เกมพลิก! เจาะลึกกลยุทธ์ตั้งราคาสินค้าด้วย AI ปี 2025 ที่เราต้องรู้ทัน
โลกที่เราซื้อของกันอยู่ทุกวันนี้กำลังจะเปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือเลยล่ะ เคยสงสัยมั้ยว่าทำไมกดดูตั๋วเครื่องบินตอนเช้ากับตอนเย็นราคาไม่เท่ากัน? หรือทำไมค่าส่ง Grab Food ตอนฝนตกถึงแพงขึ้น? แล้วทำไมเพื่อนเราได้โค้ดลดราคาใน Shopee มากกว่าเรา? คำตอบของทั้งหมดนี้ซ่อนอยู่ในคำสองคำ… “ปัญญาประดิษฐ์” หรือ AI นั่นเอง!
วันนี้เราจะมาสวมบทนักสืบดิจิทัลกัน! มาเจาะลึกถึงเบื้องหลังว่าในปี 2025 ที่กำลังจะมาถึงเนี่ย บรรดาแบรนด์ต่างๆ เขาจะใช้ AI มาตั้งราคาสินค้าและบริการได้ฉลาด (และอาจจะน่ากลัว) ขนาดไหน และที่สำคัญที่สุดคือ ในฐานะผู้บริโภคตัวตึงอย่างเรา จะรับมือกับเรื่องนี้ยังไงให้ไม่ตกเป็นเหยื่อการตลาด แถมยังช้อปได้อย่างคุ้มค่าที่สุด! เตรียมตัวให้พร้อมนะ เพราะนี่คือเรื่องที่ใกล้ตัวกว่าที่คิด!
ทำไมการตั้งราคาแบบเดิมๆ ถึงกำลังจะ “ตกยุค”?
ลองนึกภาพร้านค้าแถวบ้านสมัยก่อนนะ การตั้งราคาก็จะแบบง่ายๆ คือ ต้นทุน + กำไรที่อยากได้ = ราคาขาย จบ! อาจจะมีโปรโมชั่นลดราคาตามเทศกาลบ้าง แต่โดยพื้นฐานแล้วราคามันค่อนข้างนิ่ง ซึ่งในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลวิ่งเร็วกว่าจรวด วิธีนี้มันไม่ทันกินแล้วล่ะ เพราะอะไรน่ะเหรอ?
- คู่แข่งเยอะเกินไป: แค่คลิกเดียว เราก็เทียบราคาสินค้าชิ้นเดียวกันจากสิบๆ ร้านใน Lazada หรือ Shopee ได้แล้ว การตั้งราคาโดยไม่ดูคู่แข่งเลยก็เท่ากับรอวันเจ๊ง
- พฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยนเร็ว: วันนี้ฮิตชาชีส พรุ่งนี้อาจจะฮิตอย่างอื่นแทน ของที่เคยขายดีอาจจะขายไม่ออกในพริบตา ถ้าปรับราคาไม่ทันก็ขาดทุนสิ
- ปัจจัยภายนอกเพียบ: แค่ฝนตกในกรุงเทพฯ, มีคอนเสิร์ต K-Pop, หรือมีวันหยุดยาว ราคาสินค้าและบริการบางอย่างก็พร้อมจะเหวี่ยงขึ้นลงได้ทันที การตั้งราคาแบบเดิมๆ มันช้าเกินไป
นี่แหละคือจุดที่ AI ก้าวเข้ามาเป็นพระเอกขี่ม้าขาว (สำหรับธุรกิจ) AI ไม่ได้แค่บวกลบคูณหารเป็น แต่ AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลมหาศาล (Big Data) ได้แบบเรียลไทม์ เพื่อหาราคาที่ “ใช่ที่สุด” ใน “วินาทีนั้นๆ” เลยทีเดียว
เปิดตำรา 4 กลยุทธ์การตั้งราคาด้วย AI ที่จะมาแรงในปี 2025
กลยุทธ์พวกนี้บางอันเราอาจจะเคยเจอแล้ว แต่ในปี 2025 มันจะฉลาดและแพร่หลายมากขึ้นจนเราเจอได้ในทุกอย่างที่ซื้อเลยล่ะ!
1. Dynamic Pricing: ราคาเปลี่ยนได้…ทุกวินาที!
นี่คืออันดับหนึ่งเลย! Dynamic Pricing หรือ การกำหนดราคาแบบพลวัต คือการที่ราคาสินค้าหรือบริการสามารถปรับเปลี่ยนขึ้น-ลงได้ตลอดเวลาแบบอัตโนมัติ ตามปัจจัยต่างๆ เช่น ความต้องการ (Demand), จำนวนสินค้าที่มี (Supply), เวลา, สถานที่, หรือแม้กระทั่งสภาพอากาศ!
