ผลกระทบของมาตรการ CSRD และ ISSB ที่มีต่อการวิเคราะห์ความเสี่ยงทางการเงินในปี 2025

CSRD & ISSB คืออะไร? เจาะลึกผลกระทบต่อโลกการเงินปี 2025 ที่วัยรุ่นอย่างเราต้องรู้!

สวัสดีเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกคน! ในฐานะรุ่นพี่มหา’ลัยที่กำลังคลุกคลีกับเรื่องเศรษฐศาสตร์และการเงิน บอกเลยว่ามีเรื่องใหญ่มากๆ ที่กำลังจะเปลี่ยนโลกธุรกิจและการลงทุนแบบพลิกฝ่ามือในปี 2025 นี้ ซึ่งมันใกล้ตัวกว่าที่เราคิดเยอะมาก! ตอนแรกพี่ก็คิดว่ามันเป็นเรื่องไกลตัว น่าเบื่อ มีแต่ตัวย่ออะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด… CSRD, ISSB, ESG โอ้ย ปวดหัว! แต่พอได้ศึกษาจริงๆ จังๆ ถึงได้รู้ว่า “เฮ้ย! นี่มันคือ Game Changer ของจริง” และมันคือเรื่องที่คนรุ่นใหม่อย่างพวกเราต้องรู้ เพราะมันคือ “กติกาใหม่” ของโลกที่พวกเรากำลังจะก้าวเข้าไปทำงาน ใช้ชีวิต และสร้างอนาคต

ก่อนอื่นเลย… ตัวย่อพวกนี้มันคืออะไรกันแน่? (ฉบับเข้าใจง่าย)

ลองนึกภาพตามนะ… ปกติเวลาเราจะดูว่าบริษัทไหน “เก่ง” เราก็มักจะดูที่ “กำไร” ใช่ไหม? เหมือนดูเกรดในสมุดพกนั่นแหละ ใครเกรด 4.00 ก็คือเทพ แต่ถ้าเด็กคนนั้นได้ 4.00 แต่กลับชอบบูลลี่เพื่อน ไม่ช่วยงานกลุ่ม แถมยังทิ้งขยะไม่เป็นที่… เรายังจะมองว่าเขา “เก่ง” จริงๆ อยู่ไหม?

โลกธุรกิจก็เหมือนกัน! ที่ผ่านมาเราวัดความสำเร็จของบริษัทด้วยตัวเลขทางการเงินเป็นหลัก แต่ตอนนี้โลกกำลังบอกว่า “แค่นั้นไม่พอ” คุณต้องเป็น “คนดี” ของสังคมและโลกใบนี้ด้วย ซึ่ง CSRD และ ISSB ก็คือ “สมุดพกเล่มใหม่” ที่จะมาวัดความดีของบริษัทนั่นเอง

CSRD (Corporate Sustainability Reporting Directive): สมุดพกจากฝั่งยุโรปที่ ‘เข้ม’ สุดๆ

ตัวนี้มาจากสหภาพยุโรป (EU) เขาบอกว่าบริษัทใหญ่ๆ ที่ทำธุรกิจกับยุโรป ต้องทำรายงานเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนแบบละเอียดสุดๆ หัวใจสำคัญของ CSRD คือหลักการที่เรียกว่า “Double Materiality” (สาระสำคัญแบบสองด้าน) ซึ่งแปลง่ายๆ คือ:

  • ด้านที่ 1 (Outside-In): สิ่งแวดล้อมและสังคมส่งผลกระทบต่อ “การเงิน” ของบริษัทอย่างไร? เช่น ภาวะโลกร้อนทำให้น้ำท่วมโรงงาน (ต้นทุนพัง) หรือคนรุ่นใหม่แบนสินค้าที่ไม่รักษ์โลก (ยอดขายตก)
  • ด้านที่ 2 (Inside-Out): แล้วตัวบริษัทล่ะ ไปสร้างผลกระทบอะไรต่อ “สิ่งแวดล้อมและสังคม” บ้าง? เช่น โรงงานปล่อยน้ำเสียลงแม่น้ำ หรือมีการใช้แรงงานที่ไม่เป็นธรรมในซัพพลายเชน

CSRD บังคับให้บริษัทต้องรายงานทั้งสองด้านนี้อย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ เหมือนมีกล้องวงจรปิดติดรอบบริษัทเลยทีเดียว!

