การนำ AI มาใช้ในงานบัญชีและการเงินยุคใหม่

AI บุกสายบัญชี-การเงิน! รุ่นพี่มหาลัยจะเล่าให้ฟัง จบไปไม่ตกงานแน่?

ฮัลโหลน้องๆ ชาวมัธยมทุกคน! พี่เป็นนักศึกษาคณะบัญชีฯ คนนึงนี่แหละ ที่ช่วงแรกๆ ก็แอบหวั่นๆ เหมือนกันนะ เวลาไถฟีดแล้วเจอข่าว “AI จะมาแย่งงาน” “หุ่นยนต์จะครองโลก” โดยเฉพาะสายที่พี่เรียนอยู่เนี่ย โดนเพ่งเล็งเป็นอันดับต้นๆ เลยว่าจะโดน AI กลืนกิน… ฟังดูน่ากลัวใช่ป่ะ?

แต่พอได้มาเรียนจริงๆ จังๆ ได้คุยกับอาจารย์ ได้ฝึกงาน พี่ถึงได้รู้ว่า… เรื่องจริงมันไม่จกตา แต่ก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด! AI ไม่ได้จะมา “แย่งงาน” เรา แต่กำลังจะเข้ามา “เปลี่ยนเกม” การทำงานของพวกเราไปตลอดกาลต่างหาก วันนี้ในฐานะรุ่นพี่ พี่เลยอยากจะมาแชร์มุมมองแบบเข้าใจง่ายๆ เฟรนลี่ๆ ว่าจริงๆ แล้ว AI มันคืออะไรกันแน่ในโลกของบัญชี-การเงิน และพวกเราในฐานะ ‘ว่าที่’ เด็กบัญชีรุ่นใหม่ จะต้องปรับตัวยังไงให้อยู่รอด แถมยังรุ่งได้อีกในยุคนี้!

ก่อนอื่นเลย… AI ในโลกบัญชี-การเงิน มันหน้าตาเป็นยังไง?

ลืมภาพหุ่นยนต์ถือลูกคิดไปได้เลย! AI ในวงการนี้มันไม่ได้มาเป็นตัวๆ แบบในหนัง Sci-Fi หรอกนะ แต่มันคือ “สมองกลอัจฉริยะ” ที่แฝงตัวอยู่ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ต่างๆ มันเหมือนผู้ช่วยส่วนตัวที่ฉลาดมากๆ ไม่เคยเหนื่อย ไม่เคยบ่น และทำงานได้แม่นยำสุดๆ ซึ่งหลักๆ แล้ว AI ที่เราเจอบ่อยๆ ในสายงานนี้จะแบ่งเป็น 3 พระเอกหลักๆ คือ:

  • Robotic Process Automation (RPA): น้องๆ นึกภาพการสร้างบอทให้ทำงานซ้ำๆ เดิมๆ แทนเราได้เลย เช่น การกรอกข้อมูลใบแจ้งหนี้ลงในระบบ, การกระทบยอดบัญชีธนาคาร (Bank Reconcile) ทุกวัน, การดึงข้อมูลจากอีเมลมาใส่ใน Excel… งานน่าเบื่อที่เคยทำเป็นชั่วโมงๆ RPA สามารถทำให้เสร็จในไม่กี่นาที! มันคือการ “เลียนแบบ” การคลิก การพิมพ์ของมนุษย์แบบเป๊ะๆ นั่นเอง
  • Machine Learning (ML): อันนี้จะแอดวานซ์ขึ้นมาอีกสเต็ป มันไม่ใช่แค่ทำตามคำสั่ง แต่ “เรียนรู้” จากข้อมูลได้ด้วยตัวเอง เหมือน Netflix ที่เรียนรู้ว่าเราชอบดูหนังแนวไหนแล้วแนะนำเรื่องใหม่ๆ มาให้ ในทางบัญชี ML จะเรียนรู้รูปแบบการทำธุรกรรมปกติของบริษัท ถ้ามีรายการไหนแปลกๆ โผล่เข้ามา เช่น การโอนเงินก้อนใหญ่ผิดเวลา มันจะรีบส่งสัญญาณเตือนทันที! นี่คือหัวใจของการ “ตรวจจับทุจริต (Fraud Detection)” ในยุคใหม่เลย
  • Natural Language Processing (NLP): นี่คือความสามารถของ AI ในการ “เข้าใจ” ภาษามนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการพูดหรือการเขียน เช่น เราสามารถสั่งการด้วยเสียงให้โปรแกรมดึงรายงานยอดขายของไตรมาสที่แล้วขึ้นมาดู หรือ AI สามารถอ่านและสรุปใจความสำคัญจากสัญญาการเงินยาวเป็นสิบๆ หน้าได้อัตโนมัติ

แล้วในชีวิตจริง AI มันเข้ามาทำอะไรในงานบัญชีและการเงินบ้าง?

