EN

Cloud Computing คืออะไร? อธิบายการประมวลผลคลาวด์ให้เข้าใจง่ายสำหรับสายอาชีพยุคใหม่

Cloud Computing คืออะไร? อธิบายการประมวลผลคลาวด์ให้เข้าใจง่ายสำหรับสายอาชีพยุคใหม่

Cloud Computing คืออะไร? อธิบายการประมวลผลคลาวด์ให้เข้าใจง่ายสำหรับสายอาชีพยุคใหม่

ไขทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับเทคโนโลยี Cloud Computing ที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลกธุรกิจและตลาดแรงงาน ทำความเข้าใจพื้นฐาน ประโยชน์ และความสำคัญต่อทุก สายอาชีพ ในปัจจุบันและอนาคต

สารบัญเนื้อหา

1. Cloud Computing คืออะไร? แก่นแท้ที่เข้าใจง่ายที่สุด

หากคุณเคยดูหนังผ่าน Netflix, เก็บไฟล์งานใน Google Drive, หรือแม้กระทั่งใช้ Facebook คุณก็ได้สัมผัสกับเทคโนโลยี Cloud Computing แล้วโดยไม่รู้ตัว

ลองจินตนาการง่ายๆ ว่า แทนที่คุณจะต้องซื้อและเป็นเจ้าของคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์แรงสูง, ฮาร์ดดิสก์ความจุมหาศาล, และระบบเน็ตเวิร์กที่ซับซ้อนด้วยตัวเองทั้งหมด Cloud Computing คือการ “เช่า” ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เหล่านี้จากผู้ให้บริการรายใหญ่ผ่านทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งคุณสามารถเลือกใช้ได้ตามความต้องการ และจ่ายเงินเฉพาะส่วนที่คุณใช้จริงเท่านั้น เหมือนกับการเช่ารถแทนการซื้อรถ คุณไม่ต้องกังวลเรื่องการบำรุงรักษา ประกัน หรือค่าเสื่อมราคา แค่จ่ายค่าเช่าเมื่อต้องการใช้งาน

หัวใจสำคัญของ Cloud คือการให้บริการทรัพยากรด้านไอที (IT Resources) แบบ On-Demand หรือ “ตามความต้องการ” ผ่านอินเทอร์เน็ต ประกอบด้วย 3 ส่วนหลักๆ คือ:

  • พลังการประมวลผล (Compute Power): เปรียบเสมือน CPU และ RAM ของคอมพิวเตอร์ ใช้สำหรับรันแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์
  • พื้นที่จัดเก็บข้อมูล (Storage): เหมือนฮาร์ดดิสก์สำหรับเก็บไฟล์, ฐานข้อมูล, หรือข้อมูลสำคัญต่างๆ
  • ฐานข้อมูล (Databases): ระบบสำหรับจัดเก็บและจัดการข้อมูลที่มีโครงสร้างอย่างเป็นระบบ
  • ระบบเครือข่าย (Networking): การเชื่อมต่อที่ปลอดภัยและรวดเร็วระหว่างบริการต่างๆ

การมาถึงของเทคโนโลยี Cloud ได้ปฏิวัติวิธีการทำงานขององค์กรและส่งผลกระทบโดยตรงต่อหลากหลาย สายอาชีพ ทำให้การสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นได้รวดเร็วและใช้ต้นทุนต่ำลงอย่างมหาศาล

2. ย้อนรอยโลกก่อนยุค Cloud: ทำไมเราถึงต้องการ Cloud Computing

เราต้องย้อนกลับไปดูว่าในอดีต การสร้างระบบไอทีสำหรับองค์กรนั้นยุ่งยากและมีราคาแพงเพียงใด รูปแบบดั้งเดิมนี้เรียกว่า “On-Premise” ซึ่งหมายถึงการติดตั้งและดูแลทุกอย่างด้วยตัวเอง ณ ที่ทำการของบริษัท

