ความท้าทายและโอกาสในการบริหารความเสี่ยงจากเทคโนโลยีใหม่ เช่น Cloud, API และ Zero Trust Security

ความท้าทายและโอกาสในการบริหารความเสี่ยงจากเทคโนโลยีใหม่ เช่น Cloud, API และ Zero Trust Security

ถอดรหัสความท้าทายและโอกาส : บริหารความเสี่ยงเทคโนโลยีใหม่ในองค์กรยุคดิจิทัล

เมื่อโลกธุรกิจหมุนไปอย่างรวดเร็วด้วยเทคโนโลยี การปรับตัวของ องค์กรยุคดิจิทัล จึงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คือหนทางรอด เทคโนโลยีอย่าง Cloud, API และ Zero Trust Security ได้มอบโอกาสมหาศาล แต่ในขณะเดียวกันก็แฝงมาด้วย ความเสี่ยง รูปแบบใหม่ที่ซับซ้อนเกินกว่าที่เคยเป็นมา การบริหารจัดการความเสี่ยงจึงเป็นหัวใจสำคัญที่องค์กรต้องใส่ใจเป็นพิเศษ

1. เจาะลึกความเสี่ยงในองค์กรยุคดิจิทัล: Cloud, API และ Zero Trust

เทคโนโลยีใหม่เปรียบเสมือนดาบสองคมที่มอบทั้งประสิทธิภาพและภัยคุกคาม การทำความเข้าใจในแต่ละเทคโนโลยีจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการวางแผนรับมือ ความเสี่ยง ที่มีประสิทธิภาพ

1.1 Cloud Computing: ความสะดวกสบายที่มาพร้อมความท้าทาย

โอกาส: Cloud ช่วยให้องค์กรลดต้นทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน มีความยืดหยุ่นสูง และเข้าถึงข้อมูลได้จากทุกที่
ความเสี่ยง:

  • ความปลอดภัยของข้อมูล: การกำหนดค่าที่ไม่ถูกต้องอาจนำไปสู่การรั่วไหลของข้อมูลสำคัญ
  • การปฏิบัติตามกฎระเบียบ (Compliance): ความซับซ้อนในการจัดการข้อมูลให้สอดคล้องกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA)
  • Vendor Lock-in: การพึ่งพาผู้ให้บริการรายใดรายหนึ่งมากเกินไป ทำให้การย้ายระบบในอนาคตเป็นไปได้ยากและมีค่าใช้จ่ายสูง

1.2 API (Application Programming Interface): ประตูเชื่อมต่อสู่โลกภายนอก

โอกาส: API เป็นหัวใจของการสร้างนวัตกรรม ทำให้ระบบต่างๆ พูดคุยกันได้ สร้าง Ecosystem และบริการใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว
ความเสี่ยง:

  • API ที่ไม่มีการป้องกัน: อาจกลายเป็นช่องโหว่ให้ผู้ไม่หวังดีเข้ามาขโมยข้อมูลหรือโจมตีระบบได้
  • การจัดการข้อมูล: การส่งผ่านข้อมูลที่ละเอียดอ่อนผ่าน API หากไม่มีการเข้ารหัสที่ดีพอ อาจเกิด ความเสี่ยง ต่อการถูกดักจับข้อมูล

1.3 Zero Trust Security: เมื่อความเชื่อใจไม่ใช่ทางออก

โอกาส: เป็นแนวคิดด้านความปลอดภัยที่ทันสมัย โดยตั้งอยู่บนหลักการ “Never Trust, Always Verify” หรือ “ไม่เชื่อใจใคร ตรวจสอบเสมอ” ช่วยลดพื้นผิวการโจมตี (Attack Surface) และป้องกันการเคลื่อนไหวของภัยคุกคามภายในเครือข่าย
ความท้าทายและความเสี่ยง:

  • ความซับซ้อนในการติดตั้ง: การนำ Zero Trust มาปรับใช้ต้องอาศัยการวางแผนอย่างรอบคอบและเครื่องมือที่เหมาะสม
  • ความเสี่ยงจากการตั้งค่านโยบายผิดพลาด: หากกำหนดนโยบายการเข้าถึงที่เข้มงวดหรือหละหลวมเกินไป อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของพนักงานหรือเปิดช่องโหว่ได้

2. บทบาทของ ERM และการตรวจสอบภายในกับการบริหารความเสี่ยงเทคโนโลยี

การรับมือกับ ความเสี่ยง ที่ซับซ้อนเหล่านี้จำเป็นต้องมีโครงสร้างและกระบวนการที่แข็งแกร่ง ที่นี่คือจุดที่การบริหารความเสี่ยงระดับองค์กร (Enterprise Risk Management: ERM) และการตรวจสอบภายในเข้ามามีบทบาทสำคัญ

