กลยุทธ์การลงทุนสำหรับผู้ประกอบการปี 2025

กลยุทธ์ลงทุน 2025: ฉบับผู้ประกอบการ Gen Z เริ่มก่อน รวยกว่า!

หวัดดีน้องๆ ชาว Entrepreneur Wannabe ทุกคน!

พี่เป็นรุ่นพี่มหา’ลัยคนนึง ที่เห็นเพื่อนๆ และน้องๆ สมัยนี้ไฟแรงกันสุดๆ อายุ 14-18 ก็เริ่มทำธุรกิจเล็กๆ ของตัวเองกันแล้ว ไม่ว่าจะขายของออนไลน์, เป็น Youtuber, ทำ Affiliate Marketing หรือสร้างแบรนด์เสื้อผ้า คือเก่งกันมากๆ เลย ปรบมือให้!

พอเราเริ่มหาเงินเองได้ สิ่งที่ตามมาคือคำถามที่ว่า “แล้วจะเอาเงินไปทำอะไรต่อดี?” เก็บไว้ในบัญชีเฉยๆ ก็รู้สึกไม่คูล แถมค่าขนมก็ขึ้นเอาๆ เงินเท่าเดิมซื้อของได้น้อยลงอีก… ใช่แล้วครับน้องๆ นั่นแหละที่เขาเรียกว่า “เงินเฟ้อ” ศัตรูตัวร้ายของเงินออมเรา

บทความนี้ พี่เลยอยากจะมาแชร์ “กลยุทธ์การลงทุนสำหรับผู้ประกอบการปี 2025” ในเวอร์ชันที่ย่อยง่ายที่สุด สไตล์รุ่นพี่คุยกับรุ่นน้อง ไม่ต้องมีศัพท์เทคนิคเว่อร์วัง เน้นเอาไปใช้ได้จริง เพื่อให้เงินที่น้องๆ หามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรง มันได้ทำงานสร้างเงินต่อให้เรา เหมือนมีพนักงานอีกคนทำงานให้ 24 ชั่วโมงไปเลย! มาเริ่มกันเลยดีกว่า!


Mindset 101: ทำไม “ผู้ประกอบการ” ยิ่งต้อง “ลงทุน” ?

ก่อนจะไปดูว่าลงทุนอะไรดี พี่อยากปรับจูน Mindset กันก่อน หลายคนอาจคิดว่า “ก็เอาเงินไปหมุนในธุรกิจสิ จะเอาไปลงทุนอย่างอื่นทำไม?” ความคิดนี้ไม่ผิดนะ แต่มันคือการมองแค่ด้านเดียว ลองนึกภาพตามนะ…

  • ธุรกิจของเรา: คือเครื่องจักร “ผลิตเงินสด” (Active Income) เราต้องลงแรง ลงเวลา เพื่อให้มันเติบโตและสร้างรายได้
  • การลงทุน: คือเครื่องจักร “ต่อยอดเงิน” (Passive Income) เราใช้เงินที่หามาได้ ไปทำงานแทนเรา สร้างความมั่งคั่งในระยะยาว

การทำสองอย่างนี้ควบคู่กันไป มันคือการ “กระจายความเสี่ยง” ที่ฉลาดที่สุด! วันไหนธุรกิจเราสะดุด หรือเจอวิกฤต (อย่างโควิดที่ผ่านมา) เราก็ยังมีพอร์ตการลงทุนที่คอยเป็นเบาะรองรับให้เราไม่ล้มแรง และที่สำคัญที่สุดคือพลังของ “ดอกเบี้ยทบต้น” (Compound Interest) ที่ไอน์สไตน์ยกให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก

ตัวอย่างง่ายๆ: ถ้าน้องอายุ 15 เริ่มลงทุนเดือนละ 1,000 บาท ในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8% ต่อปี ตอนอายุ 30 น้องจะมีเงินเก็บประมาณ 270,000 บาท แต่ถ้าเพื่อนรอไปเริ่มตอนอายุ 25 (ช้าไป 10 ปี) ด้วยเงินเท่ากัน ตอนอายุ 30 เขาจะมีเงินแค่ประมาณ 78,000 บาทเอง เห็นมั้ยว่า “เวลา” คือแต้มต่อที่สำคัญที่สุดของพวกเราชาว Gen Z!


