การเปลี่ยนผ่านจาก ESG Reporting แบบสมัครใจสู่การรายงานเชิงบังคับตามมาตรฐานสากล

รุ่นเราต้องรู้! ESG Reporting จากเรื่องไกลตัว สู่กฎหมายบังคับที่เปลี่ยนโลก (และอนาคตเรา)

สวัสดีเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกคน! ในฐานะนักศึกษาคนหนึ่งที่กำลังง่วนอยู่กับชีทเรียนและโปรเจกต์กลุ่ม บอกเลยว่ามีเรื่องหนึ่งที่ช่วงนี้ได้ยินบ่อยมากในคลาสเรียนเศรษฐศาสตร์ การตลาด หรือแม้แต่คลาสจริยธรรมธุรกิจ คำๆ นั้นก็คือ “ESG” ตอนแรกก็คิดนะว่ามันคืออะไรวะเนี่ย? เป็นแค่เทรนด์สวยๆ ของพวกบริษัทใหญ่ที่ทำกิจกรรม CSR (Corporate Social Responsibility) ปลูกป่า สร้างฝายรึเปล่า? บอกเลยว่า…คิดผิดถนัด!

เพราะเรื่องที่เคยเป็นแค่ “ทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้” ตอนนี้มันกำลังจะกลายเป็น “กฎหมายบังคับ” ที่ทุกบริษัทต้องทำตาม! และการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ได้กระทบแค่ CEO หรือนักลงทุนนะ แต่มันกระทบตรงๆ ถึงอนาคตของคนรุ่นเรา ตั้งแต่การเลือกคณะเรียน การหางาน ไปจนถึงการตัดสินใจเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันเลยทีเดียว วันนี้เราเลยอยากจะมาชวนทุกคนเจาะลึกเรื่องนี้กันแบบจริงจัง แต่สไตล์เข้าใจง่ายเหมือนเพื่อนเล่าให้ฟัง มาดูกันว่าการเปลี่ยนผ่านจาก ESG Reporting แบบสมัครใจ สู่การรายงานเชิงบังคับตามมาตรฐานสากล มันคืออะไร แล้วทำไมเราถึงต้องแคร์?

ก่อนอื่นเลย… ESG มันคืออะไรกันแน่? (ฉบับย่อ เข้าใจใน 3 นาที)

หลายคนอาจจะเคยได้ยินผ่านๆ แต่ยังงงๆ อยู่ เอาเป็นว่าเรามาปูพื้นฐานกันก่อนแบบเร็วๆ ESG ย่อมาจากคำ 3 คำ ที่เป็นเหมือน 3 เสาหลักในการวัดความ “ดี” และความ “ยั่งยืน” ของบริษัทหนึ่งๆ ไม่ได้วัดแค่กำไรเป็นตัวเงินอย่างเดียวอีกต่อไป

  • E – Environmental (สิ่งแวดล้อม): เสาหลักนี้วัดว่าบริษัทนั้นใส่ใจโลกใบนี้แค่ไหน? เขาจัดการเรื่องการปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังไง? มีนโยบายลดขยะพลาสติกรึเปล่า? ใช้พลังงานหมุนเวียนมั้ย? หรือทำอะไรที่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติรึเปล่า? พูดง่ายๆ คือ บริษัทนี้ทำร้ายโลก หรือช่วยรักษาโลก?
  • S – Social (สังคม): เสานี้โฟกัสที่ “คน” ทั้งในและนอกองค์กร บริษัทดูแลพนักงานดีแค่ไหน? มีความเท่าเทียมทางเพศมั้ย? จ้างงานเป็นธรรมรึเปล่า? เคารพสิทธิมนุษยชนตลอดซัพพลายเชน (Supply Chain) มั้ย? สินค้าที่ผลิตออกมาปลอดภัยกับผู้บริโภคแค่ไหน? และบริษัทมีความสัมพันธ์กับชุมชนรอบข้างยังไง? สรุปคือ บริษัทนี้ดีต่อคนอื่น หรือเอาเปรียบคนอื่น?
  • G – Governance (ธรรมาภิบาล): เสาสุดท้ายแต่สำคัญมาก คือเรื่องความโปร่งใสในการบริหารงาน บริษัทมีโครงสร้างการจัดการที่ดีมั้ย? มีการต่อต้านคอร์รัปชันจริงจังแค่ไหน? ผู้บริหารมีจริยธรรมรึเปล่า? เปิดเผยข้อมูลให้ผู้ถือหุ้นและสาธารณะตรวจสอบได้มากน้อยแค่ไหน? หรือก็คือ บริษัทนี้บริหารงานแบบตรงไปตรงมา หรือมีอะไรหมกเม็ด?

