เจาะลึก! การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน ที่ #ว่าที่ CEO รุ่นใหม่ต้องรู้
สวัสดีน้องๆ ทุกคน! วันนี้อยากจะมาชวนคุยเรื่องที่อาจจะดูจริงจังนิดหน่อย แต่บอกเลยว่า โคตรสำคัญ สำหรับใครก็ตามที่ฝันอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเปิดร้านกาแฟเล็กๆ, ขายของออนไลน์, เป็น Youtuber ที่มีบริษัทของตัวเอง หรือแม้แต่สร้าง Startup เปลี่ยนโลก
เคยรู้สึกมั้ยว่า… ความฝันกับ Passion มันเต็มร้อย แต่พอพูดถึงเรื่อง “ตัวเลข” “บัญชี” “การเงิน” แล้วสมองตื๊อไปหมด? ไม่เป็นไรเลย! วันนี้พี่จะมาแปลภาษาตัวเลขพวกนี้ให้กลายเป็นภาษาที่พวกเราเข้าใจง่ายที่สุด กับเรื่อง “การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน (Financial Ratio Analysis)”
ลองนึกภาพตามนะ: อัตราส่วนทางการเงินก็เหมือน “ผลตรวจสุขภาพ” ของธุรกิจเรานั่นแหละ มันบอกได้ว่าธุรกิจเราแข็งแรงดีมั้ย? มีไขมัน (หนี้) เยอะไปรึเปล่า? หัวใจ (กำไร) ยังเต้นดีอยู่มั้ย? หรือมีแรงวิ่งไปข้างหน้าได้อีกไกลแค่ไหน?
การอ่านผลตรวจสุขภาพนี้เป็น จะทำให้เราไม่ใช่แค่ “เจ้าของธุรกิจ” แต่เป็น “ผู้ประกอบการที่มีวิสัยทัศน์” ที่ตัดสินใจอะไรจากข้อมูลจริง ไม่ใช่แค่ความรู้สึก! พร้อมแล้วก็ไปลุยกันเลย!
อัตราส่วนทางการเงิน (Financial Ratio) คืออะไรกันแน่?
ตอบแบบง่ายที่สุด: อัตราส่วนทางการเงิน คือ การเอาตัวเลข 2 ตัวจาก “งบการเงิน” (พวกงบฐานะการเงิน, งบกำไรขาดทุน) มาหารกัน เพื่อให้เกิดเป็น “ค่า” ใหม่ที่บอกอะไรเราได้มากกว่าการดูตัวเลขเดี่ยวๆ
เช่น ถ้าพี่บอกว่า “ร้าน A มีเงินสด 100,000 บาท” เราอาจจะรู้สึกว่าเยอะ แต่ถ้าพี่บอกเพิ่มว่า “แต่ร้าน A มีหนี้ที่ต้องจ่ายเดือนนี้ 200,000 บาท” ความรู้สึกเปลี่ยนเลยใช่มั้ย? นี่แหละคือพลังของการเปรียบเทียบที่อัตราส่วนทางการเงินมอบให้เรา
โดยข้อมูลพวกนี้ เราสามารถหาได้จาก งบการเงิน ซึ่งเป็นเอกสารทางการที่ทุกบริษัทจดทะเบียนต้องทำขึ้นมา สำหรับธุรกิจเล็กๆ ของเราเอง ก็คือบันทึกรายรับ-รายจ่าย สินทรัพย์ หนี้สินของเรานั่นเอง ที่ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ กำหนดให้ต้องจัดทำและนำส่งทุกปี
รวมฮิต 4 หมวดหมู่อัตราส่วนทางการเงิน ที่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ควรรู้
อัตราส่วนฯ มีเป็นสิบๆ ตัวเลยนะ แต่สำหรับมือใหม่ พี่คัดมาเน้นๆ 4 หมวดที่สำคัญและเห็นภาพชัดที่สุด รับรองว่าเอาไปใช้ต่อยอดได้แน่นอน
หมวดที่ 1: อัตราส่วนวัดสภาพคล่อง (Liquidity Ratios) – “มีเงินจ่ายหนี้ระยะสั้นมั้ย?”