The 2025 Playbook: กลยุทธ์ลงทุนฉบับ Gen Z Entrepreneur

โอเค มาถึงภาคปฏิบัติกันบ้าง! ปี 2025 และต่อไปจากนี้ โลกการลงทุนมันเปลี่ยนไปเยอะมาก เรามีเครื่องมือและทางเลือกที่เข้าถึงง่ายกว่าสมัยก่อนเยอะ พี่จะแบ่งกลยุทธ์ออกเป็น Level ต่างๆ ตามความเสี่ยงและความเข้าใจนะ

Level 1: The Foundation – สร้างฐานให้มั่นคง (สำหรับมือใหม่ทุกคน)

ด่านนี้คือสิ่งที่เราทุกคนควรมี เป็นเหมือนฐานของพีระมิด ถ้าฐานแข็งแรง ยอดจะสร้างสูงแค่ไหนก็ได้

1. กองทุนรวมดัชนี (Index Funds): ลงทุนแบบ “ขี้เกียจแต่ฉลาด”

มันคืออะไร?: ลองนึกภาพว่าน้องอยากซื้อหุ้นของบริษัทเจ๋งๆ ในไทยซัก 50 บริษัท (ที่เรียกว่า SET50) แต่น้องมีเงินแค่ 1,000 บาท จะไปไล่ซื้อทีละตัวก็ไม่ได้ กองทุนรวมดัชนีเลยเข้ามาแก้ปัญหานี้ โดยการรวบรวมเงินจากคนเยอะๆ แล้วเอาไปซื้อหุ้นทั้ง 50 บริษัทตามสัดส่วนตลาดให้เราเลย การซื้อกองทุนนี้ 1 หน่วย ก็เหมือนเราได้เป็นเจ้าของบริษัทชั้นนำของไทยทั้ง 50 แห่งแบบจิ๋วๆ!

ทำไมถึงดี?:

  • กระจายความเสี่ยงอัตโนมัติ: ต่อให้หุ้นตัวนึงตกหนัก แต่อีก 49 ตัวยังดีอยู่ พอร์ตเราก็ไม่เจ็บหนัก
  • ค่าธรรมเนียมต่ำ: เพราะไม่ต้องมีคนมานั่งวิเคราะห์เลือกหุ้นรายตัวให้ปวดหัว
  • ไม่ต้องเฝ้าจอ: เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาอย่างเราๆ ที่ต้องโฟกัสกับธุรกิจหลัก

Action: ลองศึกษาคำว่า “กองทุน SET50” หรือ “กองทุน SET100” ในแอปพลิเคชันลงทุนต่างๆ เช่น Finnomena, Dime หรือแอปของธนาคารที่เราใช้บริการอยู่ เริ่มต้นแค่หลักร้อยหลักพันก็ได้แล้ว

2. เงินฝากดิจิทัลดอกเบี้ยสูง: ที่พักเงินฉุกเฉิน

มันคืออะไร?: มันคือบัญชีออมทรัพย์ในแอปฯ ที่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่าบัญชีออมทรัพย์ปกติ 5-10 เท่า! (ออมทรัพย์ปกติให้ดอกเบี้ยประมาณ 0.25% แต่พวกนี้ให้ได้ถึง 1.5% – 2% หรือมากกว่า)

ทำไมต้องมี?: บัญชีนี้เหมาะสำหรับเก็บ “เงินสำรองฉุกเฉิน” 3-6 เท่าของค่าใช้จ่าย หรือเงินที่เรารอจังหวะจะเอาไปลงทุนต่อ มันปลอดภัย สภาพคล่องสูง (ถอนเมื่อไหร่ก็ได้) และยังได้ผลตอบแทนดีกว่าฝากไว้เฉยๆ

Action: ลองเสิร์ชหา “บัญชีเงินฝากดิจิทัล” แล้วเปรียบเทียบดอกเบี้ยของแต่ละธนาคารดูได้เลย เปิดบัญชีผ่านแอปได้ง่ายๆ

