ธุรกิจยั่งยืนกับบทบาทการเงินและบัญชีในการขับเคลื่อนองค์กร

ธุรกิจยั่งยืน: เมื่อ “ตัวเลข” ไม่ได้มีแค่กำไร แต่คืออนาคตโลก! บทบาทการเงินและบัญชีที่วัยรุ่นต้องรู้

หวัดดีเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกคน! พี่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยคนนึง ที่ตอนแรกก็มองว่าวิชาอย่าง “บัญชี” หรือ “การเงิน” มันช่างดูแห้งแล้ง มีแต่ตัวเลข เดบิต เครดิต งบดุล อะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด เหมือนเป็นโลกของผู้ใหญ่ที่น่าเบื่อ แต่พอได้มาเรียนลึกขึ้นในยุคที่โลกร้อนขึ้นทุกวัน สังคมมีความเหลื่อมล้ำ ผู้คนใส่ใจเรื่องรอบตัวมากกว่าแค่ “ของมันต้องมี” พี่ก็เลยค้นพบความจริงที่โคตรจะว้าวว่า… เฮ้ย! การเงินกับบัญชีนี่แหละ คือฮีโร่เบื้องหลังที่กำลังขับเคลื่อนโลกไปสู่ความยั่งยืน!

หลายคนอาจจะคิดว่า “ธุรกิจยั่งยืน” (Sustainable Business) คือเรื่องของการปลูกป่า การใช้หลอดกระดาษ หรือการทำ CSR สวยๆ แค่นั้น แต่จริงๆ แล้วมันลึกกว่านั้นเยอะมาก มันคือการเปลี่ยน DNA ขององค์กรเลยทีเดียว และคนที่กุม “แผนที่ DNA” นั้นไว้ ก็คือนักบัญชีและนักการเงินนี่แหละ วันนี้พี่จะพาทุกคนไปส่องโลกเบื้องหลังตัวเลข ว่าพวกเขามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตไปพร้อมกับโลกที่ดีขึ้นยังไงบ้าง บอกเลยว่าอ่านจบแล้วอาจจะอยากเปลี่ยนใจมาเรียนสายนี้ก็ได้นะ!

เข้าใจก่อน: “ธุรกิจยั่งยืน” คืออะไรกันแน่?

ลืมภาพจำเก่าๆ ไปก่อน ธุรกิจยั่งยืนไม่ได้หมายความว่าบริษัทต้องยอม “ขาดทุน” เพื่อ “รักษ์โลก” นะ แต่มันคือแนวคิดที่ว่า… ธุรกิจจะเติบโตในระยะยาวได้ ก็ต่อเมื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ธุรกิจนั้นอาศัยอยู่ “รอด” ไปด้วยกัน

หลักการที่เข้าใจง่ายที่สุดคือ “Triple Bottom Line” หรือ บรรทัดสุดท้าย 3 ด้าน ที่ธุรกิจยุคใหม่ต้องให้ความสำคัญเท่าๆ กัน ลองนึกภาพเก้าอี้ 3 ขาสิ ถ้าขาไหนสั้นไป เก้าอี้ก็ล้ม!

  • Profit (กำไร): ขานี้สำคัญแน่นอน ธุรกิจต้องมีกำไรเพื่อความอยู่รอด จ่ายเงินเดือนพนักงาน พัฒนาสินค้าต่อไป
  • People (ผู้คน/สังคม): ขานี้คือการดูแลทุกคนที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่พนักงานในองค์กร (สวัสดิการดีไหม? บรรยากาศการทำงานเป็นยังไง?) ไปจนถึงลูกค้าและชุมชนรอบข้าง (สินค้าปลอดภัยไหม? เราสร้างผลกระทบที่ดีต่อสังคมรึเปล่า?)
  • Planet (โลก/สิ่งแวดล้อม): ขานี้คือการรับผิดชอบต่อโลกที่เราอยู่ ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดการปล่อยของเสีย ลดคาร์บอนฟุตพรินต์ และพยายามฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม

ในยุคที่ Gen Z อย่างพวกเราเป็นผู้บริโภคหลัก เราไม่ได้เลือกซื้อของจากราคาหรือคุณภาพอย่างเดียว แต่เราเลือกแบรนด์ที่มี “จุดยืน” ที่ตรงกับเรา เราพร้อมจะสนับสนุนบริษัทที่ใส่ใจโลกและสังคมจริงๆ และนี่แหละคือเหตุผลที่ “ความยั่งยืน” กลายเป็น “ใบอนุญาตในการดำเนินธุรกิจ” (License to Operate) ไปแล้ว ไม่ทำ=อาจจะเจ๊ง!