ความท้าทายของระบบ On-Premise แบบดั้งเดิม

  • ต้นทุนเริ่มต้นสูงมาก (High Upfront Cost): บริษัทต้องลงทุนเงินก้อนใหญ่มหาศาลเพื่อซื้อเครื่องเซิร์ฟเวอร์, อุปกรณ์เครือข่าย, และซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์ต่างๆ
  • การบำรุงรักษาที่ซับซ้อน: ต้องมีทีมไอทีคอยดูแลเซิร์ฟเวอร์ตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งเรื่องการอัปเดต, การแก้ปัญหา, การระบายความร้อน, และความปลอดภัยทางกายภาพ (ห้องเซิร์ฟเวอร์)
  • ขาดความยืดหยุ่น (Inflexibility): การจะเพิ่มหรือลดขนาดระบบ (Scaling) ทำได้ยากและช้ามาก หากมีผู้ใช้งานเว็บไซต์พุ่งสูงขึ้นกะทันหัน เซิร์ฟเวอร์อาจล่มได้ และการสั่งซื้อเซิร์ฟเวอร์ใหม่ต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์
  • การคาดการณ์ที่ผิดพลาด: บริษัทต้อง “เดา” ว่าในอนาคตจะต้องใช้ทรัพยากรเท่าไหร่ หากซื้อมาน้อยเกินไป ระบบก็ไม่พอใช้ หากซื้อมามากเกินไป ก็เป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณ เพราะทรัพยากรที่ไม่ได้ใช้ก็ยังคงเสื่อมค่าไปเรื่อยๆ

ปัญหาเหล่านี้เป็นอุปสรรคสำคัญ โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก (SMEs) และสตาร์ทอัพที่ไม่มีเงินทุนมหาศาล Cloud Computing จึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อมาทำลายกำแพงเหล่านี้ ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีระดับโลกได้ในราคาที่จับต้องได้ และนี่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เกิดนวัตกรรมและส่งผลต่อ สายอาชีพ ต่างๆ มากมาย

3. ประเภทบริการของ Cloud Computing (Service Models) ที่ต้องรู้

บริการ Cloud ไม่ได้มีแค่รูปแบบเดียว แต่แบ่งออกเป็น 3 ระดับหลักๆ เพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันไป เรามักจะเปรียบเทียบโมเดลเหล่านี้กับ “การทำพิซซ่า” เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน

1. Infrastructure as a Service (IaaS)

เปรียบเหมือน: คุณซื้อแป้ง, ซอส, เตาอบ แล้วมาทำพิซซ่าเองที่บ้าน

IaaS คือบริการให้เช่า “โครงสร้างพื้นฐาน” ทางไอทีขั้นพื้นฐานที่สุด เช่น เซิร์ฟเวอร์เสมือน (Virtual Machines), พื้นที่จัดเก็บข้อมูล (Storage), และระบบเครือข่าย (Networking) ผู้ใช้งานมีหน้าที่ต้องจัดการระบบปฏิบัติการ (OS) และติดตั้งซอฟต์แวร์ต่างๆ ด้วยตนเอง

  • ข้อดี: ยืดหยุ่นและควบคุมได้สูงสุด
  • เหมาะสำหรับ: ทีม IT ที่ต้องการควบคุมสภาพแวดล้อมทั้งหมด, ระบบที่ต้องการการปรับแต่งเฉพาะทาง
  • ตัวอย่าง: Amazon EC2, Google Compute Engine, Microsoft Azure Virtual Machines

2. Platform as a Service (PaaS)

เปรียบเหมือน: สั่งพิซซ่าแบบแช่แข็งมา แค่นำมาอบและกินที่บ้าน

PaaS เป็นบริการที่อยู่เหนือขึ้นมาจาก IaaS โดยผู้ให้บริการ Cloud จะจัดการโครงสร้างพื้นฐานและระบบปฏิบัติการให้ทั้งหมด สิ่งที่คุณต้องทำคือการนำโค้ดหรือแอปพลิเคชันของคุณไปรันบนแพลตฟอร์มที่เตรียมไว้ให้

  • ข้อดี: พัฒนาและปล่อยแอปพลิเคชันได้รวดเร็ว ไม่ต้องกังวลเรื่อง Infrastructure
  • เหมาะสำหรับ: นักพัฒนาซอฟต์แวร์ (Developers) ที่ต้องการโฟกัสกับการเขียนโค้ด
  • ตัวอย่าง: Heroku, Google App Engine, AWS Elastic Beanstalk

