเกต การวิเคราะห์งบการเงินเป็น “ทักษะ” ที่ใครๆ ก็ฝึกฝนได้ ไม่ใช่แค่ “ความรู้” ในตำรา

Q2: หาข้อมูลงบการเงินของบริษัทในไทย (ที่ไม่ใช่บริษัทมหาชน) ได้จากที่ไหน?
A2: สามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD DataWarehouse) ซึ่งจะรวบรวมข้อมูลงบการเงินของบริษัทจำกัดที่จดทะเบียนในไทยทั้งหมด เราสามารถค้นหาและขอข้อมูลได้ แต่อาจมีค่าใช้จ่ายเล็กน้อยครับ

Q3: ถ้าเจอตัวเลขในงบการเงินที่ไม่เข้าใจ ควรทำยังไง?
A3: ลองดูใน “หมายเหตุประกอบงบการเงิน” (Notes to Financial Statements) ซึ่งจะอยู่ต่อท้ายจากงบหลักๆ มันคือส่วนที่อธิบายรายละเอียดของตัวเลขแต่ละรายการว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร หรือจะลอง Google ชื่อรายการนั้นๆ ก็ได้ เดี๋ยวนี้มีคนอธิบายไว้เยอะแยะเลย

Q4: การวิเคราะห์แบบนี้เอาไปใช้ทำอะไรได้บ้างในชีวิตจริง?
A4: โอ้โห เยอะมาก! ตั้งแต่การตัดสินใจลงทุนในหุ้น, การวิเคราะห์ความมั่นคงของบริษัทที่เราอยากจะไปฝึกงานหรือทำงานด้วยในอนาคต, การประเมินคู่แข่งถ้าเราอยากทำธุรกิจหรือสตาร์ทอัพของตัวเอง หรือแม้กระทั่งเข้าใจข่าวเศรษฐกิจได้ลึกซึ้งขึ้น มันคือสกิลติดตัวที่โคตรเจ๋งเลยล่ะ

สรุป: เปลี่ยนตัวเลขให้เป็นโอกาส

การวิเคราะห์งบการเงินเทียบกับคู่แข่งอาจจะดูน่ากลัวในตอนแรก แต่จริงๆ แล้วมันคือการถอดรหัสเพื่อดู “สุขภาพ” และ “แผนการ” ของธุรกิจ เมื่อเราเข้าใจมัน เราจะไม่ได้มองบริษัทต่างๆ เป็นแค่ชื่อหรือโลโก้อีกต่อไป แต่เราจะเห็นเรื่องราวเบื้องหลัง เห็นจุดแข็ง จุดอ่อน และมองเห็นโอกาสที่คนอื่นมองไม่เห็น

ไม่ต้องรอให้ใครมาสอนในห้องเรียน ลองเริ่มจากบริษัทที่เพื่อนๆ ชื่นชอบหรือสนใจก่อนก็ได้ เช่น บริษัทเกม, แบรนด์เสื้อผ้า, หรือร้านอาหารใกล้บ้าน ลองไปหาข้อมูลงบการเงินของเขามาเปิดดู ลองคำนวณอัตราส่วนง่ายๆ เทียบกับคู่แข่งดู แล้วเพื่อนๆ จะพบว่าโลกของธุรกิจมันน่าสนุกและท้าทายกว่าที่คิดเยอะ!

“`

Most Popular

Categories