แนวโน้มค่าเฉลี่ย Debt to Equity Ratio และความเสี่ยงสำหรับนักลงทุนยุคใหม่

 

เจาะลึก D/E Ratio: ค่าเฉลี่ย แนวโน้ม และความเสี่ยงที่นักลงทุน Gen Z ต้องรู้! 📈

สวัสดีเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกคน! ในยุคที่ใครๆ ก็พูดถึงเรื่อง ‘Adulting’ และการ ‘วางแผนการเงิน’ การลงทุนในหุ้นดูเป็นอะไรที่โคตรคูลและน่าสนใจสุดๆ ใช่มั้ยล่ะ? เราเห็นเพื่อนเปิดพอร์ต ลงทุนในหุ้นตัวนั้นตัวนี้ แต่เคยสงสัยกันมั้ยว่าเบื้องหลังตัวย่อหุ้น 3-4 ตัวอักษร กับกราฟสีเขียวๆ แดงๆ เนี่ย… เราจะรู้ได้ไงว่าบริษัทที่เรากำลังจะเอาเงินเก็บค่าขนมไปลงด้วย มัน ‘เจ๋งจริง’ หรือ ‘จ้อจี้’ กันแน่?

วันนี้เราจะมาแกะสูตรลับที่นักลงทุนมือโปรใช้กัน นั่นคือ Debt to Equity Ratio หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า D/E Ratio นั่นเอง ฟังชื่อแล้วอย่าเพิ่งเบือนหน้าหนีนะ! บอกเลยว่าถ้าเข้าใจเรื่องนี้ มันจะเหมือนเรามีพลังวิเศษในการสแกนสุขภาพการเงินของบริษัทได้เลยล่ะ! ✨

D/E Ratio คืออะไรกันแน่? พูดภาษาคนให้เข้าใจหน่อย!

เอาแบบง่ายที่สุดเลยนะ… ลองนึกภาพว่าเรากับเพื่อนจะเปิดร้านขายน้ำมะนาว

  • เงินที่เรากับเพื่อนลงขันกันเอง = ส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity)
  • เงินที่ไปยืมแม่มาซื้อเครื่องคั้นน้ำมะนาว = หนี้สิน (Debt)

D/E Ratio ก็คือการเอา ‘เงินที่ยืมแม่มา’ (หนี้สิน) มาหารด้วย ‘เงินที่เราลงขันกัน’ (ส่วนทุน) นั่นเอง

สูตร: D/E Ratio = หนี้สินรวม (Total Liabilities) / ส่วนของผู้ถือหุ้น (Total Equity)

ตัวเลขที่ได้จะบอกเราว่า “บริษัทนี้ใช้เงินกู้มาทำธุรกิจเป็นกี่เท่าของเงินทุนตัวเอง?”

  • D/E Ratio ต่ำ (เช่น 0.5 เท่า): เหมือนเรายืมเงินแม่มา 50 บาท แต่เราลงขันกันเอง 100 บาท แสดงว่าพึ่งพาเงินตัวเองเป็นหลัก ความเสี่ยงต่ำ ปลอดภัย แต่ก็อาจจะโตไม่ทันใจ
  • D/E Ratio สูง (เช่น 3 เท่า): เหมือนเรายืมเงินแม่มา 300 บาท แต่ลงขันกันแค่ 100 บาท แบบนี้คือใช้เงินกู้เยอะมาก ถ้าขายดีก็รวยเร็ว (เพราะใช้เงินคนอื่นมาทำกำไร) แต่ถ้าขายไม่ออกล่ะ? ก็เจ๊งเร็วเหมือนกัน! เพราะต้องหาเงินมาคืนหนี้ 😱

สรุปง่ายๆ D/E Ratio คือ ‘เครื่องวัดความกล้าได้กล้าเสีย’ ของบริษัทนั่นเองครับ/ค่ะ


ส่องเทรนด์ D/E Ratio ในตลาดหุ้นไทย 

โอเค ตอนนี้เรารู้แล้วว่า D/E Ratio คืออะไร คำถามต่อมาคือ “แล้วในตลาดหุ้นไทยล่ะ ค่าเฉลี่ยมันอยู่ประมาณไหน?” นี่คือส่วนที่สำคัญมาก เพราะการดู D/E Ratio เดี่ยวๆ แบบไม่มีตัวเปรียบเทียบ มันไม่มีความหมายเลย

สิ่งที่ต้องจำให้ขึ้นใจ: D/E Ratio ที่เหมาะสมของแต่ละอุตสาหกรรมไม่เท่ากัน!

