พัฒนาทักษะจากนักบัญชีสู่ CFO: อะไรที่องค์กรยุคใหม่ต้องการ?

Hyperautomation และ RPA กับการลดเวลาและข้อผิดพลาดในการวิเคราะห์งบการเงิน

 

พัฒนาทักษะจากนักบัญชีสู่ CFO: อะไรที่องค์กรยุคใหม่ต้องการ?

สวัสดีเพื่อนๆ น้องๆ ทุกคนครับ!

ในฐานะรุ่นพี่ที่กำลังคลุกคลีอยู่ในแวดวงบัญชีและการเงินที่มหา’ลัย ก็มักจะได้ยินคำถามจากน้องๆ ม.ปลาย บ่อยๆ ว่า “เรียนบัญชีไปทำอะไรได้บ้าง?” หลายคนอาจจะนึกภาพพี่ๆ นักบัญชีใส่แว่นหนาเตอะ นั่งจ้องตัวเลขในตาราง Excel ทั้งวันจนปวดตา ซึ่ง…มันก็มีส่วนจริงนะ  แต่ภาพนั้นมันเป็นแค่จุดเริ่มต้นเล็กๆ เท่านั้นเอง วันนี้พี่อยากจะพาทุกคนไปดูเส้นทาง Career Path ที่ท้าทายและน่าตื่นเต้นที่สุดเส้นหนึ่งของสายนี้ นั่นคือการไต่เต้าจาก “นักบัญชี” สู่ตำแหน่ง “CFO” หรือ Chief Financial Officer ที่เปรียบเสมือนแม่ทัพด้านการเงินขององค์กรเลยทีเดียว

แต่การจะเป็น CFO ในยุคดิจิทัลที่ทุกอย่างหมุนเร็วแบบนี้ มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว องค์กรยุคใหม่ไม่ได้มองหาแค่คนที่บวกเลขเก่ง แต่พวกเขามองหา “พาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ” ที่จะพาบริษัททะยานไปข้างหน้าได้… แล้วทักษะที่ว่านั้นมันคืออะไรบ้างล่ะ? ไปดูกันเลย!


Part 1: จากพื้นฐานสู่ภาพใหญ่ – นักบัญชี vs. CFO ต่างกันยังไง?

ก่อนจะไปถึงทักษะที่ซับซ้อน เรามาเคลียร์ภาพให้ชัดกันก่อนว่าสองตำแหน่งนี้มันต่างกันตรงไหน ลองนึกภาพตามง่ายๆ นะครับ

  • นักบัญชี (Accountant): เปรียบเสมือน “นักประวัติศาสตร์” ของบริษัท มีหน้าที่บันทึก จัดเก็บ และตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินที่เกิดขึ้นไปแล้วทั้งหมดอย่างถูกต้องแม่นยำ งานของนักบัญชีคือการทำให้แน่ใจว่า “อดีต” ของบริษัทถูกบันทึกไว้อย่างสมบูรณ์แบบในรูปแบบของงบการเงิน เพื่อให้ทุกคนรู้ว่าที่ผ่านมาเราทำอะไรไปบ้าง
  • CFO (Chief Financial Officer): เปรียบเสมือน “นักวางกลยุทธ์แห่งอนาคต” CFO จะนำข้อมูลในอดีตที่นักบัญชีรวบรวมไว้ มาวิเคราะห์ ตีความ และคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ เช่น “เราควรจะลงทุนในโปรเจกต์ใหม่นี้ไหม?” “เราจะหาเงินทุนจากไหนมาขยายธุรกิจ?” หรือ “ความเสี่ยงทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดของเราคืออะไร?”

เห็นมั้ยครับว่า… นักบัญชีโฟกัสที่ “ความถูกต้องของอดีต” ในขณะที่ CFO โฟกัสที่ “การสร้างความมั่งคั่งในอนาคต” โดยใช้ข้อมูลจากอดีตเป็นเข็มทิศนั่นเอง

Part 2: เปิดคัมภีร์ 5 ทักษะที่องค์กรยุคใหม่มองหาในตัว CFO

เอาล่ะ! เข้าสู่เนื้อหาหลักของเรากันแล้ว เมื่อโลกเปลี่ยนไป องค์กรก็เปลี่ยนตาม โดยเฉพาะบริษัทเทคฯ หรือสตาร์ทอัปในกรุงเทพฯ ที่เติบโตเร็วมากๆ พวกเขาไม่ได้ต้องการ CFO ที่เก่งแค่เรื่องเดบิต-เครดิตอีกต่อไป แต่ต้องการคนที่มีทักษะเหล่านี้ติดตัว

