หักเหมา VS หักจริง: ศึกชิงบัลลังก์ลดหย่อนภาษี แบบไหนเซฟเงินในกระเป๋าเราที่สุด?
เฮ้ทุกคน! พี่เป็นนักศึกษามหาลัยคนนึงนี่แหละ ที่เริ่มมีรายได้จากการรับงานฟรีแลนซ์บ้าง ขายของออนไลน์ขำๆ บ้าง แล้วก็มาเจอเรื่องปวดหัวที่เรียกว่า “ภาษี” ตอนแรกก็งงเป็นไก่ตาแตกเลย แต่พอได้ศึกษาจริงจังก็พบว่ามันมี “ทริค” ที่จะช่วยให้เราประหยัดเงินได้เยอะมาก! วันนี้เลยจะมาแชร์แบบรุ่นพี่สอนน้อง ในหัวข้อที่สำคัญที่สุดหัวข้อหนึ่ง นั่นคือ “การเลือกหักค่าใช้จ่าย” ระหว่าง “หักแบบเหมา” กับ “หักตามจริง” บอกเลยว่าอ่านจบแล้วจะร้องอ๋อ! แล้วเลือกฝั่งที่ใช่สำหรับตัวเองได้แน่นอน
ก่อนอื่นเลย… “หักค่าใช้จ่าย” มันคืออะไร? ทำไมต้องแคร์?
ใจเย็นๆ นะทุกคน ไม่ต้องเครียด! ลองนึกภาพตามง่ายๆ สมมติเราเปิดร้านขายสติกเกอร์ออนไลน์ ทำสติกเกอร์ขายน่ารักๆ ได้เงินมา 10,000 บาท… ตัวเลขนี้เรียกว่า “รายได้” หรือ “เงินได้”
แต่กว่าจะได้ 10,000 บาทมาเนี่ย เราต้องมีต้นทุนใช่มั้ย? เช่น ค่ากระดาษสติกเกอร์ 1,000 บาท, ค่าหมึกพิมพ์ 500 บาท, ค่าซองกับค่าส่งอีก 500 บาท รวมต้นทุนทั้งหมด 2,000 บาท
หลักการของภาษีที่ดีคือ รัฐฯ ควรจะเก็บภาษีจาก “กำไร” ไม่ใช่จาก “รายได้” ทั้งก้อน ดังนั้น กรมสรรพากรเลยอนุญาตให้เราเอา “ต้นทุน” หรือที่เรียกเท่ๆ ว่า “ค่าใช้จ่าย” มาหักออกจากรายได้ก่อน แล้วค่อยเอายอดที่เหลือไปคำนวณภาษี
จากตัวอย่างตะกี้: รายได้ 10,000 – ค่าใช้จ่าย 2,000 = เงินได้สุทธิ (เพื่อคำนวณภาษี) 8,000 บาท
เห็นมั้ย? เราจะโดนคิดภาษีจากเงิน 8,000 บาท ไม่ใช่ 10,000 บาทเต็มๆ นี่แหละคือเหตุผลว่าทำไมการ “หักค่าใช้จ่าย” ถึงสำคัญมาก! เพราะยิ่งเราหักค่าใช้จ่ายได้เยอะเท่าไหร่ เงินที่ต้องเอาไปคำนวณภาษีก็จะน้อยลง และเราก็จะเสียภาษีน้อยลงตามไปด้วย! วิน-วิน!
เปิดตัว 2 ผู้ท้าชิง: ทีม หักเหมา vs ทีมหักตามจริง
ทีนี้ กรมสรรพากรเขาก็ใจดีนะ เขามีทางเลือกให้เรา 2 ทางในการหักค่าใช้จ่ายนี่แหละ ซึ่งก็คือ…
- การหักค่าใช้จ่ายแบบเหมา (Standard Deduction)
- การหักค่าใช้จ่ายตามจริง (Actual Expense Deduction)
สองวิธีนี้มีข้อดีข้อเสียต่างกันคนละขั้วเลย มาดูกันทีละทีมดีกว่า!
ทีมหักเหมา: สายชิลล์ ไม่ต้องคิดเยอะ!
ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า “เหมา” มันคือการที่กรมสรรพากรกำหนดมาให้เลยว่า อาชีพแบบเธอเนี่ย เราให้หักค่าใช้จ่ายไปเลยเป็นเปอร์เซ็นต์คงที่จากรายได้ โดยไม่ต้องใช้เอกสารหลักฐานอะไรมายืนยันเลยแม้แต่ชิ้นเดียว!
หลักการทำงานของทีม #หักเหมา
ง่ายๆ แค่เอารายได้ทั้งปีของเรา มาคูณกับอัตราเหมาที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับอาชีพนั้นๆ ก็จะได้เป็นค่าใช้จ่ายทันที
ตัวอย่างอัตราหักเหมา (อาจมีการเปลี่ยนแปลง เช็คกับเว็บกรมสรรพากรอีกทีนะ!):
- งานฟรีแลนซ์ทั่วไป (รับจ้างทำงานให้): เช่น นักเขียน, กราฟิกดีไซน์, โปรแกรมเมอร์, Youtuber, Influencer ส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มนี้ หักเหมาได้ ตามจริงเท่านั้น แต่ไม่เกิน 60% (สำหรับบางประเภทงานที่กฎหมายกำหนด) หรือบางประเภทอาจจะหักไม่ได้เลย ต้องเช็คประเภทเงินได้ของเราดีๆ ส่วนใหญ่ฟรีแลนซ์จะอยู่ในเงินได้ประเภทที่ 2 (มาตรา 40(2)) ซึ่งหักเหมาได้ 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
- ขายของออนไลน์ (แบบซื้อมา-ขายไป ไม่ได้ผลิตเอง): หักเหมาได้ 60%
- นักแสดงสาธารณะ: หักเหมาได้ 40-60% แล้วแต่ยอดรายได้
ข้อดีของทีม หักเหมา
- โคตรง่าย: แค่รู้รายได้ ก็คำนวณได้เลย ไม่ต้องเก็บใบเสร็จ ไม่ต้องทำบัญชีให้ปวดหัว
- ประหยัดเวลา: ตอนยื่นภาษีก็แค่กรอกตัวเลข ไม่ต้องเตรียมเอกสารอะไรเลย
- ไม่มีความเสี่ยง: ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนเจ้าหน้าที่สรรพากรเรียกตรวจเอกสาร เพราะเราไม่ได้ใช้เอกสาร!
ข้อเสียของทีม หักเหมา
- อาจจะไม่คุ้มค่าที่สุด: ถ้าต้นทุนจริงๆ ของเราสูงกว่าอัตราที่เขาให้เหมา เราจะเสียเปรียบมาก! เช่น เราขายของออนไลน์ที่กำไรน้อยมาก ต้นทุนอาจจะปาไป 80% ของรายได้ แต่โดนบังคับให้หักแค่ 60% แบบนี้คือขาดทุนภาษีเห็นๆ
- มีเพดานจำกัดในบางประเภท: เช่น เงินได้บางประเภทกำหนดว่าหักได้ 50% แต่สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท ถ้าเรามีรายได้เยอะๆ การจำกัดเพดานนี้อาจทำให้เราหักค่าใช้จ่ายได้น้อยลง
ทีมหักตามจริง: สายเป๊ะ เก็บทุกเม็ด!