Level 2: The Growth Engine – เพิ่มความเสี่ยง เพิ่มโอกาส (สำหรับคนเริ่มเข้าใจ)

พอเรามีฐานที่มั่นคงแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะแบ่งเงินส่วนนึงมา “ซิ่ง” ขึ้นอีกนิด เพื่อสร้างโอกาสให้พอร์ตเติบโตแบบก้าวกระโดด

1. หุ้นรายตัว (Individual Stocks): ลงทุนในสิ่งที่เรารู้จักและอิน

มันคืออะไร?: คือการที่เราเลือกเป็นเจ้าของบริษัทใดบริษัทหนึ่งโดยตรงเลย เช่น ซื้อหุ้น PTT ก็เหมือนเราเป็นเจ้าของปั๊มน้ำมันจิ๋วๆ ทั่วประเทศ, ซื้อหุ้น AOT ก็เหมือนเป็นเจ้าของสนามบินในไทย

กลยุทธ์สำหรับ Gen Z: อย่าไปฟังใครบอกใบ้หุ้น! ให้เริ่มจากสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา เราใช้สินค้าอะไร? เราชอบบริการของบริษัทไหน? น้องๆ ชอบเล่นเกม? ลองศึกษาหุ้นบริษัทเกมดูสิ ชอบกินขนม? ลองดูหุ้นบริษัทที่ผลิตขนมนั้นๆ การที่เราเข้าใจธุรกิจนั้นๆ จะทำให้เราตัดสินใจลงทุนได้ดีขึ้น

คำเตือน: การลงทุนในหุ้นรายตัวมีความเสี่ยงสูงกว่ากองทุนรวมมาก ต้องศึกษาข้อมูลบริษัทให้ดีก่อนตัดสินใจ และไม่ควรเอาเงินทั้งหมดมาลงในหุ้นแค่ตัวเดียวเด็ดขาด!

Action: เริ่มจากการเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ (พอร์ตหุ้น) กับบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ซึ่งสมัยนี้ทำออนไลน์ได้หมดแล้ว ถ้าอายุไม่ถึง 20 ปี อาจต้องให้ผู้ปกครองเซ็นยินยอม

2. สินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Assets): โอกาสสูง แต่เสี่ยงสุด!

มันคืออะไร?: พี่รู้ว่าน้องๆ ต้องเคยได้ยินเรื่อง Bitcoin, Ethereum หรือ NFTs กันมาบ้างแน่นอน สินทรัพย์กลุ่มนี้มีความผันผวนสูงมากกกก วันนึงอาจขึ้น 30% อีกวันอาจลง 50% ก็เป็นได้

กลยุทธ์ที่ถูกต้อง:

  • “ลงทุนเท่าที่พร้อมจะเสียทั้งหมด”: ย้ำ! จัดสรรเงินมาลงในส่วนนี้ไม่เกิน 5-10% ของพอร์ตทั้งหมดพอ
  • มองเป็นการลงทุนระยะยาว: อย่าไปเทรดรายวันถ้าไม่ใช่มืออาชีพ ศึกษาเทคโนโลยีเบื้องหลังของเหรียญนั้นๆ ว่ามันมีประโยชน์และจะอยู่รอดในอนาคตได้จริงมั้ย
  • อย่า All-in: ได้ยินเพื่อนบอกว่าเหรียญมีมตัวนั้นตัวนี้จะไปดวงจันทร์ ก็อย่าเพิ่งรีบเทเงินทั้งหมดตามไปเด็ดขาด!