เมื่อก่อน บริษัทไหนทำเรื่องพวกนี้ก็จะเอามาเขียนเป็น “รายงานความยั่งยืน” (Sustainability Report) สวยๆ ปีละเล่ม ใครอยากทำก็ทำ ไม่อยากทำก็ไม่มีใครว่า เหมือนเป็นการบ้านวิชาเลือก ใครทำส่งก็ได้คะแนนความดีเพิ่มไป

“จากเดิมที่ ESG เป็นเหมือน ‘คะแนนพิเศษ’ สำหรับบริษัทที่ทำดี ตอนนี้มันกำลังจะกลายเป็น ‘ข้อสอบไฟนอล’ ที่ทุกคนต้องสอบผ่าน และมีมาตรฐานการตรวจข้อสอบแบบเดียวกันทั่วโลก!”

The Great Shift: การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จากเรื่องสมัครใจสู่มาตรฐานโลก

แล้วอะไรล่ะที่ทำให้ “การบ้านวิชาเลือก” กลายเป็น “ข้อสอบไฟนอลภาคบังคับ”? คำตอบคือ โลกเราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้วครับเพื่อนๆ

ทั้งปัญหาสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้นทุกวัน ความเหลื่อมล้ำในสังคมที่ถ่างกว้าง นักลงทุนรุ่นใหม่ (รวมถึงคนรุ่นเราในอนาคต) ที่ไม่ได้มองแค่ผลตอบแทนเป็นตัวเงินอีกต่อไป แต่ยังต้องการลงทุนในบริษัทที่สร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับโลกด้วย ปัจจัยเหล่านี้กดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งมโหฬาร จนเกิดสิ่งที่เรียกว่า “มาตรฐานการรายงานความยั่งยืนสากล” ขึ้นมา

พระเอกคนใหม่ของวงการ: ISSB และมาตรฐาน IFRS S1 & S2

ถ้าพูดถึงมาตรฐานบัญชี ทุกบริษัททั่วโลกจะรู้จักชื่อ IFRS (International Financial Reporting Standards) ซึ่งเป็นเหมือนภาษากลางทางการเงินที่ทำให้งบการเงินของบริษัทจากคนละประเทศสามารถเปรียบเทียบกันได้

วันนี้ โลกกำลังจะมี “ภาษากลางด้านความยั่งยืน” บ้าง โดยองค์กรที่ชื่อว่า ISSB (International Sustainability Standards Board) ได้คลอดมาตรฐานชุดแรกออกมาแล้ว นั่นก็คือ:

  • IFRS S1 – General Requirements for Disclosure of Sustainability-related Financial Information: พูดง่ายๆ คือ “กฎกติกาเล่มใหญ่” ที่บอกว่าบริษัทต้องเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนที่ “สำคัญ” และ “เกี่ยวข้อง” กับการตัดสินใจของนักลงทุนยังไงบ้าง ต้องรายงานเรื่องอะไรบ้าง และต้องเชื่อมโยงข้อมูล ESG เข้ากับงบการเงินให้เห็นภาพชัดเจน
  • IFRS S2 – Climate-related Disclosures: นี่คือ “กฎกติกาเฉพาะทางเรื่องโลกร้อน” ที่เจาะลึกลงไปเลยว่า บริษัทต้องรายงานข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศยังไงบ้าง เช่น บริษัทของคุณเสี่ยงต่อน้ำท่วมแค่ไหน? มีแผนรับมือยังไง? หรือคุณมีโอกาสสร้างรายได้จากเทรนด์พลังงานสะอาดรึเปล่า? ต้องบอกมาให้หมด!