1. การคิดเชิงกลยุทธ์และความเข้าใจธุรกิจ (Strategic Thinking & Business Acumen)

นี่คือทักษะที่สำคัญที่สุดที่แยกระหว่างนักบัญชีทั่วไปกับ CFO เลยก็ว่าได้

  • ไม่ใช่แค่ “What” แต่ต้องรู้ “Why”: แทนที่จะแค่รายงานว่า “ยอดขายไตรมาสนี้ลดลง 10%” CFO ยุคใหม่ต้องตอบได้ว่า “ยอดขายลดลง 10% เพราะว่า คู่แข่งออกโปรดักต์ใหม่มาตัดราคา และแคมเปญการตลาดของเรายังไม่โดนใจกลุ่มเป้าหมาย ดังนั้น เราควรจะปรับกลยุทธ์การตลาดและพิจารณาออกฟีเจอร์ใหม่เพื่อสู้กลับ”
  • มองทะลุตัวเลข: ต้องเข้าใจภาพรวมของธุรกิจทั้งหมด ไม่ใช่แค่แผนกการเงิน แต่ต้องรู้ว่าฝ่ายการตลาด ฝ่ายขาย ฝ่ายผลิต หรือฝ่ายบุคคลเขากำลังทำอะไรอยู่ และมันส่งผลกระทบต่อสถานะการเงินของบริษัทอย่างไรบ้าง ต้องสามารถเข้าไปนั่งคุยกับหัวหน้าทุกแผนกและให้คำแนะนำในมุมการเงินได้

How-to สำหรับน้องๆ: ฝึกอ่านข่าวธุรกิจเยอะๆ ไม่ว่าจะเป็น Brandinside, The Standard Wealth หรือ Techsauce ลองวิเคราะห์ดูว่าทำไมบริษัทนี้ถึงสำเร็จ ทำไมบริษัทนั้นถึงล้มเหลว การติดตามข่าวสารจะช่วยให้เราเข้าใจ “เกมธุรกิจ” มากขึ้น

2. ความฉลาดทางเทคโนโลยีและข้อมูล (Tech & Data Savvy)

ลืมภาพการนั่งกดเครื่องคิดเลขไปได้เลย! โลกการเงินปัจจุบันขับเคลื่อนด้วยข้อมูลมหาศาล (Big Data) และเทคโนโลยี CFO ที่ดีต้อง:

  • พูดภาษา Data ได้: ต้องเข้าใจเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลอย่าง Power BI, Tableau หรือแม้กระทั่งพื้นฐานของ SQL เพื่อดึงข้อมูลมาวิเคราะห์เองได้ ไม่ต้องรอให้ใครสรุปมาให้
  • เข้าใจระบบ ERP: รู้จักและเข้าใจการทำงานของโปรแกรมวางแผนทรัพยากรทางธุรกิจขององค์กร (Enterprise Resource Planning) เช่น SAP, Oracle ซึ่งเป็นเหมือนสมองกลของบริษัท
  • มองเห็นโอกาสจาก AI และ Automation: ต้องรู้ว่าจะนำเทคโนโลยีอย่าง AI หรือ Robotic Process Automation (RPA) มาช่วยลดขั้นตอนงานบัญชีซ้ำๆ ที่น่าเบื่อ เพื่อให้ทีมมีเวลาไปทำงานวิเคราะห์เชิงลึกมากขึ้นได้อย่างไร

How-to สำหรับน้องๆ: ลองหัดใช้โปรแกรมพื้นฐานอย่าง Microsoft Excel ให้คล่องแบบสุดๆ โดยเฉพาะฟังก์ชันซับซ้อนอย่าง PivotTable หรือ Power Query หรืออาจจะลองเรียนคอร์สออนไลน์ฟรีเกี่ยวกับ Data Analytics หรือ Python เบื้องต้นดูก็ได้นะ!