ตัวอย่างที่เราคุ้นเคย:
- แอปเรียกรถ (Grab/Bolt): ช่วงเวลาเร่งด่วน, ฝนตก, หรือหลังเลิกงานคอนเสิร์ต ราคาจะพุ่งสูงขึ้น เพราะคนอยากใช้บริการเยอะแต่รถมีจำกัด (Surge Pricing)
- ตั๋วเครื่องบิน/โรงแรม: ยิ่งใกล้วันเดินทางหรือช่วงเทศกาล ราคาก็ยิ่งแพง เพราะคนต้องการเยอะ แต่ถ้าจองล่วงหน้านานๆ หรือเลือกวันธรรมดา ก็จะได้ราคาถูกกว่า
- ตั๋วคอนเสิร์ต: บางระบบอาจปรับราคาตั๋วโซนที่เหลือน้อยให้แพงขึ้นโดยอัตโนมัติ เพราะรู้ว่ายังไงก็มีคนยอมจ่าย
ในปี 2025 เราจะเจออะไร?: ลองจินตนาการถึงซูเปอร์มาร์เก็ตที่ป้ายราคาเป็นจออิเล็กทรอนิกส์ นมที่ใกล้หมดอายุในอีก 2 วัน ราคาอาจจะลดลง 10% ทุกๆ ชั่วโมงโดยอัตโนมัติ หรือร้านกาแฟที่ราคาลาเต้ตอน 8 โมงเช้าแพงกว่าตอนบ่าย 3 เพราะ AI รู้ว่าตอนเช้าคนต้องการคาเฟอีนมากกว่า มันจะละเอียดและเกิดขึ้นได้กับทุกอย่างเลยล่ะ!
2. Personalized Pricing: ราคาพิเศษ…สำหรับเธอคนเดียว
อันนี้น่าสนใจและแอบน่ากลัวนิดๆ Personalized Pricing หรือ การกำหนดราคาเฉพาะบุคคล คือการที่ AI วิเคราะห์ข้อมูลส่วนตัวของเรา เพื่อเสนอราคาที่ไม่เหมือนกับคนอื่น! ใช่แล้ว…เรากับเพื่อนอาจจะเห็นราคาสินค้าชิ้นเดียวกันบนหน้าเว็บไม่เท่ากันก็ได้
AI เอาข้อมูลมาจากไหน? ก็จาก “รอยเท้าดิจิทัล” (Digital Footprint) ของเราทั้งหมดนั่นแหละ:
- ประวัติการซื้อ: เราซื้อของบ่อยแค่ไหน? ชอบซื้อของลดราคาหรือของพรีเมียม?
- พฤติกรรมการท่องเว็บ: เราเคยเข้าไปดูสินค้านี้กี่ครั้ง? ใช้เวลาดูนานแค่ไหน?
- ข้อมูลประชากร: อายุ, เพศ, ที่อยู่ (เช่น คนที่อยู่ย่านสุขุมวิทอาจจะเห็นราคาสูงกว่า)
- อุปกรณ์ที่ใช้: มีการศึกษาพบว่าบางทีคนที่เข้าเว็บผ่าน iPhone อาจจะเห็นราคาสินค้าบางอย่างสูงกว่าคนที่เข้าผ่าน Android! (เพราะมีแนวโน้มที่จะมีกำลังซื้อสูงกว่า)
ตัวอย่างที่เริ่มเห็นแล้ว:
- E-commerce (Shopee/Lazada): การแจกโค้ดส่วนลดที่ไม่เท่ากัน บางคนได้โค้ดส่งฟรี บางคนได้ส่วนลด 15% ขึ้นอยู่กับว่า AI มองว่าเราเป็นลูกค้ากลุ่มไหน
- Streaming Services (Spotify/Netflix): การมีแพ็คเกจสำหรับนักเรียน/นักศึกษา หรือแพ็คเกจครอบครัว ก็เป็นรูปแบบหนึ่งของการตั้งราคาตามกลุ่มลูกค้า
ในปี 2025 เราจะเจออะไร?: มันจะลึกกว่านี้มาก! AI อาจจะรู้ว่าเรากำลังลังเลที่จะซื้อรองเท้าคู่นั้น พอเรากำลังจะกดออกจากเว็บ อาจจะมี Pop-up เด้งขึ้นมาว่า “พิเศษสำหรับคุณ! ลดทันที 10% เฉพาะตอนนี้” เพื่อกระตุ้นให้เราตัดสินใจซื้อทันที ราคาจะถูกออกแบบมาเพื่อ “ปิดการขาย” กับเราโดยเฉพาะเลย
3. Competitive Pricing Analysis: ส่องคู่แข่งทุกฝีก้าว