หมวดนี้คือหัวใจของการอยู่รอดเลยก็ว่าได้ มันใช้วัดความสามารถของธุรกิจในการจ่ายหนี้สินระยะสั้น (หนี้ที่ต้องจ่ายภายใน 1 ปี) ถ้าสภาพคล่องไม่ดี ก็เหมือนคนวิ่งแล้วหายใจไม่ทัน เสี่ยงล้มได้ง่ายๆ เลย
1.1 อัตราส่วนทุนหมุนเวียน (Current Ratio)
ตัวนี้คือเบสิกสุดๆ บอกว่าเรามีสินทรัพย์ที่เปลี่ยนเป็นเงินสดได้ง่ายๆ (สินทรัพย์หมุนเวียน) เป็นกี่เท่าของหนี้สินระยะสั้น (หนี้สินหมุนเวียน)
Current Ratio = สินทรัพย์หมุนเวียน (Current Assets) / หนี้สินหมุนเวียน (Current Liabilities)
- สินทรัพย์หมุนเวียน: เงินสด, เงินฝากธนาคาร, ลูกหนี้การค้า (เงินที่ลูกค้ายังไม่จ่ายเรา), สินค้าคงคลัง
- หนี้สินหมุนเวียน: เจ้าหนี้การค้า (เงินที่เรายังไม่จ่ายซัพพลายเออร์), เงินกู้ระยะสั้น
ตัวอย่าง: ร้านขายเสื้อออนไลน์ของนาย Z มีสินทรัพย์หมุนเวียน 150,000 บาท และมีหนี้สินหมุนเวียน 75,000 บาท
Current Ratio = 150,000 / 75,000 = 2 เท่า
การแปลผล: โดยทั่วไป ค่านี้ควร มากกว่า 1 (ส่วนใหญ่จะมองกันที่ 1.5 – 2 เท่าขึ้นไป) แปลว่าเรามีสินทรัพย์พร้อมจ่ายหนี้สบายๆ ถ้าค่าต่ำกว่า 1 เมื่อไหร่… นั่นคือสัญญาณอันตรายแล้วนะ!
หมวดที่ 2: อัตราส่วนวัดความสามารถในการทำกำไร (Profitability Ratios) – “ทำธุรกิจแล้ว…เหลือกำไรจริงแค่ไหน?”
ขายดีอย่างเดียวไม่พอ ต้อง “มีกำไร” ด้วย หมวดนี้จะช่วยผ่าดูเลยว่าจากรายได้ทั้งหมดที่เข้ามา หักลบต้นทุนต่างๆ แล้ว เราเหลือกำไรเข้ากระเป๋าจริงๆ กี่เปอร์เซ็นต์
2.1 อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin)
บอกเราว่า เมื่อหัก “ต้นทุนขาย” (ต้นทุนวัตถุดิบ, ค่าแพคของ) ออกจาก “ยอดขาย” แล้ว เราเหลือกำไรกี่เปอร์เซ็นต์ ตัวนี้ใช้วัดประสิทธิภาพในการตั้งราคาและควบคุมต้นทุนสินค้าโดยตรง
Gross Profit Margin = (ยอดขาย - ต้นทุนขาย) / ยอดขาย * 100
ตัวอย่าง: ร้านกาแฟของนางสาว B เดือนนี้มียอดขาย 200,000 บาท มีต้นทุนค่าเมล็ดกาแฟ, นม, แก้ว รวม 80,000 บาท
Gross Profit Margin = (200,000 – 80,000) / 200,000 * 100 = 60%
การแปลผล: ยิ่งสูงยิ่งดี! แปลว่าเราควบคุมต้นทุนสินค้าได้ดี หรือตั้งราคาขายได้เหมาะสม เมื่อเทียบกับธุรกิจประเภทเดียวกันในประเทศไทย ร้านกาแฟส่วนใหญ่มี GPM ประมาณ 60-70% ถือว่านางสาว B ทำได้ดีเลย