ทีมนี้คือขั้วตรงข้ามเลยจ้า! หลักการคือ “จ่ายไปเท่าไหร่ ก็หักเท่านั้น” แต่… ทุกบาททุกสตางค์ที่เราจะเอามาหัก ต้องมี “หลักฐาน” ที่พิสูจน์ได้ว่าเราจ่ายไปจริง และเกี่ยวข้องกับการสร้างรายได้ของเราจริงๆ
หลักการทำงานของทีม หักตามจริง
เราต้องรวบรวมเอกสารค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นตลอดทั้งปีภาษี ไม่ว่าจะเป็น ใบเสร็จรับเงิน, ใบกำกับภาษี, บิลต่างๆ แล้วเอามายอดรวมทั้งหมด เพื่อใช้เป็นตัวเลขค่าใช้จ่ายในการยื่นภาษี
อะไรบ้างที่นับเป็น “ค่าใช้จ่ายตามจริง” ได้? (ตัวอย่างสำหรับชาวเรา)
- สำหรับคนขายของออนไลน์:
- ต้นทุนค่าสินค้าที่ซื้อมาขาย
- ค่าแพ็กเกจจิ้ง (กล่อง, บับเบิ้ล, เทป)
- ค่าขนส่งสินค้าให้ลูกค้า
- ค่าโฆษณา (ยิงแอด Facebook, Google, TikTok)
- ค่าจ้างพนักงานแพ็คของ (ถ้ามี)
- สำหรับฟรีแลนซ์ / Content Creator:
- ค่าคอมพิวเตอร์, อุปกรณ์ (สามารถหักเป็นค่าเสื่อมราคาได้)
- ค่าโปรแกรม / Software / Font ที่ต้องจ่ายรายเดือน/รายปี (Adobe, Canva Pro, Microsoft 365)
- ค่าอินเทอร์เน็ต, ค่าโทรศัพท์ (ต้องพิสูจน์ได้ว่าใช้ทำงาน)
- ค่า Co-working space
- ค่าเดินทางไปพบลูกค้า (ค่าแท็กซี่, ค่าน้ำมัน)
- ค่าจ้างผู้ช่วย (ถ้ามี)
ข้อดีของทีมหักตามจริง
- สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง: เหมาะมากสำหรับธุรกิจหรืออาชีพที่มีต้นทุนสูง ทำให้เราเสียภาษีจาก “กำไร” จริงๆ
- ประหยัดภาษีได้สูงสุด: ถ้าเรามีวินัยในการเก็บเอกสาร นี่คือวิธีที่จะทำให้เราเซฟเงินในกระเป๋าได้มากที่สุด
- ไม่มีเพดานจำกัด: มีค่าใช้จ่าย 1 ล้านบาท ถ้ามีหลักฐานครบ ก็หักได้ 1 ล้านบาท!
ข้อเสียของทีมหักตามจริง
- ยุ่งยากและจุกจิกมาก!: ต้องเก็บทุกอย่าง! ใบเสร็จเล็กๆ น้อยๆ ก็ห้ามหายเด็ดขาด
- ต้องทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย: เพื่อให้รู้ยอดรวมและง่ายต่อการตรวจสอบ
- มีความเสี่ยงถูกตรวจสอบ: ถ้าเอกสารไม่ครบถ้วน หรือมีค่าใช้จ่ายบางอย่างที่ไม่สมเหตุสมผล อาจโดนเจ้าหน้าที่สรรพากรเรียกคุยได้
- ต้องมีความรู้: ต้องรู้ว่าค่าใช้จ่ายอะไรหักได้ หรือหักไม่ได้บ้าง ไม่ใช่ทุกอย่างที่เราจ่ายจะเอามาหักได้นะ!
The Final Showdown: แล้วเราจะเลือกทีมไหนดี?
มาถึงคำถามสำคัญที่สุด! คำตอบนั้นง่ายกว่าที่คิด มันมีสูตรสำเร็จอยู่ นั่นคือ… “การเปรียบเทียบ”
หลักการทองคำ: ลองคำนวณดูทั้ง 2 แบบ แล้วดูว่าแบบไหนทำให้เรา “หักค่าใช้จ่ายได้มากกว่า” ก็เลือกแบบนั้น!