ในโลกออนไลน์ การเปลี่ยนราคาของคู่แข่งแค่ 1 บาทก็อาจทำให้ลูกค้าหนีไปได้หมด AI จะเข้ามาทำหน้าที่เป็นสายลับดิจิทัล คอยสอดส่องราคาของคู่แข่งตลอด 24 ชั่วโมง แล้วปรับราคาของตัวเองให้อยู่ในจุดที่ได้เปรียบที่สุดโดยอัตโนมัติ
สมมติว่าเราเปิดร้านขายเคสโทรศัพท์ออนไลน์ในไทย AI ของเราจะคอยเช็คราคาร้านอื่นๆ ใน Shopee, Lazada หรือแม้แต่ใน IG ตลอดเวลา ถ้าร้านคู่แข่งลดราคาเคสรุ่นเดียวกัน 5 บาท ระบบของเราอาจจะสั่งลดราคาลง 6 บาททันทีเพื่อดึงลูกค้า หรือถ้าคู่แข่งของหมดสต็อก ระบบอาจจะฉวยโอกาสขึ้นราคาเล็กน้อยเพื่อทำกำไรเพิ่ม ทุกอย่างเกิดขึ้นในเสี้ยววินาที!
4. Value-Based Pricing: “คุณค่า” ที่ AI ประเมินให้
นี่คือขั้นสุด! Value-Based Pricing หรือ การตั้งราคาตามคุณค่าที่ลูกค้ารู้สึก แทนที่จะดูต้นทุนหรือคู่แข่ง AI จะพยายามประเมินว่า “ลูกค้าคนนี้เต็มใจจะจ่ายเงินเท่าไหร่สำหรับสินค้าชิ้นนี้?”
มันทำได้โดยการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก เช่น การมีส่วนร่วมกับแบรนด์บนโซเชียลมีเดีย, การแสดงความเห็น, หรือการกดไลก์สินค้าลิมิเต็ดอิดิชั่นต่างๆ ถ้า AI พบว่าเราเป็นแฟนพันธุ์แท้ของศิลปินวงหนึ่ง และกำลังจะมีสินค้าคอลเลคชั่นพิเศษออกมา AI อาจจะประเมินว่าเรายอมจ่ายแพงกว่าคนทั่วไปเพื่อ “ของมันต้องมี” และอาจจะไม่ส่งโค้ดส่วนลดใดๆ มาให้เราเลยก็ได้!
AEO & Q&A Corner: ถามมา-ตอบให้! เคลียร์ทุกข้อสงสัยเรื่อง AI ตั้งราคา
เพื่อให้ทุกคนเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้นและ Search Engine หาบทความเราเจอง่ายขึ้น (หลักการ AEO – Answer Engine Optimization) เราได้รวบรวมคำถามที่เพื่อนๆ น่าจะสงสัยกันมาตอบให้ตรงนี้เลย!
Q1: สรุปแล้ว AI ตั้งราคาคืออะไรกันแน่?
A: พูดง่ายๆ มันคือการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สุดฉลาด (AI) มาวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาล เช่น ข้อมูลลูกค้า, ราคาคู่แข่ง, เวลา, สถานที่ เพื่อหาราคาขายที่ดีที่สุดในแต่ละช่วงเวลาและสำหรับลูกค้าแต่ละคนโดยอัตโนมัติ แทนที่จะใช้คนมานั่งเคาะเครื่องคิดเลขเหมือนเมื่อก่อนครับ
Q2: แบบนี้จะทำให้ของแพงขึ้นอย่างเดียวเลยรึเปล่า?
A: ไม่เสมอไป! นี่คือข่าวดีนะ ในบางสถานการณ์ AI ก็ทำให้เราได้ของถูกลงได้เหมือนกัน เช่น การซื้อตั๋วเครื่องบินวันอังคารตอนบ่ายๆ อาจจะถูกกว่าวันศุกร์ตอนเย็น, การซื้อของในช่วงที่คนไม่ค่อยซื้อ (Off-peak) หรือการที่ AI เห็นว่าเราเป็นลูกค้าใหม่และอยากให้เราลองใช้บริการ ก็อาจจะเสนอส่วนลด “ต้อนรับ” ที่โหดมากๆ ให้เราก็ได้ มันเป็นดาบสองคมครับ
Q3: แล้วบริษัทต่างๆ รู้ข้อมูลส่วนตัวเราได้ยังไง? น่ากลัวไปมั้ย?