2.2 อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin)
ตัวนี้คือ “บรรทัดสุดท้าย” ที่แท้ทรู! มันคือการเอากำไรทั้งหมดหลังจากหักค่าใช้จ่าย ทุกอย่าง (ทั้งต้นทุนขาย, ค่าเช่าร้าน, เงินเดือน, ค่าการตลาด, ดอกเบี้ย, ภาษี) มาเทียบกับยอดขาย
Net Profit Margin = กำไรสุทธิ (Net Profit) / ยอดขาย (Revenue) * 100
ตัวอย่าง: จากร้านกาแฟเดิม หลังจากหักต้นทุนขาย 80,000 บาทแล้ว ยังมีค่าเช่าร้าน, ค่าจ้างบาริสต้า, ค่าการตลาดออนไลน์ รวมอีก 70,000 บาท
กำไรสุทธิ = 200,000 – 80,000 (ต้นทุนขาย) – 70,000 (ค่าใช้จ่ายอื่นๆ) = 50,000 บาท
Net Profit Margin = 50,000 / 200,000 * 100 = 25%
การแปลผล: นี่คือเงินที่เข้ากระเป๋าเราจริงๆ! ยิ่งสูงยิ่งแปลว่าธุรกิจเราบริหารจัดการค่าใช้จ่ายทุกภาคส่วนได้ดีเยี่ยม ถ้า Gross Margin สูงแต่ Net Margin ต่ำ ให้รีบไปดูเลยว่ามีค่าใช้จ่ายส่วนไหนรั่วไหลอยู่รึเปล่า
หมวดที่ 3: อัตราส่วนวัดประสิทธิภาพการดำเนินงาน (Efficiency Ratios) – “ใช้สินทรัพย์ที่มีได้คุ้มค่าแค่ไหน?”
มีของ มีเงินทุนแล้ว แต่ใช้มันได้เก่งแค่ไหน? หมวดนี้จะช่วยวัดว่าเราบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ได้ดีเพียงใด
3.1 อัตราหมุนเวียนของสินค้าคงคลัง (Inventory Turnover)
ตัวนี้สำคัญมากสำหรับธุรกิจซื้อมา-ขายไป บอกว่าใน 1 ปี เราขายของในสต็อกออกไปได้กี่รอบ ถ้าค่านี้สูงแปลว่าขายดี ของไม่ค้างสต็อกนาน แต่ถ้าต่ำไปอาจแปลว่าของจม หรือสั่งมาเยอะเกินไป
Inventory Turnover = ต้นทุนขาย (Cost of Goods Sold) / สินค้าคงคลังเฉลี่ย
*สินค้าคงคลังเฉลี่ย = (สินค้าคงคลังต้นปี + สินค้าคงคลังปลายปี) / 2
การแปลผล: ค่าที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจ เช่น ร้านสะดวกซื้อในกรุงเทพฯ อาจมีค่านี้สูงมากเพราะของเข้า-ออกเร็ว แต่ร้านขายเครื่องประดับอาจมีค่านี้ต่ำกว่าเพราะของชิ้นหนึ่งอาจจะอยู่บนชั้นวางนานหน่อย สิ่งสำคัญคือการเทียบกับตัวเองในปีก่อนๆ หรือเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน
หมวดที่ 4: อัตราส่วนหนี้สิน (Leverage Ratios) – “พึ่งพาเงินคนอื่นเยอะไปรึเปล่า?”