บทบาทพระเอก-นางเอก: นักบัญชีและนักการเงินในโลกธุรกิจยั่งยืน

ถ้าเปรียบองค์กรเป็นเรือลำใหญ่ที่กำลังมุ่งหน้าสู่มหาสมุทรแห่งความยั่งยืน “นักบัญชี” ก็เปรียบเสมือน “นักเดินเรือผู้อ่านแผนที่” ที่คอยเก็บข้อมูล วัดผล และบอกว่าตอนนี้เราอยู่ตรงไหน ส่วน “นักการเงิน” ก็คือ “กัปตันเรือ” ที่ใช้ข้อมูลนั้นมาตัดสินใจว่าจะหันหางเสือไปทางไหน เพื่อให้เรือไปถึงเป้าหมายอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพที่สุด

1. บทบาทของ “บัญชี”: นักเล่าเรื่องผ่านตัวเลข ที่ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน

สมัยก่อน บัญชีจะบันทึกแค่ธุรกรรมทางการเงิน เช่น ซื้อมาเท่าไหร่ ขายไปเท่าไหร่ กำไรกี่บาท แต่ในยุคของธุรกิจยั่งยืน นักบัญชีต้องทำมากกว่านั้นเยอะมาก! พวกเขาต้องเก็บข้อมูลที่ “จับต้องไม่ได้” (Non-Financial Data) แล้วแปลงมันออกมาเป็น “ตัวเลขที่วัดผลได้” เพื่อให้ทุกคนในองค์กรเข้าใจภาพเดียวกัน

นี่คือสิ่งที่เรียกว่า “การรายงานความยั่งยืน” (Sustainability Reporting) หรือที่มักจะได้ยินกันบ่อยๆ ว่า การรายงานด้าน ESG

ESG คืออะไร? สรุปง่ายๆ คือ…

  • E – Environmental (สิ่งแวดล้อม): บริษัทปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่าไหร่? ใช้น้ำ-ใช้ไฟไปแค่ไหน? มีการจัดการขยะอย่างไร? ทั้งหมดนี้ต้องถูกวัดผลและบันทึกเป็นตัวเลข
  • S – Social (สังคม): อัตราการเกิดอุบัติเหตุของพนักงานเป็นเท่าไหร่? มีความเท่าเทียมทางเพศในองค์กรไหม? บริษัทบริจาคให้ชุมชนไปกี่บาท? สิ่งเหล่านี้คืองานของนักบัญชีที่ต้องรวบรวมและตรวจสอบ
  • G – Governance (ธรรมาภิบาล): โครงสร้างบริษัทโปร่งใสไหม? มีการต่อต้านคอร์รัปชันอย่างจริงจังรึเปล่า? ผู้บริหารได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมหรือไม่? ข้อมูลเหล่านี้สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน

สรุปง่ายๆ คือ: นักบัญชียุคใหม่ คือคนที่ทำให้ “เรื่องดีๆ” ที่บริษัททำ สามารถวัดผลและพิสูจน์ได้ ไม่ใช่แค่คำพูดลอยๆ ในโฆษณา พวกเขาคือคนที่เปลี่ยนคำว่า “รักษ์โลก” ให้กลายเป็นข้อมูลในงบการเงินและรายงานประจำปีที่ทุกคนเชื่อถือได้

2. บทบาทของ “การเงิน”: ผู้จัดสรรเงินทุนเพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่า

เมื่อนักบัญชีจัดทำ “แผนที่” ที่เต็มไปด้วยข้อมูล ESG ที่น่าเชื่อถือแล้ว ก็ถึงตาของนักการเงินที่จะนำแผนที่นั้นมาใช้ตัดสินใจเรื่องสำคัญที่สุดของธุรกิจ นั่นก็คือ “เรื่องเงิน”

บทบาทของฝ่ายการเงินในการขับเคลื่อนความยั่งยืนนั้นเท่มากๆ เลยนะ:

  • การลงทุนอย่างยั่งยืน (Sustainable Investing): นักการเงินจะเลือกลงทุนในโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ แทนที่จะลงทุนในโครงการที่สร้างมลพิษ แม้ผลตอบแทนระยะสั้นอาจจะน้อยกว่า แต่ในระยะยาวมันคือการลงทุนที่ “ฉลาด” กว่า เพราะมีความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและกฎระเบียบต่ำกว่ามาก
  • การระดมทุนสีเขียว (Green Finance): เพื่อนๆ อาจเคยได้ยินคำว่า “หุ้นกู้สีเขียว” (Green Bond) นี่คืองานของฝ่ายการเงินเลย ที่จะออกตราสารหนี้เพื่อระดมเงินจากนักลงทุนทั่วโลก โดยมีสัญญาว่าจะนำเงินก้อนนี้ไปใช้ในโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะ ซึ่งนักลงทุนยุคใหม่ก็ชอบมาก!
  • การบริหารความเสี่ยงด้าน ESG: ความเสี่ยงของธุรกิจไม่ได้มีแค่เรื่องเศรษฐกิจตกต่ำอีกต่อไป แต่ยังมีความเสี่ยงจาก “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” (เช่น โรงงานโดนน้ำท่วม) หรือ “ความเสี่ยงทางสังคม” (เช่น การถูกผู้บริโภคบอยคอต) นักการเงินต้องประเมินความเสี่ยงเหล่านี้เป็นตัวเงิน และวางแผนป้องกัน เพื่อให้ธุรกิจไปต่อได้ในทุกสถานการณ์

เห็นมั้ยว่า: นักการเงินไม่ได้มองแค่ว่า “ทำยังไงให้รวยเร็วที่สุด” แต่มองว่า “จะใช้เงินที่มีอยู่สร้างการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืนที่สุดได้อย่างไร” พวกเขาคือคนที่นำ “คุณค่า” ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม มาแปลงเป็น “มูลค่า” ทางธุรกิจได้อย่างแท้จริง

ส่องตัวอย่างจริง: บริษัทที่ใช้การเงินและบัญชีขับเคลื่อนความยั่งยืน

เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ลองมาดูตัวอย่างจริงกันดีกว่า

บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG: เป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำของไทยและอาเซียนที่ให้ความสำคัญกับ ESG มากๆ ฝ่ายบัญชีของเขาไม่ได้วัดแค่ต้นทุนการผลิตปูน แต่ยังวัดไปถึง “ปริมาณการปล่อย CO2 ต่อตันผลิตภัณฑ์” และตั้งเป้าหมายลดลงทุกปี ส่วนฝ่ายการเงิน ก็มีการออก “หุ้นกู้เพื่อความยั่งยืน” (Sustainability-Linked Bond) เพื่อระดมทุนไปพัฒนานวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ข้อมูลทั้งหมดนี้ถูกเปิดเผยใน “รายงานการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ที่เพื่อนๆ สามารถเข้าไปอ่านได้บนเว็บไซต์ของเขาเลยนะ นี่คือการใช้ตัวเลขสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นของจริง

Patagonia (แบรนด์เสื้อผ้า outdoor ระดับโลก): แบรนด์นี้คือตัวอย่างสุดขั้วของการใช้ธุรกิจขับเคลื่อนสิ่งแวดล้อม แคมเปญดังของเขาคือ “Don’t Buy This Jacket” ที่บอกให้ลูกค้าคิดให้ดีก่อนซื้อ เพื่อลดการบริโภคเกินความจำเป็น ฟังดูเหมือนจะทำให้บริษัทเจ๊งใช่มั้ย? แต่เบื้องหลังคือการคำนวณทางการเงินและการบัญชีที่เฉียบคมมาก พวกเขารู้ว่าการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งและน่าเชื่อถือในระยะยาว จะสร้างผลตอบแทนที่มากกว่าการเน้นขายเยอะๆ ในระยะสั้น พวกเขาวัด “ต้นทุนทางสิ่งแวดล้อม” ของสินค้าแต่ละชิ้น และนำกำไร 1% ของยอดขายไปบริจาคให้องค์กรด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องผ่านกระบวนการทางบัญชีที่โปร่งใสและตรวจสอบได้

Q&A Corner: พี่ครับ/พี่คะ… หนูมีคำถาม!

มาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะมีคำถามในใจ พี่รวบรวมคำถามฮิตๆ มาตอบให้ตรงนี้เลย!

Q1: สรุปแล้ว ESG คืออะไร เอาแบบสั้นสุดๆ เลยได้ไหม?

A: ได้เลย! จำแบบนี้: E (โลก) – เราดูแลโลกดีแค่ไหน?, S (เรา) – เราดูแลคนรอบข้างดีแค่ไหน?, G (กฎ) – เราทำธุรกิจอย่างโปร่งใสและเป็นธรรมแค่ไหน?