ISSB (International Sustainability Standards Board): สมุดพกเวอร์ชัน ‘โกลบอล’

ส่วน ISSB เป็นเหมือนหน่วยงานกลางที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสร้างมาตรฐานการรายงานความยั่งยืนที่เป็นสากล ให้ทุกประเทศใช้ “ภาษาเดียวกัน” จะได้เปรียบเทียบกันได้ง่ายๆ แนวคิดของ ISSB จะเน้นไปที่ “Financial Materiality” (สาระสำคัญทางการเงิน) เป็นหลัก

พูดง่ายๆ คือ ISSB จะโฟกัสว่าประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมต่างๆ มันสร้าง “ความเสี่ยง” และ “โอกาส” ทางการเงินให้กับบริษัทมากแค่ไหน เช่น การเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาดอาจมีต้นทุนสูงในตอนแรก (ความเสี่ยง) แต่ในระยะยาวจะช่วยลดค่าไฟและสร้างภาพลักษณ์ที่ดี (โอกาส) ซึ่งข้อมูลพวกนี้สำคัญต่อนักลงทุนมากๆ ที่จะใช้ตัดสินใจว่าจะเอาเงินไปลงกับบริษัทนี้ดีไหม

สรุปง่ายๆ: CSRD มองแบบ 360 องศา ทั้งผลกระทบต่อบริษัทและผลกระทบที่บริษัทสร้างขึ้น ส่วน ISSB โฟกัสไปที่ผลกระทบด้านความยั่งยืนที่จะสะท้อนกลับมาเป็น “ตัวเลขทางการเงิน” ของบริษัท แต่ทั้งคู่มีเป้าหมายเดียวกันคือ ทำให้ข้อมูลด้านความยั่งยืน (ESG) มีความสำคัญเทียบเท่าข้อมูลทางการเงิน

ผลกระทบต่อ ‘การวิเคราะห์ความเสี่ยงทางการเงิน’ ในปี 2025 จะเปลี่ยนไปอย่างไร?

นี่แหละคือหัวใจของเรื่อง! พอมี “สมุดพกเล่มใหม่” วิธีการให้คะแนนหรือการประเมิน “ความเจ๋ง” ของบริษัทก็ต้องเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง การวิเคราะห์ความเสี่ยงทางการเงินที่เคยดูแค่งบดุล งบกำไรขาดทุน จะกลายเป็นเรื่องล้าสมัยไปเลย

1. จากเรื่อง ‘นามธรรม’ สู่ ‘ตัวเลข’ ที่จับต้องได้

เมื่อก่อนคำว่า “รักษ์โลก” หรือ “ใส่ใจสังคม” อาจเป็นแค่คำสวยๆ ในหน้ารายงานประจำปี แต่หลังจากนี้มันจะถูกแปลงเป็น “ตัวเลขความเสี่ยง” ที่ชัดเจน เช่น

  • ความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Risk): บริษัทที่มีโรงงานอยู่ริมทะเล ต้องประเมินความเสี่ยงจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น แล้วตีเป็นมูลค่าความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตเป็น “ตัวเงิน”
  • ความเสี่ยงด้านสังคม (Social Risk): บริษัทที่พึ่งพาแรงงานในประเทศที่มีปัญหาการเมือง ต้องประเมินความเสี่ยงที่ซัพพลายเชนจะหยุดชะงัก แล้วคำนวณผลกระทบต่อรายได้
  • ต้นทุนคาร์บอน (Carbon Cost): บริษัทที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเยอะๆ ต้องเริ่มคำนวณ “ต้นทุน” หากในอนาคตมีกฎหมายเก็บภาษีคาร์บอน พวกเขาจะไหวไหม?

2. มองไกลครอบคลุมทั้ง ‘Value Chain’ ไม่ใช่แค่ในรั้วบริษัท

โลกเก่า: บริษัทรับผิดชอบแค่สิ่งที่เกิดขึ้นในโรงงานของตัวเอง
โลกใหม่ (2025): บริษัทต้องรับผิดชอบไปถึง “ต้นน้ำ” (ซัพพลายเออร์ที่ส่งวัตถุดิบให้) และ “ปลายน้ำ” (การใช้งานและการกำจัดผลิตภัณฑ์โดยลูกค้า) ด้วย!

ลองนึกถึงบริษัทผลิตสมาร์ทโฟน พวกเขาจะบอกว่า “เราไม่รู้ว่าแร่ที่เอามาทำชิปถูกขุดมาจากเหมืองที่ใช้แรงงานเด็กหรือเปล่า” ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว! เพราะ CSRD และ ISSB บังคับให้ต้องไปตรวจสอบและรายงานข้อมูลตลอดทั้งซัพพลายเชน ซึ่งนี่คือการเปลี่ยนนิยามของ “ความเสี่ยง” ไปอย่างสิ้นเชิง ความเสี่ยงของคู่ค้า ก็คือความเสี่ยงของเราด้วย

3. เปลี่ยนจาก ‘มองหลัง’ เป็น ‘มองไปข้างหน้า’ (Forward-looking)