การกู้เงินมาทำธุรกิจไม่ใช่เรื่องผิด แต่การมีหนี้สินมากเกินไปก็เหมือนแบกของหนักเดินขึ้นเขา เสี่ยงล้มและอันตรายมาก หมวดนี้ช่วยวัดโครงสร้างเงินทุนของกิจการเรา
4.1 อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt-to-Equity Ratio หรือ D/E Ratio)
ตัวท็อปฮิตที่นักลงทุนชอบดูกันมาก! มันบอกว่าธุรกิจเรามีหนี้สินเป็นกี่เท่าของเงินทุนของเจ้าของเอง
D/E Ratio = หนี้สินรวม (Total Liabilities) / ส่วนของผู้ถือหุ้น (Total Equity)
ตัวอย่าง: ธุรกิจ Startup ของนาย C มีหนี้สินรวม (เงินกู้จากธนาคาร, เจ้าหนี้การค้า) 500,000 บาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้น (เงินที่นาย C และเพื่อนๆ ลงขันกัน) 1,000,000 บาท
D/E Ratio = 500,000 / 1,000,000 = 0.5 เท่า
การแปลผล:
- D/E < 1: สัญญาณดี! แปลว่าเราใช้เงินทุนของตัวเองมากกว่าเงินกู้ ความเสี่ยงทางการเงินต่ำ
- D/E = 1: แปลว่ามีหนี้สินเท่ากับส่วนของเจ้าของ พอรับได้
- D/E > 1: ต้องเริ่มระวัง! แปลว่าเราพึ่งพาเงินกู้มากกว่าเงินตัวเอง ถ้าธุรกิจสะดุด อาจมีปัญหาในการจ่ายหนี้ได้ง่าย โดยทั่วไปในตลาดหุ้นไทย นักลงทุนมักจะมองหาบริษัทที่มี D/E Ratio ไม่เกิน 1.5 – 2 เท่า (แล้วแต่ประเภทอุตสาหกรรม)
แล้วจะเอาอัตราส่วนพวกนี้ไปใช้วิเคราะห์ยังไงต่อ?
การคำนวณออกมาเป็นตัวเลขได้เป็นแค่ก้าวแรก ที่สำคัญกว่าคือการ “ตีความ” ซึ่งทำได้ 2 วิธีหลักๆ:
- การวิเคราะห์แนวโน้ม (Trend Analysis): คือการเปรียบเทียบอัตราส่วนของธุรกิจเราเองในแต่ละช่วงเวลา เช่น เทียบไตรมาสนี้กับไตรมาสที่แล้ว หรือปีนี้กับ 3 ปีย้อนหลัง เพื่อดูว่าธุรกิจเรามีพัฒนาการที่ดีขึ้นหรือแย่ลง
- การวิเคราะห์เปรียบเทียบ (Comparative Analysis): คือการนำอัตราส่วนของเราไปเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม หรือเทียบกับคู่แข่งโดยตรง เพื่อดูว่าเราทำได้ดีกว่าหรือแย่กว่ามาตรฐานคนอื่นเขา เช่น ข้อมูลสถิติธุรกิจจาก กรมพัฒนาธุรกิจการค้า หรือ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) สำหรับบริษัทมหาชน
พี่ขอเสริม: ไม่มีอัตราส่วน “ที่ดีที่สุด” ที่ใช้ได้กับทุกธุรกิจนะ! ร้านอาหารก็มีค่าเฉลี่ยแบบหนึ่ง บริษัทเทคโนโลยีก็มีอีกแบบหนึ่ง สิ่งสำคัญคือการเข้าใจ “ธรรมชาติ” ของธุรกิจเรา และใช้ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจที่ดีขึ้น
Q&A / คำถามที่พบบ่อยจาก #ว่าที่CEO
Q1: ต้องเก่งเลขหรือจบบัญชีมั้ย ถึงจะวิเคราะห์เรื่องพวกนี้ได้?