3. Software as a Service (SaaS)

เปรียบเหมือน: เดินเข้าไปในร้านพิซซ่า สั่ง แล้วกินได้เลย

SaaS คือรูปแบบที่ใกล้ตัวเรามากที่สุด เป็นบริการซอฟต์แวร์สำเร็จรูปที่พร้อมใช้งานผ่านอินเทอร์เน็ต โดยผู้ใช้ไม่ต้องติดตั้งหรือดูแลรักษาระบบใดๆ ทั้งสิ้น แค่สมัครสมาชิกและจ่ายค่าบริการ (ส่วนใหญ่เป็นรายเดือน/รายปี)

  • ข้อดี: ใช้งานง่าย สะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องมีความรู้ทางเทคนิค
  • เหมาะสำหรับ: ผู้ใช้งานทั่วไปและองค์กรที่ต้องการโซลูชันสำเร็จรูป
  • ตัวอย่าง: Google Workspace (Gmail, Docs), Microsoft 365, Netflix, Salesforce, Canva

ตารางเปรียบเทียบความรับผิดชอบในบริการ

ส่วนประกอบ On-Premise (ทำเอง) IaaS PaaS SaaS
Applications คุณจัดการ คุณจัดการ คุณจัดการ ผู้ให้บริการจัดการ
Data คุณจัดการ คุณจัดการ คุณจัดการ ผู้ให้บริการจัดการ
Runtime คุณจัดการ คุณจัดการ ผู้ให้บริการจัดการ ผู้ให้บริการจัดการ
Middleware คุณจัดการ คุณจัดการ ผู้ให้บริการจัดการ ผู้ให้บริการจัดการ
Operating System (OS) คุณจัดการ คุณจัดการ ผู้ให้บริการจัดการ ผู้ให้บริการจัดการ
Virtualization คุณจัดการ ผู้ให้บริการจัดการ ผู้ให้บริการจัดการ ผู้ให้บริการจัดการ
Servers คุณจัดการ ผู้ให้บริการจัดการ ผู้ให้บริการจัดการ ผู้ให้บริการจัดการ
Storage คุณจัดการ ผู้ให้บริการจัดการ ผู้ให้บริการจัดการ ผู้ให้บริการจัดการ
Networking คุณจัดการ ผู้ให้บริการจัดการ ผู้ให้บริการจัดการ ผู้ให้บริการจัดการ

4. รูปแบบการใช้งาน Cloud (Deployment Models) เลือกแบบไหนให้เหมาะกับเรา

นอกจากการแบ่งตามประเภทบริกายังสามารถแบ่งตามรูปแบบการติดตั้งและใช้งานได้อีก 4 รูปแบบหลัก ดังนี้:

  • 1. Public Cloud (พับบลิคคลาวด์)
    เป็นรูปแบบที่นิยมที่สุด คือการใช้งานทรัพยากรที่แชร์ร่วมกับผู้ใช้งานรายอื่นๆ ผ่านผู้ให้บริการสาธารณะอย่าง AWS, Azure, GCP ข้อดีคือราคาถูก, ยืดหยุ่นสูงสุด, และไม่ต้องดูแลรักษา Hardware ใดๆ เลย เหมาะสำหรับธุรกิจทุกขนาด
  • 2. Private Cloud (ไพรเวทคลาวด์)
    คือการสร้างสภาพแวดล้อม Cloud ขึ้นมาเพื่อใช้งานโดยองค์กรเดียวเท่านั้น อาจจะตั้งอยู่ใน Data Center ของตัวเอง หรือให้ผู้บริการรายอื่นตั้งให้ก็ได้ ข้อดีคือมีความปลอดภัยและควบคุมได้สูงสุด แต่ก็มีต้นทุนสูงและต้องการผู้เชี่ยวชาญในการดูแล เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการความปลอดภัยขั้นสูงหรือมีกฎข้อบังคับเฉพาะ เช่น ธนาคาร, หน่วยงานราชการ
  • 3. Hybrid Cloud (ไฮบริดคลาวด์)
    คือการผสมผสานระหว่าง Public Cloud และ Private Cloud เข้าด้วยกัน โดยเชื่อมต่อให้ทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น เช่น เก็บข้อมูลสำคัญของลูกค้าไว้ใน Private Cloud เพื่อความปลอดภัยสูงสุด แต่ใช้ Public Cloud ในการรันเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันเพื่อรองรับผู้ใช้งานจำนวนมาก เป็นรูปแบบที่ให้ความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพสูงสุด
  • 4. Multi-Cloud (มัลติคลาวด์)
    คือการเลือกใช้บริการ Public Cloud จากผู้ให้บริการมากกว่า 1 ราย เช่น ใช้บริการฐานข้อมูลของ Google Cloud ร่วมกับบริการ Machine Learning ของ AWS เพื่อเลือกใช้จุดเด่นของแต่ละเจ้า และเพื่อป้องกันความเสี่ยงหากผู้ให้บริการรายใดรายหนึ่งเกิดปัญหา (Vendor Lock-in)