✨ Case Study: น้องดรีม นักวาดสติกเกอร์ไลน์ขาย
สมมติว่าปีนี้น้องดรีมมีรายได้จากการขายสติกเกอร์และรับจ้างวาดรูป รวมทั้งหมด 300,000 บาท
วิธีที่ 1: ลองคำนวณแบบ #หักเหมา
อาชีพรับจ้างวาดรูป จัดเป็นเงินได้ประเภทที่ 2 (มาตรา 40(2)) สามารถหักเหมาได้ 50% แต่สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท
คำนวณ: 300,000 x 50% = 150,000 บาท
แต่! มันติดเพดานสูงสุดที่ 100,000 บาท ดังนั้น ถ้าน้องดรีมเลือกหักเหมา จะหักค่าใช้จ่ายได้ 100,000 บาท
วิธีที่ 2: ลองคำนวณแบบ #หักตามจริง
น้องดรีมเป็นคนมีวินัยมาก เลยเก็บใบเสร็จทุกอย่างไว้ตลอดปี พอสิ้นปีลองเอามารวมยอดดู:
- ค่าโปรแกรมวาดรูปรายปี: 2,000 บาท
- ค่าซื้อ Font ใหม่: 3,000 บาท
- ค่าแท็บเล็ตวาดรูป (หักเป็นค่าเสื่อม): 5,000 บาท
- ค่าอินเทอร์เน็ต (ส่วนที่ใช้ทำงาน): 4,800 บาท
- ค่ายิงแอดโปรโมตผลงาน: 15,000 บาท
รวมค่าใช้จ่ายตามจริงทั้งหมด: 2,000 + 3,000 + 5,000 + 4,800 + 15,000 = 29,800 บาท
ผลการตัดสิน!
หักแบบเหมา: หักได้ 100,000 บาท
หักตามจริง: หักได้ 29,800 บาท
สรุป: ในเคสนี้ น้องดรีมควรเลือก #หักแบบเหมา เพราะสามารถหักค่าใช้จ่ายได้สูงกว่ามาก ทำให้เสียภาษีน้อยลงไปเยอะเลย!
✨ Case Study 2: พี่นนท์ พ่อค้าออนไลน์
พี่นนท์ขายเสื้อผ้าแฟชั่นออนไลน์ มีรายได้ทั้งปี 1,000,000 บาท
วิธีที่ 1: ลองคำนวณแบบ #หักเหมา
อาชีพขายของออนไลน์ (ซื้อมา-ขายไป) หักเหมาได้ 60%
คำนวณ: 1,000,000 x 60% = 600,000 บาท
วิธีที่ 2: ลองคำนวณแบบ #หักตามจริง
พี่นนท์ทำบัญชีไว้ละเอียดมาก
- ต้นทุนค่าเสื้อผ้าที่รับมา: 700,000 บาท
- ค่ากล่อง, ซอง, วัสดุแพ็ค: 25,000 บาท
- ค่าขนส่งให้ลูกค้า: 50,000 บาท
- ค่ายิงแอดโปรโมตร้าน: 80,000 บาท
รวมค่าใช้จ่ายตามจริงทั้งหมด: 700,000 + 25,000 + 50,000 + 80,000 = 855,000 บาท
ผลการตัดสิน!
หักแบบเหมา: หักได้ 600,000 บาท
หักตามจริง: หักได้ 855,000 บาท
สรุป: ในเคสนี้ พี่นนท์ต้องเลือก #หักตามจริง เท่านั้น! เพราะหักค่าใช้จ่ายได้มากกว่าแบบเหมาถึง 255,000 บาท ซึ่งช่วยประหยัดภาษีไปได้มหาศาล!
Q&A ถามมา-ตอบไป สไตล์เด็กหอ (AEO Section)
รวบรวมคำถามที่หลายคนน่าจะสงสัยมาให้ตรงนี้เลย!
Q1: ยังเป็นนักเรียน/นักศึกษาอยู่เลย แต่มีรายได้เกินเท่าไหร่ถึงต้องยื่นภาษี?
A: ถ้ามีรายได้จากงานฟรีแลนซ์, ขายของออนไลน์, Youtuber (ที่ไม่ใช่เงินเดือน) เกิน 60,000 บาทต่อปี มีหน้าที่ต้อง “ยื่น” ภาษีนะ! แต่จะ “เสีย” ภาษีหรือไม่นั้น ต้องไปดูหลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนอื่นๆ อีกที ซึ่งส่วนใหญ่ถ้ายังรายได้ไม่เยอะมาก มักจะไม่ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษี แต่การยื่นแบบฯ เป็นหน้าที่ของพลเมืองที่ดีนะ!
Q2: ถ้าจะเลือกหักตามจริง มีเทคนิคเก็บใบเสร็จยังไงไม่ให้หาย?