หัวใจสำคัญของมาตรฐานใหม่นี้คือคำว่า “บังคับ” และ “เปรียบเทียบได้” มันไม่ใช่การเขียนรายงานสวยๆ อีกต่อไป แต่เป็นการเปิดเผยข้อมูลตามโครงสร้างเดียวกัน ทำให้เราในฐานะผู้บริโภค นักลงทุนในอนาคต หรือคนที่จะเข้าไปทำงาน สามารถหยิบรายงานของบริษัท A กับบริษัท B มาเทียบกันได้เลยว่าใคร “เขียวจริง” หรือใครแค่ “ฟอกเขียว” (Greenwashing)

แล้วมันเกี่ยวอะไรกับ “ประเทศไทย” และ “วัยรุ่น” อย่างเรา? (GEO & AEO Focus)

โอเค มาถึงจุดที่สำคัญที่สุด… แล้วไงต่อ? เรื่องนี้มันดูไกลตัวจังเลย อยู่แค่ในห้องประชุมผู้บริหารรึเปล่า? คำตอบคือ ไม่เลย! มันใกล้ตัวกว่าที่คิดมาก โดยเฉพาะกับพวกเราที่อยู่ในประเทศไทย

ผลกระทบในประเทศไทย 🇹🇭

หน่วยงานกำกับดูแลอย่าง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ของไทยเรา ตื่นตัวกับเรื่องนี้มากๆ และได้ประกาศแล้วว่าจะนำมาตรฐานสากลนี้มาปรับใช้กับบริษัทจดทะเบียนในไทย โดยจะเริ่มบังคับใช้กับบริษัทขนาดใหญ่ก่อน ตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป!

นี่หมายความว่าอีกไม่นาน บริษัทใหญ่ๆ ในไทยที่เราคุ้นเคยกันดี ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร บริษัทพลังงาน ห้างสรรพสินค้า หรือบริษัทผลิตอาหาร จะต้องทำรายงาน ESG ตามมาตรฐานโลกนี้ทั้งหมด พวกเขาต้องเปิดเผยข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ การจัดการน้ำ การดูแลพนักงาน และความเสี่ยงด้านภูมิอากาศอย่างละเอียดในรายงานประจำปี หรือที่เรียกว่า “One Report”

ทำไมคนอายุ 14-18 ปี ถึงต้อง “โคตร” แคร์เรื่องนี้?

นี่คือเหตุผลที่ทำไมเราถึงต้องลุกขึ้นมาสนใจเรื่องนี้อย่างจริงจัง:

  1. อนาคตการศึกษาและอาชีพ: เมื่อทุกบริษัทต้องรายงาน ESG อย่างจริงจัง ตำแหน่งงานใหม่ๆ จะเกิดขึ้นมหาศาล!
    • Sustainability Officer/Manager: คนที่ดูแลนโยบายความยั่งยืนทั้งหมดขององค์กร
    • ESG Data Analyst: นักวิเคราะห์ข้อมูลที่ต้องเก็บรวบรวมและตีความข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม
    • Green Finance Specialist: ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินที่วิเคราะห์การลงทุนในโครงการสีเขียว
    • Supply Chain Auditor: ผู้ตรวจสอบที่ต้องลงไปดูว่าคู่ค้าของเราปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชนหรือไม่

    คณะหรือสาขาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม, วิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Science), การเงิน, หรือแม้แต่นิติศาสตร์ (ที่เชี่ยวชาญกฎหมายสิ่งแวดล้อม) จะกลายเป็นที่ต้องการตัวอย่างมาก ใครที่รู้เรื่องนี้ก่อน ก็มีโอกาสเลือกเส้นทางอนาคตได้เปรียบกว่าคนอื่น