5. ทำไมถึงสำคัญต่อทุกสายอาชีพในยุคดิจิทัล?

ในปัจจุบัน ความรู้ความเข้าใจเรื่อง Cloud Computing ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ใน สายอาชีพ ไอทีอีกต่อไป แต่มันได้แทรกซึมและกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานในทุกๆ ด้าน

Cloud Computing กับสายอาชีพต่างๆ

  • นักพัฒนาซอฟต์แวร์ (Developers) และ DevOps:
    Cloud คือสนามเด็กเล่นของพวกเขา ช่วยให้สร้าง, ทดสอบ, และปล่อยแอปพลิเคชันได้ในเวลาไม่กี่นาที ผ่านแนวคิดอย่าง CI/CD (Continuous Integration/Continuous Deployment) ไม่ต้องรอทีม IT จัดหาเซิร์ฟเวอร์อีกต่อไป
  • นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Scientists) และนักวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysts):
    Cloud Computing มอบพลังการประมวลผลมหาศาลและเครื่องมือสำเร็จรูปสำหรับการวิเคราะห์ Big Data, การทำ Machine Learning (ML), และ AI โดยไม่ต้องลงทุนสร้าง Supercomputer เอง
  • ผู้ดูแลระบบ (IT Administrators):
    บทบาทเปลี่ยนจากการดูแลรักษากล่องเซิร์ฟเวอร์ ไปสู่การบริหารจัดการสถาปัตยกรรมบน Cloud (Cloud Architect), การควบคุมค่าใช้จ่าย (FinOps), และการวางระบบความปลอดภัยบนคลาวด์ (Cloud Security)
  • นักการตลาดดิจิทัล (Digital Marketers):
    ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ลูกค้า (Analytics), ระบบ CRM, และแพลตฟอร์มการตลาดอัตโนมัติ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริการ SaaS บน Cloud ทั้งสิ้น ช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมลูกค้าและทำการตลาดได้ตรงจุดมากขึ้น
  • เจ้าของธุรกิจและผู้ประกอบการ (Entrepreneurs):
    Cloud ช่วยลดต้นทุนเริ่มต้นทางธุรกิจได้อย่างมหาศาล ทำให้สามารถแข่งขันกับบริษัทใหญ่ได้ สามารถสร้างผลิตภัณฑ์และขยายบริการไปทั่วโลกได้อย่างรวดเร็วด้วยโมเดล Pay-as-you-go
  • สายอาชีพอื่นๆ (การเงิน, บัญชี, HR):
    มีการใช้ซอฟต์แวร์ SaaS บน Cloud กันอย่างแพร่หลาย เช่น โปรแกรมบัญชีออนไลน์, ระบบบริหารงานบุคคล, ที่ช่วยให้ทำงานร่วมกันได้จากทุกที่ ทุกเวลา เพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้กระดาษ

ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะอยู่ใน สายอาชีพ ใด การมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ Cloud Computing จะช่วยให้คุณเข้าใจภาพรวมของเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนองค์กรของคุณ และเปิดโอกาสให้คุณสามารถนำเครื่องมือใหม่ๆ มาปรับใช้กับการทำงานเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันได้อย่างแน่นอน

6. รู้จักผู้ให้บริการชั้นนำของโลก

ตลาด Cloud Computing มีผู้เล่นรายใหญ่ 3 เจ้าที่ครองส่วนแบ่งตลาดส่วนใหญ่ของโลก หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Big Three” ได้แก่:

  1. Amazon Web Services (AWS):
    ผู้บุกเบิกและผู้นำตลาด Cloud ที่มีบริการหลากหลายและครบวงจรที่สุด เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2006 มีส่วนแบ่งตลาดสูงที่สุดในโลก และเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในกลุ่มสตาร์ทอัพและองค์กรขนาดใหญ่
  2. Microsoft Azure:
    ผู้ท้าชิงอันดับสองที่เติบโตอย่างรวดเร็ว มีจุดเด่นในเรื่องการเชื่อมต่อกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของ Microsoft (เช่น Windows Server, Office 365) และเป็นที่นิยมอย่างมากในกลุ่มลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ (Enterprise) ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของ Microsoft อยู่แล้ว
  3. Google Cloud Platform (GCP):
    ผู้เล่นอันดับสามที่มีจุดแข็งด้าน Big Data, Machine Learning, และเทคโนโลยี Containers (Kubernetes ซึ่ง Google เป็นผู้ริเริ่ม) เป็นที่ชื่นชอบของบริษัทที่เน้นการขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและนวัตกรรม

นอกจากนี้ยังมีผู้ให้บริการรายอื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น Alibaba Cloud (แข็งแกร่งในตลาดจีน), Oracle Cloud, และ IBM Cloud ซึ่งแต่ละเจ้าก็มีจุดเด่นและกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกันไป การแข่งขันที่สูงในตลาดนี้ส่งผลดีต่อผู้บริโภค เพราะทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ และราคาค่าบริการที่ถูกลงอย่างต่อเนื่อง

7. Cloud ในประเทศไทย: ความสำคัญของ Data Center ในประเทศ (GEO)

หนึ่งในปัจจัยสำคัญของการใช้บริการ Cloud คือ “ที่ตั้งของศูนย์ข้อมูล” หรือ Data Center ซึ่งผู้ให้บริการจะเรียกว่า “Region” การที่ผู้ให้บริการ Cloud Computing รายใหญ่ๆ มาตั้ง Region ในประเทศไทยนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งในเชิงภูมิศาสตร์ (GEO – Geographic Optimization)

ประโยชน์ของการมี Cloud Region ในประเทศไทย

  • ความเร็วในการตอบสนองสูงขึ้น (Lower Latency):
    เมื่อเซิร์ฟเวอร์ตั้งอยู่ใกล้กับผู้ใช้งาน การรับส่งข้อมูลจะทำได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ส่งผลให้เว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันตอบสนองได้เร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสำคัญมากสำหรับบริการที่ต้องการการตอบสนองแบบเรียลไทม์ เช่น เกมออนไลน์, บริการสตรีมมิ่ง, หรือแพลตฟอร์มการเงิน
  • การปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับ (Data Sovereignty):
    หลายๆ ธุรกิจ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการเงิน, การแพทย์, และภาครัฐ มีกฎข้อบังคับว่าข้อมูลที่ละเอียดอ่อนของลูกค้าจะต้องถูกจัดเก็บอยู่ภายในประเทศเท่านั้น การมี Data Center ในไทยช่วยให้องค์กรเหล่านี้สามารถใช้บริการ Cloud ได้โดยไม่ผิดกฎหมาย
  • ส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ:
    การลงทุนสร้าง Data Center เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ, สร้างงาน, และยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลของประเทศ ทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางทางเทคโนโลยีที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนต่างชาติ และส่งผลดีต่อ สายอาชีพ ด้านเทคโนโลยีในประเทศ

ล่าสุด ผู้ให้บริการอย่าง AWS ก็ได้ประกาศเปิด AWS Asia Pacific (Bangkok) Region ซึ่งเป็นการยืนยันถึงศักยภาพและความสำคัญของตลาด Cloud Computing ในประเทศไทยได้เป็นอย่างดี

8. สรุป: ก้าวต่อไปกับเทคโนโลยี Cloud

Cloud Computing ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีสำหรับคนไอทีอีกต่อไป แต่เป็นรากฐานสำคัญที่ขับเคลื่อนนวัตกรรม, ธุรกิจ, และวิถีชีวิตของเราในยุคดิจิทัล การ “เช่า” แทน “การซื้อ” ทรัพยากรไอที ได้ทลายข้อจำกัดด้านต้นทุนและเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้อย่างเท่าเทียม

ความเข้าใจในหลักการทำงาน, ประเภทของบริการ (IaaS, PaaS, SaaS), และผลกระทบที่ Cloud มีต่ออุตสาหกรรมต่างๆ จะกลายเป็นทักษะพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับทุก สายอาชีพ การเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีนี้จึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จและความก้าวหน้าในโลกการทำงานยุคใหม่

สำหรับผู้ที่สนใจศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง สามารถอ่านบทความของเราเกี่ยวกับ ความแตกต่างระหว่าง Data Science และ Data Analytics เพื่อต่อยอดความรู้ของคุณได้

9. Q&A: คำถามที่พบบ่อย

1. การใช้ Cloud Computing ปลอดภัยหรือไม่?