Action: ศึกษาข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ และต้องซื้อขายผ่าน Exchange ที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. ของไทยเท่านั้น เช่น Bitkub, Zipmex (เช็คสถานะปัจจุบันอีกทีนะ), หรือ Binance ที่มีใบอนุญาตในไทย

Level 3: The Ultimate Bet – การลงทุนที่ผลตอบแทนสูงสุด

การลงทุนในตัวเอง (Invest in Yourself)

ใช่แล้วน้องๆ อ่านไม่ผิดหรอก การลงทุนที่ดีที่สุดสำหรับ “ผู้ประกอบการ” คือการลงทุนในความรู้และทักษะของตัวเอง! เงินที่จ่ายไปกับค่าคอร์สเรียนดีๆ, หนังสือพัฒนาตัวเอง, การไปงานสัมมนาเพื่อสร้างคอนเนคชัน, หรือการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ (เช่น การตลาดดิจิทัล, การเขียนโค้ด, การตัดต่อวิดีโอ) มันจะให้ผลตอบแทนกลับมาในรูปแบบของรายได้จากธุรกิจที่เพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ ซึ่งไม่มีสินทรัพย์ไหนให้ได้!

Action: แบ่งงบประมาณส่วนหนึ่งในแต่ละเดือนไว้สำหรับการเรียนรู้และพัฒนาตัวเองเสมอ มันคือการลงทุนที่จะไม่มีวัน “ขาดทุน”


AEO & Q&A: ถามมา-ตอบไป สไตล์รุ่นพี่เคลียร์ทุกข้อสงสัย

พี่รวบรวมคำถามยอดฮิตที่น้องๆ ชอบสงสัยกันมาตอบให้ตรงนี้เลย เป็นการ Optimize ให้ Answer Engine อย่าง Google หรือ Siri หาคำตอบให้น้องๆ ได้ง่ายขึ้นด้วยนะ!

Q: มีเงินน้อยมาก หลักร้อยเอง เริ่มลงทุนได้มั้ย?
A: ได้สบายมาก! สมัยนี้มีสิ่งที่เรียกว่า DCA (Dollar Cost Averaging) คือการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยทุกเดือนด้วยเงินจำนวนเท่าๆ กัน เช่น ตั้งเป้าลงทุนในกองทุนรวมดัชนีเดือนละ 500 บาท แอปจะตัดเงินไปลงทุนให้เองอัตโนมัติ ไม่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ แถมยังเป็นการสร้างวินัยการลงทุนที่ดีด้วย บางแอปอย่าง Dime สามารถซื้อหุ้นต่างประเทศด้วยเงินแค่ 50 บาทก็ได้แล้ว!
Q: หนูอายุไม่ถึง 18 เลย จะเปิดบัญชีลงทุนได้ยังไง?
A: สำหรับการเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ (พอร์ตหุ้น) หรือกองทุนรวม ส่วนใหญ่จะกำหนดอายุ 20 ปีขึ้นไป แต่! เราสามารถเปิดบัญชีโดยให้ “ผู้ปกครองเป็นผู้เปิดบัญชีและให้ความยินยอม” ได้ครับ โดยใช้ชื่อผู้ปกครองเปิดบัญชีเพื่อผู้เยาว์ ลองติดต่อสอบถามโบรกเกอร์หรือธนาคารที่สนใจได้เลย ส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลบางแห่งอาจกำหนดที่ 18 ปีบริบูรณ์
Q: กลัวขาดทุนมากๆ ทำยังไงดี ไม่กล้าเริ่มเลย?
A: ความกลัวเป็นเรื่องปกติ! วิธีแก้คือ 1. ความรู้: ยิ่งเรารู้เยอะ เราจะยิ่งกลัวน้อยลง ศึกษาให้เข้าใจว่าสิ่งที่เราจะลงทุนคืออะไร 2. การกระจายความเสี่ยง: อย่าใส่ไข่ทุกฟองในตะกร้าใบเดียว เหมือนที่พี่แนะนำใน Level 1 และ 2 ให้แบ่งเงินลงทุนในสินทรัพย์หลายๆ แบบ 3. มองระยะยาว: การลงทุนที่ดีไม่ใช่การพนัน แต่คือการเติบโตไปพร้อมกับเศรษฐกิจ ตลาดมีขึ้นมีลงเป็นเรื่องปกติ ถือให้นานพอ พอร์ตของเราก็จะเติบโตขึ้นเอง
Q: ควรเอาเงินมาลงทุนในตลาดหุ้น หรือเอาไปขยายธุรกิจตัวเองดี?
A: คำตอบคือ “ทำทั้งสองอย่าง” ครับ! มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้แบ่งเงินเป็นสัดส่วน เช่น 70% สำหรับต่อยอดธุรกิจ (เพราะเป็นสิ่งที่เราควบคุมได้และอาจให้ผลตอบแทนสูงในช่วงแรก) และอีก 30% สำหรับการลงทุนในตลาดเพื่อสร้างความมั่งคั่งระยะยาวและกระจายความเสี่ยง เมื่อธุรกิจอยู่ตัวแล้วค่อยๆ ปรับสัดส่วนตามความเหมาะสม