โอเค พอรู้จักหน้าค่าตาพระเอกทั้งสามของเราแล้ว มาดูกันดีกว่าว่าในโลกการทำงานจริงๆ ที่พี่ๆ นักบัญชีและนักการเงินในประเทศไทยและทั่วโลกกำลังเจออยู่เนี่ย AI มันแปลงร่างไปช่วยงานด้านไหนบ้าง

1. งานเอกสารและ Data Entry ที่เคยน่าเบื่อ กลายเป็นเรื่องอัตโนมัติ

เมื่อก่อนพี่ๆ นักบัญชีต้องจมอยู่กับกองใบกำกับภาษี ใบเสร็จ คีย์ข้อมูลทีละบรรทัดเข้าระบบ ซึ่งมันเสียเวลาและมีโอกาสผิดพลาดสูงมาก (Human Error) แต่ตอนนี้แค่เราสแกนเอกสารเข้าไป โปรแกรมที่มีเทคโนโลยี OCR (Optical Character Recognition) คู่กับ AI ก็จะอ่านข้อมูลทั้งหมดแล้วบันทึกลงบัญชีให้เองเลย นักบัญชีมีหน้าที่แค่ตรวจสอบความถูกต้องรอบสุดท้ายเท่านั้นเอง ชีวิตดีขึ้นเยอะ!

2. ปิดงบการเงินได้เร็วเหมือนติดจรวด

การปิดงบรายเดือนหรือรายปีเคยเป็นช่วงเวลา “นรก” ของชาวบัญชี แต่ด้วยพลังของ RPA และ AI การดึงข้อมูลจากแผนกต่างๆ การกระทบยอดบัญชี การคำนวณค่าเสื่อมราคา ทุกอย่างสามารถตั้งค่าให้ทำงานอัตโนมัติได้หมด ทำให้เราปิดงบได้เร็วขึ้นมาก จากเป็นสัปดาห์อาจจะเหลือแค่ไม่กี่วัน ทำให้ผู้บริหารได้ข้อมูลไปใช้ตัดสินใจทางธุรกิจได้ทันท่วงที

3. เป็นยอดนักสืบจับทุจริตที่ทำงาน 24 ชั่วโมง

อย่างที่บอกไป Machine Learning คือเครื่องมือที่ทรงพลังมากในการตรวจจับความผิดปกติ มันสามารถวิเคราะห์ข้อมูลธุรกรรมเป็นล้านๆ รายการในเวลาอันสั้น เพื่อหารูปแบบที่น่าสงสัยซึ่งสายตามนุษย์อาจมองข้ามไปได้ เช่น พนักงานคนเดิมอนุมัติการจ่ายเงินให้ซัพพลายเออร์เจ้าเดิมในจำนวนเงินใกล้เคียงกันถี่ผิดปกติ AI จะตั้งธงแดง (Red Flag) ให้ผู้ตรวจสอบบัญชี (Auditor) เข้าไปดูทันที ช่วยลดความเสียหายให้องค์กรได้มหาศาล

4. พยากรณ์อนาคตทางการเงินได้แม่นยำขึ้น

AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลในอดีตทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นยอดขาย, ต้นทุน, สภาพเศรษฐกิจ, เทรนด์ของผู้บริโภค เพื่อสร้างแบบจำลองในการพยากรณ์ทางการเงิน (Financial Forecasting) ได้อย่างแม่นยำ ทำให้นักการเงินและผู้บริหารสามารถวางแผนกลยุทธ์ได้ดีขึ้น เช่น ควรจะลงทุนเพิ่มตอนไหน ควรจะผลิตสินค้าตัวไหน หรือควรจะระดมทุนเมื่อไหร่

5. ที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัว (Robo-advisor)

น้องๆ หลายคนอาจเคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้างแล้ว นี่คือแอปพลิเคชันลงทุนที่ใช้ AI วิเคราะห์โปรไฟล์ความเสี่ยงและเป้าหมายทางการเงินของเรา แล้วจัดพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมให้โดยอัตโนมัติ แถมยังคอยปรับพอร์ตให้ตลอดเวลาด้วยค่าธรรมเนียมที่ถูกกว่าจ้างคนจริงๆ นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนมากว่า AI เข้ามาทำให้เรื่องการเงินการลงทุนเป็นเรื่องที่เข้าถึงง่ายสำหรับทุกคน

คำถามโลกแตก: แล้ว AI จะมาแย่งงานนักบัญชีจริงไหม?