ตอบ: ปลอดภัยมาก และส่วนใหญ่มักจะปลอดภัยกว่าการเก็บข้อมูลไว้ในเซิร์ฟเวอร์ของตัวเอง (On-Premise) เสียอีก ผู้ให้บริการ Cloud รายใหญ่ๆ ลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในเรื่องความปลอดภัย มีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยระดับโลกคอยดูแลตลอด 24/7 และผ่านมาตรฐานความปลอดภัยสากลมากมาย อย่างไรก็ตาม ความปลอดภัยเป็น “ความรับผิดชอบร่วมกัน” (Shared Responsibility Model) คือผู้ให้บริการจะดูแลความปลอดภัยของโครงสร้างพื้นฐาน Cloud ส่วนผู้ใช้งานก็มีหน้าที่ต้องตั้งค่าการเข้าถึงข้อมูลและแอปพลิเคชันของตนเองให้ปลอดภัยด้วย


2. ต้องมีทักษะอะไรบ้าง เพื่อเริ่มต้นทำงานในสายอาชีพ Cloud?

ตอบ: สำหรับ สายอาชีพ ที่เกี่ยวข้องโดยตรง ทักษะพื้นฐานที่ควรมีได้แก่:

  • ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับระบบเครือข่าย (Networking) และระบบปฏิบัติการ (Linux/Windows)
  • ความรู้เกี่ยวกับบริการหลักๆ ของผู้ให้บริการ Cloud อย่างน้อย 1 ราย (เช่น AWS, Azure, GCP)
  • ทักษะการเขียนสคริปต์ (Scripting) เช่น Python, Bash เพื่อทำงานอัตโนมัติ
  • ความเข้าใจในแนวคิด Infrastructure as Code (IaC) ด้วยเครื่องมืออย่าง Terraform หรือ CloudFormation

การมีใบรับรอง (Certification) จากผู้ให้บริการ Cloud จะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้งานอย่างมาก เช่น AWS Certified Solutions Architect


3. ค่าใช้จ่ายของแพงไหม?

ตอบ: ไม่แพงเมื่อเทียบกับการลงทุนแบบ On-Premise หัวใจสำคัญคือโมเดลการคิดเงินแบบ “Pay-as-you-go” หรือ “จ่ายเท่าที่ใช้” ซึ่งช่วยลดต้นทุนเริ่มต้นได้อย่างมหาศาล และยังสามารถปรับลดค่าใช้จ่ายได้ทันทีเมื่อไม่มีการใช้งาน อย่างไรก็ตาม หากไม่มีการวางแผนและควบคุมการใช้งานที่ดี ค่าใช้จ่ายก็อาจบานปลายได้เช่นกัน ดังนั้น สายอาชีพ ใหม่ๆ อย่าง FinOps (Financial Operations) ที่คอยดูแลเรื่องการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายบน Cloud จึงมีความสำคัญมากขึ้น


4. เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก (SME) หรือไม่?

ตอบ: เหมาะสมอย่างยิ่ง! Cloud Computing คือเครื่องมือที่ช่วยให้ SME สามารถแข่งขันกับบริษัทขนาดใหญ่ได้อย่างทัดเทียม SME สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีระดับโลกได้โดยไม่ต้องลงทุนเงินก้อนใหญ่ สามารถเริ่มต้นจากเล็กๆ และขยายระบบได้ทันทีเมื่อธุรกิจเติบโต (Scalability) อีกทั้งยังช่วยลดภาระในการดูแลระบบไอที ทำให้ผู้ประกอบการสามารถโฟกัสกับการพัฒนาธุรกิจหลักได้อย่างเต็มที่

Most Popular

Categories