เราจะมาลองแบ่งกลุ่มอุตสาหกรรมในไทยแบบคร่าวๆ เพื่อให้เห็นภาพนะ:

1. กลุ่มสถาบันการเงินและธนาคาร 

กลุ่มนี้ D/E Ratio จะสูงปรี๊ดดด! อาจจะเห็น 5 เท่า, 8 เท่า หรือ 10 เท่าก็เป็นได้ ไม่ต้องตกใจนะ! เพราะโมเดลธุรกิจของเขาคือการ ‘รับเงินฝาก’ (ซึ่งทางบัญชีถือเป็นหนี้สิน) แล้วเอาไป ‘ปล่อยกู้’ หากำไร ดังนั้นการมีหนี้เยอะจึงเป็นเรื่องปกติของธุรกิจนี้ สิ่งที่ต้องดูประกอบคือคุณภาพของหนี้ (NPL) มากกว่า

2. กลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค 

ธุรกิจโรงไฟฟ้า, ประปา, ทางด่วน มักจะมี D/E Ratio ที่ค่อนข้างสูง (อาจจะ 1.5 – 3 เท่า) เพราะการลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าหรือตัดถนนแต่ละครั้งใช้เงินมหาศาล การกู้เงินมาลงทุนจึงเป็นเรื่องปกติ แต่เนื่องจากธุรกิจเหล่านี้มีรายได้ที่สม่ำเสมอและคาดการณ์ได้ง่าย (เราทุกคนต้องใช้ไฟฟ้า ใช้ประปาใช่มั้ยล่ะ?) เลยทำให้พวกเขาสามารถแบกรับหนี้ในระดับสูงได้

3. กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ 

กลุ่มนี้ก็เป็นอีกกลุ่มที่ D/E สูงเป็นปกติ (อาจจะ 1 – 2.5 เท่า) เพราะต้องกู้เงินมาซื้อที่ดินและก่อสร้างโครงการคอนโด, หมู่บ้านต่างๆ ก่อนที่จะเริ่มขายและรับรู้รายได้ ความเสี่ยงของกลุ่มนี้คือถ้าเศรษฐกิจไม่ดี คนไม่มีกำลังซื้อ โครงการที่สร้างไว้อาจจะขายไม่ออก ทำให้ภาระหนี้สินหนักอึ้งได้เลย

4. กลุ่มเทคโนโลยีและสตาร์ทอัป 

กลุ่มนี้มีความหลากหลายมาก บางบริษัทที่เน้นการเติบโตสูงๆ อาจจะยอมมี D/E สูงลิ่วเพื่อระดมทุนไปขยายกิจการ แย่งชิงส่วนแบ่งตลาด แต่บางบริษัทที่โตแล้วและมีกำไรสม่ำเสมอก็อาจจะมี D/E ต่ำมาก หรือไม่มีหนี้เลยก็ได้ ต้องดูเป็นรายตัวไป

5. กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค 

ธุรกิจที่ขายของที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น อาหาร, เครื่องดื่ม มักจะมี D/E Ratio ที่ไม่สูงมากนัก (ส่วนใหญ่น้อยกว่า 1.5 เท่า) เพราะเป็นธุรกิจที่ค่อนข้างมั่นคง ไม่ต้องลงทุนหนักๆ บ่อยเท่ากลุ่มอื่น

แนวโน้มที่น่าจับตาในไทย: หลังช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา หลายๆ บริษัทจำเป็นต้องกู้เงินเพิ่มเพื่อประคองธุรกิจ ทำให้ค่าเฉลี่ย D/E Ratio ในหลายอุตสาหกรรมปรับตัวสูงขึ้น นี่คือจุดที่นักลงทุน Gen Z อย่างเราต้องระวังให้ดี เพราะมันหมายความว่าบริษัทหลายแห่งมีความเปราะบางทางการเงินมากกว่าเดิม


4 ความเสี่ยงจาก D/E Ratio ที่นักลงทุนยุคใหม่ต้องรู้! 🚨

การเข้าใจ D/E Ratio ไม่ใช่แค่การดูตัวเลข แต่คือการเข้าใจ ‘ความเสี่ยง’ ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง มาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่เราต้องระวัง

