เจาะลึก Data Science Life Cycle: จากการวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์สู่ Machine Learning Models
ทำความเข้าใจกระบวนการทำงานของ Data Scientist อย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การตั้งโจทย์ทางธุรกิจไปจนถึงการสร้างโมเดลที่ใช้งานได้จริง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของศาสตร์ วิทยาศาสตร์ข้อมูล ในยุคปัจจุบัน
สารบัญ (Table of Contents)
ในยุคที่ข้อมูลถูกขนานนามว่าเป็น “น้ำมันชนิดใหม่” (The New Oil) องค์กรต่าง ๆ ทั่วโลกต่างมุ่งแสวงหาหนทางในการนำข้อมูลมหาศาล (Big Data) มาใช้ประโยชน์เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน บทบาทของ Data Scientist หรือนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลจึงทวีความสำคัญขึ้นอย่างก้าวกระโดด อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจยังเข้าใจว่างานด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูลเป็นเพียงการเขียนโค้ดเพื่อสร้างแบบจำลอง Machine Learning เท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว กระบวนการทำงานทั้งหมดมีความซับซ้อนและเป็นระบบมากกว่านั้นมาก ซึ่งเราเรียกระบบการทำงานนี้ว่า Data Science Life Cycle
บทความนี้จะพาทุกท่านไปเจาะลึกถึงวงจรชีวิตของโครงการวิทยาศาสตร์ข้อมูล ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการทำความเข้าใจปัญหาทางธุรกิจผ่าน#การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ ไปจนถึงขั้นตอนสุดท้ายคือการนำแบบจำลองไปใช้งานจริงและติดตามผล เพื่อให้ผู้ที่สนใจในสายอาชีพ MachineLearningCareer และผู้ที่กำลังศึกษาในหลักสูตรเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องได้เห็นภาพรวมทั้งหมด
1. Data Science Life Cycle คืออะไรและสำคัญอย่างไร?
Data Science Life Cycle หรือ วงจรชีวิตวิทยาศาสตร์ข้อมูล คือ กรอบการทำงาน (Framework) ที่เป็นลำดับขั้นตอนมาตรฐานในการดำเนินโครงการด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูล ตั้งแต่ต้นจนจบ กระบวนการนี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่าโครงการจะดำเนินไปอย่างมีทิศทาง สามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุด และผลลัพธ์ที่ได้สามารถนำไปสร้างคุณค่าให้กับองค์กรได้จริง
ความสำคัญของ Life Cycle คือการเปลี่ยนแนวทางการทำงานจากการ “ลองผิดลองถูก” ไปสู่ “กระบวนการที่เป็นระบบและทำซ้ำได้” (Systematic and Repeatable Process) ช่วยลดความเสี่ยงของโครงการที่อาจล้มเหลวเนื่องจากการตั้งโจทย์ที่ไม่ชัดเจน ข้อมูลที่ไม่มีคุณภาพ หรือแบบจำลองที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการทางธุรกิจได้จริง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับ Data Scientist มืออาชีพ
2. เปิดทุกขั้นตอนในวงจรชีวิตวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Science Life Cycle)
แม้จะมีหลาย Framework ที่ถูกนำเสนอ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีหัวใจหลักของกระบวนการที่คล้ายคลึงกัน โดยอ้างอิงจากมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับอย่าง CRISP-DM (Cross-Industry Standard Process for Data Mining) เราสามารถแบ่งวงจรชีวิตของวิทยาศาสตร์ข้อมูลออกเป็น 6 ขั้นตอนหลักได้ดังนี้:
ขั้นตอนที่ 1: Business Understanding และ #การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์
นี่คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุดและมักถูกมองข้าม ก่อนที่จะเริ่มวิเคราะห์ข้อมูลใดๆ Data Scientist จะต้องทำงานร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) เพื่อทำความเข้าใจปัญหาทางธุรกิจอย่างถ่องแท้เสียก่อน คำถามสำคัญในขั้นตอนนี้คือ:
- ปัญหาที่ต้องการแก้ไขคืออะไร? (e.g., ยอดขายลดลง, ลูกค้าเลิกใช้บริการสูง)
- เป้าหมายของโครงการคืออะไร? (e.g., เพิ่มยอดขาย 10%, ลดอัตรา Churn Rate 5%)
- ตัวชี้วัดความสำเร็จ (Success Criteria) คืออะไร?
- ข้อจำกัดและทรัพยากรที่มีอยู่คืออะไร?