การวิเคราะห์ทางการเงินแบบเดิมๆ มักจะอิงจากข้อมูลในอดีต (ปีที่แล้วกำไรเท่าไหร่?) แต่มาตรฐานใหม่นี้บังคับให้บริษัทต้องคิดและวางแผนสำหรับอนาคตมากขึ้น เป็นการวิเคราะห์ความเสี่ยงเชิงรุก (Proactive)

นักวิเคราะห์และนักลงทุนจะตั้งคำถามใหม่ๆ เช่น “บริษัทของคุณมีแผนรับมือกับกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่จะเข้มขึ้นในอีก 5 ปีข้างหน้าอย่างไร?” หรือ “เทรนด์ผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น จะส่งผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์น้ำอัดลมของคุณในอนาคตหรือไม่?” บริษัทที่ไม่มีคำตอบที่ดี ก็จะถูกมองว่ามีความเสี่ยงสูง

4. ‘ข้อมูล’ ด้านความยั่งยืนจะกลายเป็นสินทรัพย์ที่มีค่ามหาศาล

เมื่อต้องรายงานละเอียดขนาดนี้ บริษัทต่างๆ ต้องลงทุนมหาศาลในการเก็บรวบรวม ตรวจสอบ และวิเคราะห์ข้อมูลที่ไม่เคยเก็บมาก่อน เช่น ปริมาณการปล่อยคาร์บอน, การใช้น้ำ, สถิติความปลอดภัยของพนักงาน, ความหลากหลายทางเพศในองค์กร ฯลฯ ข้อมูลเหล่านี้จะกลายเป็นขุมทรัพย์ให้นักวิเคราะห์นำไปประเมินมูลค่าและความเสี่ยงของบริษัทในมิติใหม่ๆ และยังเปิดโอกาสให้เกิดอาชีพใหม่ๆ เช่น นักวิเคราะห์ข้อมูลด้านความยั่งยืน (Sustainability Data Analyst) หรือ ผู้เชี่ยวชาญด้านการรายงาน ESG ซึ่งเป็นสายงานที่กำลังมาแรงสุดๆ

แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับ ‘ประเทศไทย’ และ ‘พวกเรา’ วัยรุ่น Gen Z?

หลายคนอาจจะคิดว่านี่เป็นเรื่องของยุโรป ไม่เกี่ยวกับเรา… ผิดถนัด! ประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้กระทบเราเต็มๆ

  • บริษัทไทยที่ส่งออกไปยุโรป: บริษัทใหญ่ๆ ในไทยที่ส่งสินค้าไปขายใน EU ต้องทำตามกฎ CSRD อย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่เช่นนั้นอาจถูกกีดกันทางการค้า นี่คือแรงกดดันโดยตรง
  • มาตรฐานในประเทศไทย: สำนักงาน ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ มีการปรับปรุงการรายงานข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนให้สอดคล้องกับมาตรฐานโลกมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างที่เราเห็นใน “แบบ 56-1 One Report” ที่เริ่มผนวกข้อมูลด้าน ESG เข้าไปแล้ว
  • ความคาดหวังของนักลงทุนต่างชาติ: เงินทุนจากต่างประเทศที่จะเข้ามาลงทุนในไทย เขาก็จะใช้ “แว่นตา” ของ ISSB และ CSRD ในการส่องหาบริษัทที่น่าลงทุน บริษัทไหนรายงานไม่ดี ไม่โปร่งใส ก็อาจจะถูกมองข้ามไป

และที่สำคัญที่สุด… มันเกี่ยวกับ “อนาคต” ของพวกเราโดยตรง!

  • ในฐานะ ‘คนทำงานในอนาคต’: ทักษะที่ตลาดแรงงานต้องการจะเปลี่ยนไป ความรู้ด้านความยั่งยืน, การวิเคราะห์ข้อมูล ESG, การสื่อสารเรื่องที่ซับซ้อน จะกลายเป็น Hard Skill และ Soft Skill ที่มีค่าตัวสูงมาก ใครเข้าใจเรื่องนี้ก่อนก็ได้เปรียบ
  • ในฐานะ ‘ผู้บริโภค’: เราจะมีข้อมูลที่โปร่งใสขึ้นในการตัดสินใจสนับสนุนแบรนด์ต่างๆ เราจะแยกได้ง่ายขึ้นว่าใคร “กรีนจริง” หรือใครแค่ “ฟอกเขียว” (Greenwashing) พลังในการเลือกของเราจะมีความหมายมากขึ้น
  • ในฐานะ ‘นักลงทุนรุ่นใหม่’: ไม่ว่าจะเป็นการซื้อหุ้นผ่านแอป หรือการลงทุนในกองทุนต่างๆ เราจะสามารถวิเคราะห์ได้ลึกซึ้งกว่าแค่ดู P/E หรือกราฟราคา แต่เราจะเห็น “ความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่” และ “โอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืน” ของบริษัทนั้นๆ

Q&A ถาม-ตอบ ข้อสงสัยยอดฮิตสไตล์เด็กหอ

Q1: เรื่องพวกนี้มันก็แค่เอกสารที่บริษัทต้องทำเพิ่มรึเปล่า? สุดท้ายก็คงเหมือนเดิม?