A1: ไม่จำเป็นเลย! ดูสิว่าสูตรทั้งหมดเป็นการบวก ลบ คูณ หารธรรมดามากๆ หัวใจสำคัญไม่ได้อยู่ที่การคำนวณ แต่อยู่ที่ “ความเข้าใจ” และ “การตีความ” ต่างหาก แค่เรารู้ว่าตัวเลขแต่ละตัวมันบอกอะไรเรา แค่นี้ก็เริ่มต้นได้แล้ว!
Q2: ถ้าเพิ่งเริ่มต้นธุรกิจเล็กๆ ควรให้ความสำคัญกับอัตราส่วนตัวไหนก่อนเป็นพิเศษ?
A2: พี่แนะนำให้โฟกัสที่ 2 หมวดหลักก่อนเลย คือ 1. สภาพคล่อง (Current Ratio) เพื่อให้แน่ใจว่าเรามีเงินหมุนจ่ายหนี้ ไม่เจ๊งไปซะก่อน และ 2. ความสามารถในการทำกำไร (Net Profit Margin) เพื่อให้รู้ว่าธุรกิจที่เราเหนื่อยทำอยู่ทุกวัน มันสร้างกำไรที่แท้จริงให้เราได้รึเปล่า สองตัวนี้คือพื้นฐานการอยู่รอดเลย
Q3: เราจะไปดูงบการเงินหรืออัตราส่วนของบริษัทใหญ่ๆ ในไทยได้ที่ไหน?
A3: เป็นคำถามที่ดีมาก! สำหรับบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ น้องๆ สามารถเข้าไปดูได้ฟรีเลยที่เว็บไซต์ของ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (www.set.or.th) ในส่วนของ “ข้อมูลหลักทรัพย์” แล้วค้นหาชื่อหุ้นที่สนใจ จะมีข้อมูลงบการเงินและอัตราส่วนสำคัญๆ ให้นักลงทุนดูย้อนหลังได้หลายปีเลย เป็นแหล่งเรียนรู้ชั้นยอดเลยล่ะ!
Q4: ตัวเลขพวกนี้มันดูยุ่งยาก ทำไมเราแค่ดูเงินในบัญชีธนาคารอย่างเดียวไม่ได้เหรอ?
A4: เงินในบัญชีมันบอกได้แค่ “ตอนนี้มีเงินเท่าไหร่” แต่มันไม่ได้บอก “สุขภาพในระยะยาว” เลย การดูอัตราส่วนทำให้เราเห็นภาพรวม เช่น เราอาจจะมีเงินในบัญชีเยอะ แต่จริงๆ แล้วเป็นเงินที่กู้มาทั้งหมด (D/E สูงปรี๊ด) หรือเราอาจจะขายดีมาก เงินเข้าทุกวัน แต่พอหักลบต้นทุนแล้วแทบไม่เหลือกำไรเลย (Net Profit Margin ต่ำมาก) การวิเคราะห์นี้จึงเหมือนมี “แว่นตาพิเศษ” ที่ทำให้เรามองทะลุไปเห็นความจริงของธุรกิจได้ชัดขึ้นนั่นเอง
บทสรุป: จากตัวเลขสู่การตัดสินใจ
เห็นมั้ยว่าตัวเลขพวกนี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดเลย มันคือ “ภาษา” ของธุรกิจ ถ้าเราเข้าใจภาษานี้ เราจะสามารถคุยกับธุรกิจของเราเองได้รู้เรื่อง เราจะรู้ว่าเมื่อไหร่ควรขยายสาขา เมื่อไหร่ควรรัดเข็มขัด เมื่อไหร่ควรหาเงินทุนเพิ่ม
การเรียนรู้เรื่อง การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน ตั้งแต่วันนี้ คือการติดอาวุธที่ทรงพลังที่สุดให้กับตัวเองในฐานะ “ว่าที่ผู้ประกอบการ” มันคือความแตกต่างระหว่างคนที่ทำธุรกิจไปวันๆ กับคนที่สร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน
สู้ๆ นะ ว่าที่ CEO ทุกคน! ความรู้คือพลัง!
“`
