  2. พลังของผู้บริโภค: เราจะไม่ได้เลือกซื้อของแค่เพราะมันสวยหรือถูกอีกต่อไป แต่เราจะมีข้อมูลในมือเพื่อตัดสินใจว่า “จะสนับสนุนบริษัทไหน” เราสามารถอ่านรายงานของเขาแล้วเลือกว่าจะซื้อกาแฟจากร้านที่ใช้เมล็ดกาแฟอย่างเป็นธรรมมั้ย? หรือจะใช้บริการธนาคารที่ไม่ปล่อยกู้ให้โครงการทำลายป่ารึเปล่า? เงินทุกบาทของเราจะกลายเป็นเสียงที่ทรงพลัง
  3. การลงทุนในอนาคต: แม้วันนี้เราอาจจะยังไม่ได้ลงทุนในตลาดหุ้น แต่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าล่ะ? ความรู้เรื่อง ESG จะทำให้เราเป็นนักลงทุนที่ฉลาดขึ้น เราจะสามารถวิเคราะห์ได้ว่าบริษัทไหนมีความเสี่ยงซ่อนอยู่ (เช่น บริษัทที่พึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลสูง อาจจะไปไม่รอดในอนาคต) และบริษัทไหนมีศักยภาพที่จะเติบโตไปพร้อมกับโลกที่ยั่งยืน
  4. การรู้เท่าทัน Greenwashing: ในยุคที่ใครๆ ก็บอกว่าตัวเอง “รักษ์โลก” การรายงานตามมาตรฐานบังคับจะช่วยให้เรา “จับโป๊ะ” ได้ง่ายขึ้น บริษัทไหนที่พูดอย่างทำอย่าง ข้อมูลในรายงานจะเป็นตัวฟ้อง เราจะกลายเป็นคนรุ่นใหม่ที่มองทะลุคำโฆษณาสวยหรูได้

Q&A ถาม-ตอบ สไตล์เด็กมหา’ลัย ไขทุกข้อสงสัยเรื่อง ESG Reporting

Q: การรายงานแบบบังคับนี่ใช้กับทุกบริษัทเลยรึเปล่า หรือแค่บริษัทใหญ่ๆ ในตลาดหุ้น?

A: ในช่วงแรกจะเริ่มบังคับใช้กับบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ก่อนครับ แต่เทรนด์นี้กำลังจะลามไปทั่ว! เพราะบริษัทใหญ่ๆ เหล่านี้จะต้องไปกดดันให้คู่ค้า (Supplier) หรือบริษัทเล็กๆ ในซัพพลายเชนของตัวเองต้องเปิดเผยข้อมูล ESG ด้วยเหมือนกัน ไม่งั้นเขาไม่ซื้อของด้วยนะ! ดังนั้น ไม่ว่าบริษัทจะเล็กหรือใหญ่ ในที่สุดก็จะถูกดึงเข้ามาอยู่ในวงจรนี้ทั้งหมด

Q: เราจะรู้ได้ยังไงว่าบริษัทไหนกำลัง “ฟอกเขียว” (Greenwashing) อยู่?

A: มาตรฐานใหม่นี้จะช่วยได้เยอะเลย! ให้เราลองดูในรายงานของเขาว่า 1) เขาตั้งเป้าหมายที่วัดผลได้จริงจังแค่ไหน (เช่น จะลดคาร์บอนกี่เปอร์เซ็นต์ภายในปีไหน) หรือพูดแค่ลอยๆ ว่า “เราจะพยายามรักษ์โลก” 2) ข้อมูลที่ให้มา มีหน่วยงานภายนอกมาตรวจสอบรับรอง (Assurance) หรือยัง? 3) เขาพูดถึงแต่ด้านดีๆ หรือยอมรับความเสี่ยงและปัญหาที่เกิดขึ้นจริงด้วย? บริษัทที่โปร่งใสจริงจะกล้าพูดถึงปัญหาของตัวเองและบอกว่ากำลังจะแก้ไขมันยังไง

Q: ในฐานะวัยรุ่นคนหนึ่ง ตอนนี้เราจะเริ่มทำอะไรกับเรื่องนี้ได้บ้าง?