การทำ #การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ ในขั้นตอนนี้จะช่วยกำหนดขอบเขตของโครงการให้ชัดเจน และทำให้มั่นใจว่าผลลัพธ์ที่ได้จะสอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กร
ขั้นตอนที่ 2: Data Acquisition & Understanding (การรวบรวมและทำความเข้าใจข้อมูล)
เมื่อเข้าใจโจทย์แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจากแหล่งต่างๆ เช่น ฐานข้อมูล (Databases), คลังข้อมูล (Data Warehouses), APIs, หรือแม้กระทั่งการทำ Web Scraping จากเว็บไซต์ ข้อมูลเหล่านี้อาจมีขนาดใหญ่มาก ซึ่งทักษะด้าน BigDataAnalytics จะเข้ามามีบทบาทสำคัญ
หลังจากรวบรวมข้อมูลแล้ว จะต้องทำ Exploratory Data Analysis (EDA) เพื่อทำความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับข้อมูล เช่น การดูค่าสถิติพื้นฐาน, การหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร, และการสร้างภาพข้อมูล (Data Visualization) เพื่อมองหา Pattern หรือสิ่งผิดปกติ (Anomalies) ที่น่าสนใจ
ขั้นตอนที่ 3: Data Preparation / Preprocessing (การเตรียมข้อมูล)
ขั้นตอนนี้มักจะใช้เวลามากที่สุดในโครงการวิทยาศาสตร์ข้อมูล (อาจมากถึง 80% ของเวลาทั้งหมด) เนื่องจากข้อมูลในโลกความเป็นจริงมักจะไม่สมบูรณ์และไม่พร้อมใช้งานทันที (“Garbage In, Garbage Out”) กิจกรรมในขั้นตอนนี้ประกอบด้วย:
- Data Cleaning: การจัดการกับข้อมูลที่หายไป (Missing Values), ข้อมูลที่ผิดพลาด (Erroneous Data), และข้อมูลซ้ำซ้อน (Duplicates)
- Data Transformation: การแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่เหมาะสม เช่น การทำ Normalization หรือ Standardization เพื่อให้ข้อมูลมีสเกลเดียวกัน
- Feature Engineering: การสร้างตัวแปร (Features) ใหม่จากข้อมูลที่มีอยู่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของแบบจำลอง ซึ่งเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ของ Data Scientist
ขั้นตอนที่ 4: Modeling (การสร้างแบบจำลอง Machine Learning)
เมื่อข้อมูลพร้อมแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนที่น่าตื่นเต้นที่สุดสำหรับผู้ที่สนใจ MachineLearningCareer นั่นคือการสร้างแบบจำลอง Data Scientist จะต้องเลือกอัลกอริทึมที่เหมาะสมกับปัญหา เช่น:
- Regression: สำหรับการทำนายค่าต่อเนื่อง (e.g., ทำนายราคาบ้าน)
- Classification: สำหรับการจำแนกประเภท (e.g., จำแนกอีเมลว่าเป็นสแปมหรือไม่)
- Clustering: สำหรับการจัดกลุ่มข้อมูลที่คล้ายกัน (e.g., แบ่งกลุ่มลูกค้าตามพฤติกรรมการซื้อ)
จากนั้นจะทำการ “สอน” (Train) แบบจำลองด้วยข้อมูลที่เตรียมไว้ และปรับจูนพารามิเตอร์ต่างๆ (Hyperparameter Tuning) เพื่อให้ได้แบบจำลองที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
ขั้นตอนที่ 5: Evaluation (การประเมินผลแบบจำลอง)
แบบจำลองที่สร้างขึ้นมานั้นจะดีจริงหรือไม่? ขั้นตอนนี้คือการตอบคำถามนั้น เราจะนำแบบจำลองไปทดสอบกับข้อมูลชุดใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน (Test Data) เพื่อประเมินประสิทธิภาพอย่างเป็นกลาง โดยใช้ตัวชี้วัด (Metrics) ที่เหมาะสมกับปัญหานั้นๆ เช่น Accuracy, Precision, Recall, F1-Score สำหรับปัญหา Classification หรือ Mean Absolute Error (MAE), Root Mean Squared Error (RMSE) สำหรับปัญหา Regression
ผลลัพธ์จากการประเมินจะถูกนำกลับไปเปรียบเทียบกับเป้าหมายทางธุรกิจที่ตั้งไว้ในขั้นตอนแรก หากยังไม่เป็นที่น่าพอใจ อาจต้องย้อนกลับไปทำขั้นตอนก่อนหน้าใหม่ เช่น การทำ Feature Engineering เพิ่มเติม หรือลองใช้อัลกอริทึมอื่น
ขั้นตอนที่ 6: Deployment & Monitoring (การนำไปใช้งานจริงและการติดตามผล)
โครงการวิทยาศาสตร์ข้อมูลจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์จนกว่าแบบจำลองจะถูกนำไปใช้งานจริง (Deployment) เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับองค์กร ซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบของการสร้าง API ให้ระบบอื่นเรียกใช้, การสร้าง Dashboard แสดงผลการทำนาย, หรือการผสานเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของแอปพลิเคชัน
หลังจากนำไปใช้งานแล้ว งานของ Data Scientist ยังไม่จบสิ้น จะต้องมีการติดตามผล (Monitoring) อย่างต่อเนื่อง เพื่อตรวจสอบว่าประสิทธิภาพของแบบจำลองยังดีอยู่หรือไม่ เนื่องจากพฤติกรรมของข้อมูลในโลกจริงอาจเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ซึ่งอาจทำให้ประสิทธิภาพของแบบจำลองลดลงได้ (ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Model Drift) และอาจจำเป็นต้องทำการ Train แบบจำลองใหม่ (Retraining) เป็นระยะๆ
3. ทักษะที่จำเป็นสำหรับ Data Scientist ในแต่ละขั้นตอน
จาก Life Cycle ทั้ง 6 ขั้นตอน จะเห็นได้ว่าการเป็น Data Scientist ที่ประสบความสำเร็จต้องอาศัยทักษะที่หลากหลาย ไม่ใช่แค่การเขียนโค้ดเพียงอย่างเดียว หลักสูตรเทคโนโลยีสมัยใหม่จึงมุ่งเน้นการสร้างบัณฑิตที่มีทักษะรอบด้าน ดังนี้:
- Business Understanding: ทักษะการสื่อสาร, ความเข้าใจในธุรกิจ (Domain Knowledge), การคิดเชิงกลยุทธ์
- Data Acquisition & Preparation: SQL, Python (Pandas, NumPy), BigDataAnalytics Tools (e.g., Spark)
- Modeling & Evaluation: ความรู้ด้านสถิติ, อัลกอริทึม Machine Learning, Python Libraries (Scikit-learn, TensorFlow, PyTorch)
- Deployment & Monitoring: ทักษะด้าน Software Engineering, Cloud Computing (AWS, Azure, GCP), MLOps
4. Q&A: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Data Science
Q1: ใน Data Science Life Cycle ขั้นตอนไหนใช้เวลามากที่สุด?
A: โดยทั่วไปแล้ว ขั้นตอนการเตรียมข้อมูล (Data Preparation) มักจะใช้เวลามากที่สุด อาจสูงถึง 60-80% ของเวลาทั้งหมดในโครงการ เนื่องจากข้อมูลดิบจากแหล่งต่างๆ มักมีความซับซ้อน ไม่สมบูรณ์ และอยู่ในรูปแบบที่ไม่พร้อมสำหรับการสร้างแบบจำลอง การทำความสะอาดและจัดระเบียบข้อมูลจึงเป็นงานที่ต้องใช้ความละเอียดและเวลาอย่างมาก
Q2: การเป็น Data Scientist จำเป็นต้องเชี่ยวชาญทุกขั้นตอนใน Life Cycle หรือไม่?
A: ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญ “ที่สุด” ในทุกด้าน แต่ Data Scientist ที่ดีควรมีความเข้าใจภาพรวมของทุกขั้นตอนเป็นอย่างดี ในองค์กรขนาดใหญ่ อาจมีการแบ่งตำแหน่งงานตามความเชี่ยวชาญ เช่น Data Engineer (ดูแลขั้นตอน Data Acquisition/Preparation), Machine Learning Engineer (ดูแลขั้นตอน Modeling/Deployment) แต่การเข้าใจกระบวนการทั้งหมดจะช่วยให้ทำงานร่วมกับทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นสิ่งสำคัญต่อการเติบโตในสายอาชีพ MachineLearningCareer
Q3: #การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ สำคัญต่อ Data Scientist อย่างไร?
A: สำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นตัวกำหนดทิศทางและความสำเร็จของโครงการทั้งหมด หากปราศจากการวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์และการทำความเข้าใจปัญหาทางธุรกิจที่ดีพอ แม้จะสร้างแบบจำลอง Machine Learning ที่มีความแม่นยำสูงได้ ก็อาจเป็นแบบจำลองที่ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาที่แท้จริงขององค์กร ทำให้โครงการนั้นสูญเปล่าได้ ดังนั้น Data Scientist ยุคใหม่จึงไม่ใช่แค่นักเทคนิค แต่ต้องเป็นนักแก้ปัญหาเชิงกลยุทธ์ด้วย
สรุปได้ว่า Data Science Life Cycle เป็นมากกว่าแค่ขั้นตอนการทำงาน แต่เป็นหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนโครงการวิทยาศาสตร์ข้อมูลให้ประสบความสำเร็จ การเข้าใจในทุกมิติของวงจรนี้ ตั้งแต่#การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ไปจนถึงการติดตามผลหลังใช้งานจริง คือกุญแจสำคัญที่จะยกระดับจากการเป็นเพียงผู้สร้างโมเดลไปสู่การเป็น Data Scientist ที่สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับองค์กรได้อย่างแท้จริง
สำหรับผู้ที่สนใจศึกษาต่อยอดเพื่อก้าวสู่เส้นทาง MachineLearningCareer อย่างเต็มตัว สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ
หลักสูตรปริญญาโทด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูลและการวิเคราะห์
ที่ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจกระบวนการทำงานด้านข้อมูลอย่างครบวงจร