Q2: เรียนบัญชี/การเงิน จะน่าเบื่อไหม? ดูมีแต่ตัวเลขเต็มไปหมด

A: ไม่เลย! ถ้าเรามองมันในมุมใหม่ มันคือการ “ถอดรหัส” เรื่องราวของบริษัทผ่านตัวเลข มันคือการเป็น “นักสืบ” ที่ต้องหาข้อมูลมาประกอบการตัดสินใจ และในยุคนี้ มันคือการได้เป็น “ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง” ที่ใช้ทักษะของเราทำให้โลกดีขึ้นจริงๆ มันท้าทายและมีความหมายมากกว่าที่คิดเยอะเลยนะ

Q3: แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าบริษัทไหน “ยั่งยืนจริง” หรือแค่ “ฟอกเขียว” (Greenwashing) พูดให้ดูดีไปงั้นๆ?

A: นี่แหละคือเหตุผลที่บทบาทของบัญชีสำคัญมาก! บริษัทที่ยั่งยืนจริงจะมีการเปิดเผยข้อมูล ESG ที่ชัดเจน วัดผลได้ และมักจะผ่านการตรวจสอบจากองค์กรภายนอก (เหมือนเวลามีคนมาตรวจงบการเงินนั่นแหละ) เราสามารถเข้าไปดู “รายงานความยั่งยืน” (Sustainability Report) บนเว็บไซต์ของบริษัทนั้นๆ ได้เลย ถ้าข้อมูลดูคลุมเครือ ไม่มีตัวเลขเปรียบเทียบชัดเจน ก็อาจจะต้องตั้งข้อสงสัยไว้ก่อน

Q4: ในฐานะนักเรียน ม.ปลาย เราจะเริ่มทำอะไรกับเรื่องนี้ได้บ้าง?

A: ทำได้เยอะมาก!

  • ติดตามข่าวสาร: ลองอ่านข่าวธุรกิจในมุมมองของความยั่งยืนดู จะเห็นว่าบริษัทใหญ่ๆ ทั่วโลกกำลังมุ่งไปทางนี้กันหมด
  • เป็นผู้บริโภคที่ตระหนักรู้: ก่อนจะซื้อของ ลองหาข้อมูลสักนิดว่าแบรนด์นั้นมีจุดยืนเรื่องสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างไร
  • ศึกษาหาข้อมูล: ลองเปิดดูรายงานความยั่งยืนของบริษัทที่เราสนใจ เช่น บริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เขามีรายชื่อ “หุ้นยั่งยืน” (THSI) ให้ดูด้วยนะ
  • เลือกเส้นทางอนาคต: ถ้าเรื่องนี้ทำให้เราใจเต้นแรง ลองมองคณะ/สาขาที่เกี่ยวข้องกับบัญชี การเงิน หรือการจัดการเพื่อความยั่งยืนดูสิ นี่คือสายอาชีพแห่งอนาคตที่ทั้งโลกต้องการตัวเลย!

บทสรุป: จากตัวเลข สู่โลกที่ดีกว่า

สุดท้ายนี้ พี่อยากจะบอกว่า การเงินและบัญชีไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือในการ “นับเงิน” อีกต่อไป แต่มันคือ “ภาษา” ที่ใช้สื่อสารคุณค่าขององค์กร และเป็น “เข็มทิศ” ที่นำทางธุรกิจไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน

นักบัญชีและนักการเงินในวันนี้ คือคนที่เชื่อมโยงระหว่าง “กำไร” และ “คุณค่า” พวกเขาพิสูจน์ให้โลกเห็นว่า การทำดีต่อโลกและสังคม ไม่ใช่ต้นทุน แต่คือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดในระยะยาว

สำหรับน้องๆ ที่กำลังค้นหาตัวเอง… ไม่ว่าอนาคตจะเลือกเดินไปทางไหน ความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้จะเป็นแต้มต่อที่สำคัญมากๆ เพราะโลกธุรกิจในยุคต่อไป จะขับเคลื่อนด้วยคนที่เข้าใจว่า “ความสำเร็จที่แท้จริง” ไม่ได้วัดจากตัวเลขในบัญชีกำไรขาดทุนเพียงอย่างเดียว แต่วัดจากผลกระทบเชิงบวกที่เราสร้างไว้ให้กับโลกใบนี้ด้วย และคนรุ่นใหม่แบบพวกเรานี่แหละ ที่จะเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนเรื่องนี้ต่อไป!

“`

Most Popular

Categories