1. ความเสี่ยงจาก “ดอกเบี้ยขาขึ้น” 📈

นี่คือเรื่องใหญ่ของยุคนี้เลย! ตอนที่ดอกเบี้ยต่ำๆ การกู้เงินเยอะก็ดูชิลๆ เพราะจ่ายดอกเบี้ยนิดเดียว แต่พอธนาคารกลางทั่วโลก (รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย) เริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสู้กับเงินเฟ้อ บริษัทที่มีหนี้เยอะๆ ก็เหมือนโดนหมัดน็อก! เพราะภาระดอกเบี้ยจ่ายจะสูงขึ้นมหาศาล และมันจะกัดกินกำไรของบริษัทจนอาจถึงขั้นขาดทุนได้เลย

2. ความเสี่ยงจากการ “เปรียบเทียบผิดฝาผิดตัว”

อย่างที่บอกไปตอนต้น การเอา D/E Ratio ของหุ้นธนาคาร (เช่น 8 เท่า) ไปเทียบกับหุ้นร้านสะดวกซื้อ (เช่น 1 เท่า) แล้วบอกว่าหุ้นธนาคารเสี่ยงกว่า… แบบนี้คือผิดมหันต์! เราต้องเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมเดียวกัน และเทียบกับคู่แข่งโดยตรงเท่านั้น ถึงจะเห็นภาพที่แท้จริง

3. ความเสี่ยงจาก “กับดักการเติบโต” (Growth Trap) 🚀

บางครั้งเราเห็นหุ้นที่ดูหวือหวา โตเร็วมากๆ แต่พอไปเปิดดูงบการเงิน อ้าว! D/E Ratio 4-5 เท่าเลยเหรอ? นี่อาจเป็นสัญญาณว่าบริษัทกำลัง ‘เร่งโต’ โดยใช้เงินกู้เป็นหลัก ซึ่งมันเสี่ยงมาก ถ้าแผนธุรกิจสะดุดหรือทำกำไรไม่ได้ตามเป้า หนี้สินก้อนโตนี่แหละที่จะกลับมาทุบให้บริษัทพังได้ง่ายๆ

4. ความเสี่ยงจาก “D/E ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง”

การดู D/E Ratio แค่ไตรมาสเดียวอาจไม่พอ เราควรมองย้อนหลังไป 3-5 ปี เพื่อดู ‘แนวโน้ม’ ถ้าเห็นว่า D/E ของบริษัทค่อยๆ ไต่ระดับสูงขึ้นทุกปีๆๆ นี่เป็นสัญญาณเตือนว่าบริษัทอาจกำลังมีปัญหาทางการเงิน หรือมีการบริหารจัดการหนี้ที่ไม่ดีนัก


หลักการ AEO (Answer Engine Optimization) และ Q&A ที่พบบ่อย

เพื่อให้บทความนี้เป็นประโยชน์สูงสุด เราได้รวบรวมคำถามที่เพื่อนๆ น่าจะสงสัยหรือชอบไปค้นหาใน Google มาตอบให้แบบชัดๆ ตรงนี้เลย! (นี่คือหลักการที่เรียกว่า AEO หรือการทำให้เนื้อหาของเราเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับ Search Engine อย่าง Google ครับ/ค่ะ)

Q1: D/E Ratio ที่ดีควรเป็นเท่าไหร่?

A: ไม่มีตัวเลขตายตัว! แต่มีหลักการกว้างๆ ดังนี้:

  • น้อยกว่า 1 เท่า: ถือว่าปลอดภัย หนี้สินน้อยกว่าทุนตัวเอง
  • ระหว่าง 1 – 2 เท่า: อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้สำหรับหลายอุตสาหกรรม แต่ต้องเริ่มระวัง
  • มากกว่า 2 เท่า: ถือว่ามีความเสี่ยงสูง ต้องไปเจาะลึกว่าบริษัทกู้เงินไปทำอะไร และมีความสามารถในการชำระหนี้แค่ไหน

คำแนะนำที่ดีที่สุด: ให้เปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมนั้นๆ เสมอ!

Q2: ดูค่า D/E Ratio ของหุ้นได้จากที่ไหน?