A: ทันทีที่ได้ใบเสร็จมา ให้ใช้แอปฯ สแกนเอกสารในมือถือ (เช่น CamScanner, Microsoft Lens หรือแม้แต่แอป Notes ใน iPhone) ถ่ายรูปเก็บไว้เลย แล้วสร้าง Folder ใน Google Drive หรือคอมพิวเตอร์แยกเป็นเดือนๆ ไปเลย เช่น “ค่าใช้จ่าย ม.ค.”, “ค่าใช้จ่าย ก.พ.” พอสิ้นปีจะรวบรวมง่ายมาก ส่วนใบจริงก็เก็บใส่แฟ้มแยกไว้เป็นที่เป็นทางอีกที
Q3: ถ้าเลือกวิธียื่นไปแล้ว มาเจอทีหลังว่าอีกวิธีคุ้มกว่า ทำยังไงได้บ้าง?
A: ไม่ต้องตกใจ! เราสามารถ “ยื่นเพิ่มเติม” ได้ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด (ปกติคือ 3 ปี) เพื่อแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้องและขอคืนภาษีส่วนที่จ่ายเกินไปได้ แต่ทางที่ดีคือคำนวณเปรียบเทียบให้ดีตั้งแต่แรก จะได้ไม่เสียเวลาทีหลังเนอะ
Q4: มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้างที่เอามาหัก “ตามจริง” ไม่ได้เด็ดขาด?
A: หลักๆ เลยคือ ค่าใช้จ่ายส่วนตัว ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำงาน เช่น ค่ากาแฟ, ค่าดูหนัง, ค่าเสื้อผ้าสวยๆ (ยกเว้นเป็นชุดที่ใช้ในการทำงานแสดง), ค่าอาหารมื้อปกติ หรือค่าใช้จ่ายที่ไม่มีหลักฐานใบเสร็จที่ถูกต้องตามหลักของกรมสรรพากร (เช่น บิลเงินสดที่ไม่มีชื่อผู้ขาย/ที่อยู่) ก็เอามาหักไม่ได้นะ
Q5: ไปปรึกษาเรื่องภาษีได้ที่ไหนในประเทศไทย?
A: สำหรับข้อมูลที่ถูกต้องที่สุดและเป็นทางการ สามารถติดต่อได้ที่ กรมสรรพากร (The Revenue Department) โดยตรงผ่านสายด่วน 1161 หรือเข้าไปที่เว็บไซต์ของกรมสรรพากร นอกจากนี้ยังสามารถไปปรึกษาเจ้าหน้าที่ที่ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ ใกล้บ้านได้เลย พี่ๆ เจ้าหน้าที่ใจดีและพร้อมให้คำแนะนำเสมอ
สรุปส่งท้าย: ไม่มีวิธีไหนดีที่สุด มีแต่วิธีที่ “เหมาะสมกับเรา” ที่สุด
สุดท้ายแล้ว การต่อสู้ระหว่างทีม #หักเหมา กับทีม #หักตามจริง ไม่มีผู้ชนะที่ตายตัว ผู้ชนะคือตัวเราเองที่สามารถเลือกวิธีที่ทำให้เราประหยัดภาษีได้มากที่สุดในปีนั้นๆ
- ถ้าเธอเป็นสายชิลล์ ต้นทุนน้อย หรือเพิ่งเริ่มต้นมีรายได้ไม่เยอะ #หักเหมา อาจเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด
- แต่ถ้าเธอเป็นสายธุรกิจเต็มตัว ต้นทุนสูง ของเข้าของออกตลอดเวลา #หักตามจริง คือหนทางสู่การประหยัดภาษีขั้นสุดยอด
หน้าที่ของเราคือ แค่ลองสละเวลาตอนปลายปี มานั่งคำนวณเปรียบเทียบตัวเลขของทั้งสองฝั่งดู เหมือนที่เราทำใน Case Study นั่นแหละ การเริ่มต้นทำความเข้าใจเรื่องภาษีตั้งแต่อายุยังน้อยแบบนี้ ถือเป็นสกิลการเงินที่โคตรเจ๋งและจะติดตัวเราไปตลอด ทำให้เราเป็นผู้ใหญ่ที่บริหารเงินได้อย่างชาญฉลาดแน่นอน!