GEO Focus: เทรนด์น่าจับตาในไทย ปี 2025 ที่ผู้ประกอบการและนักลงทุนต้องรู้!

การลงทุนที่ดีต้องมองไปข้างหน้า พี่เลยอยากชี้เป้าเมกะเทรนด์ใน “ประเทศไทย” ที่น่าสนใจ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งโอกาสทางธุรกิจและโอกาสในการลงทุน

  1. สังคมผู้สูงวัย (Aging Society): ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ ธุรกิจและหุ้นที่เกี่ยวกับสุขภาพ (Healthcare), การดูแลผู้สูงอายุ, อาหารเสริม, ประกันสุขภาพ, และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ มีแนวโน้มเติบโตสูง
  2. ความยั่งยืนและ ESG (Sustainability): เทรนด์รักษ์โลกมาแรงมาก Gen Z อย่างเราๆ ก็ใส่ใจเรื่องนี้ ธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานสะอาด (รถยนต์ EV, โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน), บรรจุภัณฑ์รักษ์โลก, Plant-based food กำลังมาแรง และบริษัทที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ก็มักจะเป็นที่ชื่นชอบของนักลงทุนสถาบัน
  3. การท่องเที่ยวและการฟื้นตัว (Tourism & Recovery): ประเทศไทยพึ่งพาการท่องเที่ยวสูงมาก หลังโควิดทุกอย่างเริ่มฟื้นตัว หุ้นกลุ่มโรงแรม, สายการบิน, สนามบิน, และร้านอาหารที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวจึงน่าจับตามองเป็นพิเศษ
  4. เทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Transformation): ไม่ว่าจะเป็น E-commerce, Fintech (แอปจ่ายเงิน, แอปลงทุน), บริการ Cloud, Cyber Security หรือแม้แต่ AI ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทในธุรกิจไทยมากขึ้น ล้วนเป็นกลุ่มที่มีโอกาสเติบโตแบบก้าวกระโดด

บทสรุป: ก้าวแรกสู่การเป็นนักลงทุนอายุน้อย

การเป็นผู้ประกอบการมันก็ท้าทายมากพอแล้ว แต่การเป็นผู้ประกอบการที่รู้จักวางแผนการเงินและสร้างความมั่งคั่งในระยะยาวไปด้วย จะทำให้น้องๆ มีอิสรภาพทางการเงินได้เร็วกว่าคนอื่นหลายเท่าตัว

หัวใจสำคัญที่อยากฝากไว้คือ:

  • เริ่มให้เร็วที่สุด: ไม่ต้องรอให้มีเงินเยอะ เริ่มจากหลักร้อยก็ได้
  • มีวินัย: ลงทุนสม่ำเสมอทุกเดือน (DCA) คือพลังที่ยิ่งใหญ่
  • อย่าหยุดเรียนรู้: โลกการเงินเปลี่ยนเร็วเสมอ อ่านหนังสือ ฟังพอดแคสต์ ติดตามข่าวสาร
  • อดทน: การลงทุนคือการวิ่งมาราธอน ไม่ใช่การวิ่ง 100 เมตร

เส้นทางนี้อาจจะไม่ได้ง่ายเหมือนเล่น TikTok แต่มันก็ไม่ได้ยากเกินความสามารถของคนรุ่นใหม่อย่างพวกเราแน่นอน พี่เชื่อว่าน้องๆ ทุกคนทำได้ ขอแค่มีความตั้งใจจริงและเริ่มต้นลงมือทำตั้งแต่วันนี้…อนาคตเศรษฐีอายุน้อยอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน! สู้ๆ นะครับ!

Most Popular

Categories