 

3. ทักษะความเป็นผู้นำและการสื่อสาร (Leadership & Communication)

CFO ไม่ได้ทำงานคนเดียว แต่ต้องนำทีมการเงินและทำงานร่วมกับคนทั้งองค์กร ดังนั้นทักษะด้านคนจึงสำคัญมาก

  • นักเล่าเรื่องจากตัวเลข (Financial Storytelling): นี่คือศิลปะขั้นสูง! คือความสามารถในการแปลงงบการเงินที่เต็มไปด้วยตัวเลขน่าปวดหัว ให้กลายเป็นเรื่องราวที่เข้าใจง่ายและน่าติดตาม เพื่อนำเสนอให้บอร์ดบริหาร, นักลงทุน, หรือแม้แต่พนักงานทั่วไปเข้าใจตรงกันว่า “ตอนนี้สถานะการเงินของบริษัทเราเป็นอย่างไร และเรากำลังจะเดินไปทางไหนต่อ”
  • การเจรจาต่อรอง: ต้องดีลกับธนาคารเพื่อขอสินเชื่อ, คุยกับนักลงทุนเพื่อระดมทุน, ต่อรองกับซัพพลายเออร์เพื่อให้ได้ราคาที่ดีที่สุด ทักษะการเจรจาจึงขาดไม่ได้
  • การสร้างทีม: ต้องสามารถบริหารจัดการทีมบัญชีและการเงิน พัฒนาศักยภาพของลูกทีม และสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดีได้

How-to สำหรับน้องๆ: การเข้าร่วมกิจกรรมชมรม, การโต้วาที, การเป็นหัวหน้าโครงงาน หรือแม้แต่การพรีเซนต์งานหน้าห้องบ่อยๆ ล้วนเป็นการฝึกทักษะการสื่อสารและความเป็นผู้นำที่ดีเยี่ยมเลยล่ะ

4. การบริหารความเสี่ยงและความสามารถในการปรับตัว (Risk Management & Adaptability)

โลกธุรกิจทุกวันนี้เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นโรคระบาด, สงคราม, ความผันผวนของเศรษฐกิจ หรือการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี CFO ต้องเป็นด่านหน้าในการรับมือกับเรื่องเหล่านี้

  • มองหาความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่: ต้องเป็นคนช่างสงสัยและมองการณ์ไกล สามารถระบุความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ล่วงหน้า เช่น “ถ้าอัตราดอกเบี้ยขึ้น 1% จะกระทบกับหนี้สินบริษัทเราแค่ไหน?” หรือ “ถ้าค่าเงินบาทอ่อนลง จะส่งผลต่อต้นทุนนำเข้าของเราอย่างไร?”
  • วางแผนรับมือ (Contingency Plan): เมื่อเห็นความเสี่ยงแล้ว ก็ต้องวางแผนสำรองไว้เสมอว่าถ้าเกิดเหตุการณ์ A, B, C ขึ้นมาจริงๆ บริษัทจะมีแผนรับมืออย่างไรเพื่อลดความเสียหายให้น้อยที่สุด
  • เปิดใจรับการเปลี่ยนแปลง: พร้อมที่จะปรับเปลี่ยนแผนการเงินและกลยุทธ์ของบริษัทได้อย่างรวดเร็วเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป ความยืดหยุ่นคือหัวใจสำคัญ

5. ทักษะด้านอารมณ์และสังคม (Soft Skills)

เรื่องนี้อาจจะดูจับต้องยาก แต่สำคัญไม่แพ้ข้ออื่นเลย องค์กรยุคใหม่ต้องการผู้นำที่เข้าอกเข้าใจคน ไม่ใช่แค่หุ่นยนต์ที่เก่งตัวเลข

  • ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ): การจัดการอารมณ์ของตัวเองและเข้าใจอารมณ์ของผู้อื่นได้ดี
  • การทำงานร่วมกับผู้อื่น (Collaboration): สามารถทำงานข้ามสายงานได้อย่างราบรื่น
  • การคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking): ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ตั้งคำถามกับข้อมูลที่มี และหาทางแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ

Q&A Station: ถาม-ตอบ ทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับการเป็น CFO

พี่รวบรวมคำถามยอดฮิตที่น้องๆ ชอบถามกันมาไว้ตรงนี้แล้ว มาดูกันเลย!

Q: การเป็น CFO จำเป็นต้องเรียนจบบัญชีโดยตรงไหมคะ/ครับ?

A: ไม่จำเป็น 100% แต่เป็นเส้นทางที่ตรงที่สุดครับ! คนที่จบสายตรงบัญชีหรือการเงิน (Finance) จะได้เปรียบมากในช่วงเริ่มต้น เพราะมีความเข้าใจพื้นฐานที่แน่นหนา อย่างไรก็ตาม ก็มี CFO หลายคนที่จบเศรษฐศาสตร์, บริหารธุรกิจ หรือแม้แต่วิศวกรรมศาสตร์ แต่พวกเขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการศึกษาหาความรู้ด้านการเงินและบัญชีเพิ่มเติม รวมถึงการสอบใบอนุญาตต่างๆ เช่น CPA (ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต) หรือ CFA (นักวิเคราะห์การลงทุน) ครับ

Q: ถ้าไม่เก่งคณิตศาสตร์แบบสุดๆ จะเป็น CFO ได้ไหม?