A: เริ่มจากเรื่องง่ายๆ เลย! 1) เริ่มติดตามข่าวสาร: ลองค้นหาคำว่า “ESG Thailand”, “ข่าวความยั่งยืน” ดู จะเห็นว่ามีเรื่องราวเกิดขึ้นทุกวัน 2) ตั้งคำถาม: เวลาจะซื้อของหรือใช้บริการ ลองถามตัวเองหรือหาข้อมูลดูว่าแบรนด์นี้มีจุดยืนเรื่องความยั่งยืนยังไง 3) คุยกับเพื่อนและครอบครัว: เอาเรื่องนี้ไปแชร์ต่อ ยิ่งคนรู้เยอะ พลังในการเปลี่ยนแปลงก็ยิ่งมาก! และ 4) เตรียมตัวสำหรับอนาคต: ถ้าสนใจเรื่องนี้ ลองมองหาคอร์สเรียนออนไลน์ หรือกิจกรรมในมหาวิทยาลัยที่เกี่ยวกับ Sustainability ดู มันจะเป็นสกิลติดตัวที่มีค่ามากๆ

Q: ถ้าบริษัทต้องลงทุนเรื่อง ESG เยอะขึ้น จะทำให้สินค้าและบริการแพงขึ้นมั้ย?

A: เป็นคำถามที่ดีมาก! ในระยะสั้น อาจจะมีต้นทุนเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ในระยะยาว การลงทุนด้าน ESG มักจะนำไปสู่การประหยัดต้นทุนซะอีก เช่น การเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาดช่วยลดค่าไฟ, การลดขยะช่วยลดต้นทุนวัตถุดิบ, การดูแลพนักงานดีๆ ช่วยลดอัตราการลาออกและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน สุดท้ายแล้วบริษัทที่ทำ ESG จริงจังมักจะเป็นบริษัทที่แข็งแกร่งและมีผลประกอบการดีในระยะยาว ซึ่งเป็นผลดีต่อทุกคน

Q: เราจะเข้าไปดูรายงาน ESG พวกนี้ได้จากที่ไหน?

A: โดยปกติแล้วจะอยู่ในเว็บไซต์ของบริษัทนั้นๆ ครับ ลองเข้าไปที่หมวด “นักลงทุนสัมพันธ์” (Investor Relations) หรือ “การพัฒนาอย่างยั่งยืน” (Sustainability) นอกจากนี้ บนเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และ ก.ล.ต. ก็จะมีฐานข้อมูลรวบรวมไว้ให้เช่นกัน เมื่อ One Report บังคับใช้เต็มรูปแบบ ข้อมูลเหล่านี้จะหาได้ง่ายขึ้นและเป็นที่เป็นทางมากขึ้นแน่นอน

บทสรุป: ไม่ใช่แค่ “เทรนด์” แต่คือ “อนาคต” ที่เราเป็นคนกำหนด

การเปลี่ยนผ่านสู่การรายงาน ESG เชิงบังคับ ไม่ใช่แค่เรื่องทางเทคนิคที่น่าเบื่อสำหรับนักบัญชีหรือผู้บริหารอีกต่อไป แต่มันคือการปรับกระบวนทัศน์ครั้งใหญ่ของโลกธุรกิจ ที่จะทำให้ “ความดี” และ “ความรับผิดชอบ” ถูกนำมาวัดผลและเปรียบเทียบได้อย่างเป็นรูปธรรม

สำหรับคนรุ่นเรา นี่คือโอกาสครั้งสำคัญที่จะได้เห็นโลกธุรกิจที่โปร่งใสและใส่ใจโลกกับสังคมมากขึ้น มันคือเครื่องมือที่เราจะใช้เลือกอนาคตของตัวเอง ทั้งในฐานะนักเรียน นักศึกษา คนทำงาน ผู้บริโภค และพลเมืองของโลก โลกกำลังเปลี่ยน และศูนย์กลางของการเปลี่ยนแปลงนั้น… ก็คือคนรุ่นเรานี่แหละที่ต้องรู้ทันและพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนมันไปข้างหน้า

เตรียมตัวให้พร้อม โลกใบใหม่กำลังรอเราอยู่!

Most Popular

Categories