A: เขารู้จาก “คุกกี้” (Cookies) ที่เรากดยอมรับตอนเข้าเว็บไซต์ต่างๆ, ประวัติการซื้อในบัญชีสมาชิกของเรา, การที่เราล็อกอินผ่าน Facebook/Google และข้อมูลสาธารณะที่เราโพสต์เองบนโซเชียลมีเดีย นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ถึงสำคัญมาก เราควรอ่านเงื่อนไขก่อนกดยอมรับเสมอ และมีสิทธิ์ที่จะไม่ให้ข้อมูลบางอย่างได้ครับ
Q4: การที่คนสองคนจ่ายเงินซื้อของชิ้นเดียวกันไม่เท่ากัน มันยุติธรรมเหรอ?
A: เป็นคำถามเชิงจริยธรรมที่ถกเถียงกันเยอะมากครับ ในมุมของธุรกิจ เขามองว่าเป็นการมอบ “ข้อเสนอที่เหมาะสมที่สุด” ให้แต่ละคน แต่ในมุมผู้บริโภค มันอาจทำให้รู้สึกว่าถูกเอาเปรียบได้ ซึ่งนี่จะเป็นความท้าทายสำคัญในอนาคตว่าสังคมจะยอมรับเส้นแบ่งนี้ได้แค่ไหน และจะมีกฎหมายออกมาควบคุมเรื่องนี้เพิ่มเติมหรือไม่
Q5: ในฐานะวัยรุ่น เราจะรับมือกับกลยุทธ์พวกนี้ยังไงดี?
A: สุดยอดคำถาม! เราสามารถเป็น “ผู้บริโภคอัจฉริยะ” (Smart Consumer) ได้โดย:
- เปรียบเทียบราคาเสมอ: อย่าเพิ่งรีบซื้อ! ใช้เว็บ/แอปเปรียบเทียบราคา เช็คจากหลายๆ แพลตฟอร์ม
- ใช้โหมดไม่ระบุตัวตน (Incognito Mode): เวลาจะซื้อของชิ้นใหญ่ๆ อย่างตั๋วเครื่องบิน ลองเข้าเว็บผ่านโหมดนี้ดู อาจจะได้ราคาที่ดีกว่าเพราะเว็บไม่เห็นประวัติการค้นหาของเรา
- เคลียร์คุกกี้: ลองลบคุกกี้ในเบราว์เซอร์เป็นครั้งคราว
- รอจังหวะ: ถ้าของมันยังไม่รีบใช้จริงๆ ลองหยิบใส่ตะกร้าทิ้งไว้ บางที AI อาจจะส่งอีเมลหรือแจ้งเตือนพร้อมส่วนลดมาง้อให้เรากลับไปซื้อก็ได้!
- รู้คุณค่าที่แท้จริง: สำคัญที่สุดคือถามตัวเองว่า เราอยากได้ของชิ้นนี้จริงๆ หรือแค่โดนการตลาดปั่นหัว? ซื้อเพราะต้องการ ไม่ใช่เพราะราคามัน “ดูเหมือนจะถูก”
บทสรุป: อนาคตของการช้อปปิ้งอยู่ในมือเรา
ในปี 2025 และต่อไปในอนาคต AI จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทุกการซื้อขายอย่างแน่นอน การตั้งราคาจะไม่ใช่แค่ตัวเลขที่แปะอยู่บนชั้นวางอีกต่อไป แต่มันคือ “ข้อมูล” ที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
การเข้าใจกลยุทธ์เหล่านี้ไม่ได้มีไว้เพื่อให้เรากลัว แต่มีไว้เพื่อให้เรา “รู้ทัน” โลกการตลาดที่กำลังจะเปลี่ยนไป เราไม่ได้ต่อสู้กับ AI แต่เรากำลังเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันอย่างชาญฉลาด เมื่อเรารู้ว่าเกมเป็นอย่างไร เราก็จะสามารถวางแผนการเล่นของเราได้ดีขึ้น
ดังนั้น ครั้งต่อไปที่คุณเห็นราคาของเปลี่ยนแปลงไป หรือได้รับส่วนลดแบบงงๆ ก็อย่าเพิ่งตกใจ แต่ให้ยิ้มมุมปากแล้วคิดในใจว่า… “อ๋อ…รู้ทันน่า! นี่ฝีมือ AI สินะ” เพราะตอนนี้พวกเราคือผู้บริโภคยุคใหม่ ที่พร้อมสำหรับเกมการตลาดในปี 2025 แล้ว!