A: ตอนแรกพี่ก็คิดแบบนั้น! แต่มันไม่ใช่แค่ “เอกสาร” เพราะข้อมูลที่รายงานตามมาตรฐานใหม่นี้ “ต้องถูกตรวจสอบ” โดยผู้ตรวจสอบบัญชีภายนอกเหมือนกับงบการเงินเลย ถ้าข้อมูลไม่จริงหรือตกหล่น บริษัทอาจถูกฟ้องร้องหรือถูกลงโทษได้ มันจึงเป็นการสร้างแรงกดดันให้บริษัทต้อง “ทำจริง” ไม่ใช่แค่ “พูดสวยๆ”

Q2: แล้วถ้าบริษัทต้องทำอะไรเยอะแยะขนาดนี้ สุดท้ายของจะแพงขึ้นไหม? กระทบคนซื้ออย่างเราสิ?

A: เป็นคำถามที่ดีมาก! ในระยะสั้นอาจจะมีต้นทุนเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ในระยะยาว การทำธุรกิจอย่างยั่งยืนจะช่วย “ลดต้นทุนและความเสี่ยง” ได้มากกว่า เช่น การลงทุนในพลังงานสะอาดอาจแพงตอนแรก แต่ช่วยประหยัดค่าไฟไปตลอด หรือการดูแลพนักงานอย่างดีช่วยลดอัตราการลาออก ไม่ต้องเสียเงินเทรนคนใหม่บ่อยๆ สุดท้ายแล้วมันคือการสร้างความแข็งแกร่งให้บริษัท ซึ่งเป็นผลดีต่อทุกคนในระยะยาว

Q3: ในฐานะนักเรียน ม.ปลาย หรือนักศึกษาปีแรกๆ เราจะเตรียมตัวกับเรื่องนี้ยังไงได้บ้าง?

A: สุดยอด! คิดแบบนี้คือมาถูกทางแล้ว

1. ติดตามข่าวสาร: ลองอ่านข่าวธุรกิจหรือบทความเกี่ยวกับ ESG, Sustainability บ้าง จะทำให้เราเห็นภาพและเข้าใจศัพท์ต่างๆ มากขึ้น

2. เลือกเรียน: ถ้าใครสนใจด้านบริหารธุรกิจ, เศรษฐศาสตร์, การเงิน ลองมองหาวิชาเลือกที่เกี่ยวกับความยั่งยืนหรือการเงินสีเขียว (Green Finance)

3. ฝึกทักษะ: ฝึกการคิดวิเคราะห์, การตั้งคำถาม, การมองภาพรวม และการวิเคราะห์ข้อมูล ทักษะพวกนี้ใช้ได้กับทุกเรื่องและสำคัญมากในโลกยุคใหม่

4. ตั้งคำถามกับแบรนด์ที่ใช้: ลองดูว่าแบรนด์เสื้อผ้า, ขนม, หรือมือถือที่เราใช้ เขามีการพูดถึงเรื่องความยั่งยืนบ้างไหม? แค่การเริ่มต้นสงสัยก็คือการเรียนรู้แล้ว!

บทสรุป: ไม่ใช่แค่ ‘เทรนด์’ แต่คือ ‘บรรทัดฐานใหม่’ ของโลก

CSRD และ ISSB ไม่ใช่แค่กฎระเบียบที่น่าเบื่อ แต่มันคือการปฏิวัติเงียบที่กำลังเปลี่ยนนิยามของคำว่า “ความสำเร็จ” ในโลกธุรกิจ จากเดิมที่มองแค่ “กำไรสูงสุด” ไปสู่การมองหา “คุณค่าที่ยั่งยืน”

สำหรับคนรุ่นเรา นี่คือโอกาสครั้งสำคัญที่จะได้เข้าไปอยู่ในโลกการทำงานที่โปร่งใสขึ้น, รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และเป็นโลกที่ “การทำดี” ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คือ “มาตรฐาน” ของการทำธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ การวิเคราะห์ความเสี่ยงทางการเงินในปี 2025 และต่อไปจากนี้ จะเป็นเรื่องที่ซับซ้อนแต่ก็น่าตื่นเต้นกว่าเดิมเยอะ มันไม่ใช่เรื่องของนักบัญชีหรือนักการเงินในห้องแอร์อีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของพวกเราทุกคน ที่จะต้องช่วยกันสร้างและตรวจสอบ “อนาคต” ที่เราอยากเห็นครับ!

Most Popular

Categories