กรอบการทำงานของ ERM ใน องค์กรยุคดิจิทัล ต้องถูกปรับปรุงให้ครอบคลุมถึงความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Risk) โดยเฉพาะ ในขณะเดียวกัน บทบาทของ การตรวจสอบภายในกับการบริหารความเสี่ยง ก็ต้องเปลี่ยนไป ผู้ตรวจสอบภายในยุคใหม่ไม่สามารถตรวจสอบแค่ด้านการเงินหรือการปฏิบัติงานแบบเดิมๆ ได้อีกต่อไป แต่ต้องมีความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยีเหล่านี้อย่างลึกซึ้ง เพื่อให้สามารถประเมินความเพียงพอของมาตรการควบคุมและให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กรได้

3. สร้างบุคลากรคุณภาพ: จากปริญญาตรีสู่ปริญญาเอก กุญแจสู่ความสำเร็จ

เครื่องมือและกระบวนการจะไร้ความหมายหากขาดบุคลากรที่มีความสามารถ การลงทุนในการสร้างบุคลากรจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับ องค์กรยุคดิจิทัล เพื่อให้สามารถรับมือกับ ความเสี่ยง ได้อย่างยั่งยืน

สถาบันการศึกษาจึงมีบทบาทอย่างยิ่งในการผลิตบัณฑิตที่พร้อมสำหรับโลกการทำงานยุคใหม่ ตั้งแต่ระดับ ปริญญาตรี ที่ต้องปูพื้นฐานความเข้าใจทั้งด้านธุรกิจและเทคโนโลยี ไปจนถึงระดับ ปริญญาโท และ ปริญญาเอก ที่เน้นการวิจัยและการประยุกต์ใช้ความรู้ขั้นสูงเพื่อแก้ปัญหาที่ซับซ้อน

ตัวอย่างเช่น คณะบัญชี มหาวิทยาลัยศรีปทุม (ACC SPU) ที่ได้พัฒนาหลักสูตรตั้งแต่ระดับ ปริญญาตรี ไปจนถึง ปริญญาโท และ ปริญญาเอก ให้ทันสมัย ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงาน โดยผสมผสานความรู้ด้านการบัญชี การเงิน การตรวจสอบภายใน เข้ากับความเข้าใจในเทคโนโลยีดิจิทัล ทำให้บัณฑิตจาก ม.ศรีปทุม ไม่ได้เป็นเพียงนักบัญชี แต่เป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจที่สามารถช่วยองค์กรนำทางผ่านความท้าทายด้าน ความเสี่ยง ในยุคดิจิทัลได้

4. คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q1: ความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดของ Cloud Computing สำหรับองค์กรยุคดิจิทัลคืออะไร?

A: ความเสี่ยง ที่ใหญ่ที่สุดมักเกี่ยวข้องกับ “การกำหนดค่าความปลอดภัยที่ไม่ถูกต้อง” (Misconfiguration) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการรั่วไหลของข้อมูล การที่ผู้ใช้งานตั้งค่าผิดพลาดเพียงเล็กน้อย อาจเปิดประตูให้ผู้โจมตีเข้าถึงข้อมูลสำคัญได้ทั้งหมด ดังนั้น การมีบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจและกระบวนการตรวจสอบที่รัดกุมจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง

Q2: ทำไม Zero Trust จึงไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่เป็นกลยุทธ์?

A: เพราะ Zero Trust เป็น “แนวคิด” หรือ “กรอบการทำงาน” ที่เปลี่ยนมุมมองด้านความปลอดภัยจากการเชื่อถือทุกอย่างที่อยู่ “ภายใน” เครือข่าย ไปสู่การ “ตรวจสอบ” ทุกคำขอเข้าถึงทรัพยากร ไม่ว่าจะมาจากที่ใดก็ตาม มันจึงต้องอาศัยการผสมผสานเทคโนโลยีหลายอย่าง (เช่น การยืนยันตัวตน, การแบ่งส่วนเครือข่าย) ควบคู่ไปกับการกำหนดนโยบายและปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร ไม่ใช่การซื้อซอฟต์แวร์ตัวเดียวแล้วจบ อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถาปัตยกรรม Zero Trust ได้ที่ NIST

Q3: การเรียนปริญญาตรีหรือปริญญาโทบัญชีจะช่วยเรื่องการบริหารความเสี่ยงทางเทคโนโลยีได้อย่างไร?

A: หลักสูตรบัญชียุคใหม่ เช่น ที่คณะบัญชี ม.ศรีปทุม (ACC SPU) ไม่ได้สอนแค่การลงบัญชี แต่สอนให้เข้าใจกระบวนการทางธุรกิจทั้งหมด (Business Process) และการควบคุมภายใน (Internal Control) ซึ่งเป็นหัวใจของการบริหาร ความเสี่ยง เมื่อนำความรู้นี้มาผนวกกับความเข้าใจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ บัณฑิตระดับ ปริญญาตรี หรือ ปริญญาโท จะสามารถประเมินได้ว่าเทคโนโลยีที่องค์กรนำมาใช้มีช่องโหว่หรือความเสี่ยงที่กระทบต่อธุรกิจอย่างไร และจะวางระบบควบคุมเพื่อปิดความเสี่ยงนั้นได้อย่างไร ทำให้พวกเขากลายเป็นบุคลากรที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับทุกองค์กร

Most Popular

Categories