A: คำถามดีมาก! เราต้องแยกกันระหว่าง “การคำนวณ” กับ “ความเข้าใจในตรรกะของตัวเลข” นะครับ งาน CFO ไม่ได้ต้องการให้เราเป็นนักคณิตศาสตร์โอลิมปิกที่ต้องแก้สมการแคลคูลัสยากๆ แต่ต้องการคนที่ “เข้าใจความหมายเบื้องหลังตัวเลข” สามารถวิเคราะห์และตีความข้อมูลทางการเงินได้มากกว่า การคำนวณส่วนใหญ่โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยเราได้หมดแล้ว แต่การวิเคราะห์และตัดสินใจนั่นแหละคือสิ่งที่มนุษย์ยังต้องทำอยู่ ดังนั้น แค่มีพื้นฐานคณิตศาสตร์ ม.ปลาย ที่ดี และมีทักษะการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นเหตุเป็นผลก็เพียงพอแล้วครับ

Q: โอกาสการเป็น CFO ในประเทศไทยมีมากน้อยแค่ไหน?

A: มีโอกาสที่ดีและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ครับ! โดยเฉพาะในยุคนี้ที่มีบริษัทสตาร์ทอัปใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมายในไทย บริษัทเหล่านี้ต้องการ CFO ที่มีความเข้าใจในโมเดลธุรกิจยุคใหม่และสามารถช่วยระดมทุนได้ นอกจากนี้ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ก็ดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ ทำให้ความต้องการผู้บริหารระดับสูงด้านการเงินที่มีความสามารถเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ตำแหน่ง CFO เป็นตำแหน่งระดับสูงที่มีในทุกองค์กรขนาดกลางถึงใหญ่ ดังนั้นถ้าเรามีทักษะครบถ้วน โอกาสเปิดกว้างแน่นอนครับ

Q: ต้องใช้เวลากี่ปีถึงจะได้เป็น CFO?

A: ไม่มีคำตอบที่ตายตัวครับ มันคือการเดินทางระยะยาว ไม่ใช่การวิ่งแข่งระยะสั้น โดยเฉลี่ยแล้วอาจจะใช้เวลาประมาณ 15-20 ปีขึ้นไปในการสั่งสมประสบการณ์จากการเป็นนักบัญชี, ผู้วิเคราะห์ทางการเงิน, ผู้จัดการฝ่ายบัญชี, ผู้ควบคุมการเงิน (Controller) จนถึงตำแหน่ง CFO แต่ในบริษัทสตาร์ทอัปที่โตเร็วมากๆ บางคนอาจใช้เวลาน้อยกว่านั้น สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ “จำนวนปี” แต่อยู่ที่ “คุณภาพของประสบการณ์” และ “ความสามารถในการเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง” อย่างต่อเนื่องครับ

บทสรุป: ไม่ใช่แค่ “ผู้เฝ้าประตู” แต่คือ “ผู้ร่วมสร้างอนาคต”

เส้นทางจากนักบัญชีสู่ CFO ในโลกยุคใหม่ คือการเดินทางที่ต้องเปลี่ยนบทบาทตัวเองจาก “ผู้พิทักษ์ความถูกต้องของตัวเลขในอดีต” ไปสู่การเป็น “พาร์ทเนอร์ทางกลยุทธ์ที่ร่วมออกแบบอนาคตของบริษัท”

สำหรับน้องๆ ที่กำลังสนใจสายงานนี้ หรือกำลังค้นหาตัวเองอยู่ พี่อยากจะบอกว่าไม่ต้องกลัวความซับซ้อนของมันครับ ทุกทักษะที่พี่เล่ามาทั้งหมด มันคือสิ่งที่ค่อยๆ สั่งสมและเรียนรู้กันได้ ขอแค่เราเริ่มต้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น (Curiosity) ตั้งคำถามว่า “ทำไม?” กับทุกตัวเลขที่เราเห็น และไม่หยุดที่จะพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ

โลกธุรกิจกำลังรอคนรุ่นใหม่อย่างพวกเราเข้าไปสร้างความเปลี่ยนแปลงอยู่… และใครจะไปรู้ ในอีก 15-20 ปีข้างหน้า หนึ่งในพวกเราอาจจะได้นั่งเก้าอี้ CFO ของบริษัทยูนิคอร์นสัญชาติไทยก็เป็นได้!

สู้ๆ นะครับทุกคน!

Most Popular

Categories