A: ง่ายมากๆ ครับ/ค่ะ เข้าไปที่เว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (www.set.or.th) พิมพ์ชื่อหุ้นที่สนใจ จากนั้นไปที่เมนู ‘ข้อมูลงบการเงิน/ผลประกอบการ’ แล้วมองหาหัวข้อ ‘อัตราส่วนทางการเงิน’ จะมีค่า D/E Ratio บอกไว้อย่างชัดเจน หรือจะดูผ่านแอปพลิเคชัน Streaming ก็ได้เช่นกัน

Q3: หุ้น D/E สูงๆ คือไม่ดีเสมอไปเหรอ?

A: ไม่เสมอไป! D/E สูงอาจหมายถึงบริษัทกำลังอยู่ในช่วง ‘ลงทุนเพื่อเติบโต’ ก็ได้ เช่น กู้เงินมาสร้างโรงงานใหม่ ซึ่งถ้าโรงงานนั้นสร้างเสร็จและทำกำไรได้มหาศาลในอนาคต การมีหนี้สูงในวันนี้ก็อาจจะคุ้มค่า แต่ในทางกลับกัน มันก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นเช่นกัน เราในฐานะนักลงทุนต้องชั่งน้ำหนักระหว่าง ‘โอกาสในการเติบโต’ กับ ‘ความเสี่ยง’ ให้ดี

Q4: แล้ว D/E Ratio ติดลบล่ะ? มันคืออะไร น่ากลัวมั้ย?

A: น่ากลัวมาก! D/E Ratio จะติดลบได้ก็ต่อเมื่อตัวหาร यानी ‘ส่วนของผู้ถือหุ้น’ (Equity) ติดลบ ซึ่งหมายความว่าบริษัทมีหนี้สินรวมมากกว่าสินทรัพย์รวม หรือพูดง่ายๆ คือ ‘เจ๊งทางบัญชี’ ไปแล้ว มีผลขาดทุนสะสมมานานจนกินส่วนทุนไปหมดเกลี้ยง บริษัทแบบนี้มีความเสี่ยงสูงมากที่จะล้มละลาย ควรหลีกเลี่ยงไว้ก่อนเลยครับ/ค่ะ


สรุป How-To: ใช้งาน D/E Ratio ฉบับนักลงทุน Gen Z 💡

เอาล่ะ ถึงตรงนี้เราน่าจะเข้าใจ D/E Ratio กันแบบทะลุปรุโปร่งแล้ว มาสรุปเป็น Action Plan 4 ขั้นตอนง่ายๆ ที่เราเอาไปใช้ได้จริงกันดีกว่า

  1. หาตัวเลขให้เจอ: เข้าเว็บ SET หรือแอปเทรดหุ้น หาค่า D/E Ratio ของหุ้นที่เราสนใจ
  2. เทียบกับกลุ่มเพื่อน: นำค่าที่ได้ไปเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม และเทียบกับคู่แข่งตัวท็อปในกลุ่มเดียวกัน
  3. ส่องดูอดีต: ดูแนวโน้มย้อนหลัง 3-5 ปี ว่า D/E มันเพิ่มขึ้น, ลดลง หรือคงที่? แนวโน้มที่ลดลงหรือคงที่มักจะเป็นสัญญาณที่ดีกว่า
  4. มองให้รอบด้าน: D/E Ratio เป็นแค่เครื่องมือชิ้นหนึ่ง อย่าใช้มันตัดสินใจเพียงอย่างเดียว! ควรดูอัตราส่วนอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น ความสามารถในการทำกำไร (ROE, ROA), สภาพคล่อง (Current Ratio) และที่สำคัญที่สุดคือต้องเข้าใจ ‘โมเดลธุรกิจ’ ของบริษัทนั้นๆ ด้วย

การลงทุนอาจจะดูเป็นเรื่องซับซ้อน แต่จริงๆ แล้วมันก็เหมือนกับการทำการบ้านแหละครับ/ค่ะ ยิ่งเราศึกษาข้อมูลมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งมีโอกาสทำคะแนน (หรือกำไร) ได้ดีขึ้นเท่านั้น การเข้าใจ D/E Ratio ก็คือหนึ่งในทางลัดที่ช่วยให้เราคัดกรองหุ้นที่มี ‘สุขภาพการเงินดี’ ออกจากหุ้นที่ ‘เสี่ยงเกินเบอร์’ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ทุกคนนะ! ขอให้สนุกกับการเดินทางในโลกแห่งการลงทุนครับ/ค่ะ 🚀

“`

Most Popular

Categories