มาถึงคำถามที่ทุกคนกังวลใจที่สุด พี่ขอตอบแบบฟันธงตรงนี้เลยว่า… “ไม่ แต่จะเปลี่ยนลักษณะของงานไปอย่างสิ้นเชิง”

คิดง่ายๆ เหมือนสมัยก่อนที่เรามี “เครื่องคิดเลข” เข้ามาแทน “ลูกคิด” ถามว่าคนตกงานไหม? ไม่เลย… แต่คนไม่ต้องมาเสียเวลานั่งบวกลบเลขเองอีกต่อไป เขาสามารถเอาเวลาไปทำงานที่ซับซ้อนและต้องใช้การวิเคราะห์มากขึ้นได้

AI ก็เหมือนกันครับ มันจะเข้ามาทำงาน “Routine” ที่น่าเบื่อ ซ้ำซาก และต้องใช้ความแม่นยำสูงๆ แทนเราทั้งหมด แต่งานที่ต้องใช้ “ความเป็นมนุษย์” AI ยังทำแทนไม่ได้ และนี่คือสกิลที่น้องๆ ต้องโฟกัส:

  • การคิดวิเคราะห์และวิจารณญาณ (Critical Thinking & Judgment): AI ให้ข้อมูลเราได้ แต่สุดท้ายคนที่ต้องตัดสินใจว่าจะเชื่อข้อมูลนี้ไหม จะเอามันไปวางแผนต่อยังไง ก็คือมนุษย์
  • การสื่อสารและการให้คำปรึกษา (Communication & Advisory): นักบัญชียุคใหม่ไม่ใช่แค่คนทำตัวเลข แต่คือ “ที่ปรึกษาทางธุรกิจ” ที่ต้องสามารถอธิบายข้อมูลทางการเงินที่ซับซ้อนให้คนที่ไม่ใช่สายบัญชี (เช่น ฝ่ายการตลาด หรือ CEO) เข้าใจได้ และให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์ได้
  • ความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหา (Creative Problem-Solving): เมื่อเจอปัญหาทางธุรกิจที่ซับซ้อน หรือเคสที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน AI อาจจะงง แต่เราในฐานะมนุษย์สามารถใช้ประสบการณ์และความคิดสร้างสรรค์มาหาทางออกใหม่ๆ ได้
  • จรรยาบรรณ (Ethics): AI ไม่มีสามัญสำนึกเรื่องความถูกต้องหรือศีลธรรม การตัดสินใจทางบัญชีและการเงินหลายครั้งมันเกี่ยวพันกับจรรยาบรรณ ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์เท่านั้นที่จะรับผิดชอบได้

ดังนั้น อนาคตของนักบัญชี คือการยกระดับตัวเองจาก “ผู้บันทึกข้อมูล (Bookkeeper)” ไปสู่การเป็น “นักวิเคราะห์และที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์ (Data Analyst & Strategic Advisor)” เราจะไม่ได้แข่งกับ AI แต่เราจะเป็น “ผู้ใช้งาน” และ “ผู้ควบคุม” AI ให้ทำงานเพื่อเราต่างหาก

แล้วเราต้องเตรียมตัวยังไง? How to be Future-Proof!

สำหรับน้องๆ ที่กำลังเล็งจะเข้าคณะบัญชีฯ หรือบริหารฯ สายการเงิน พี่มีไกด์ไลน์ง่ายๆ สำหรับการเตรียมตัวให้เป็นบัณฑิตเนื้อหอมที่บริษัทไหนๆ ก็อยากได้ตัว:

  1. เปิดใจรับเทคโนโลยี: อย่ากลัว! มองว่ามันคือเครื่องมือที่จะทำให้เราทำงานเก่งขึ้น ลองไปศึกษาโปรแกรมบัญชีสมัยใหม่ (เช่น Xero, FlowAccount) ลองดูว่า RPA, Power BI มันทำงานยังไง แค่มีความอยากรู้ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแล้ว
  2. เสริมทักษะด้าน Data: ไม่ต้องถึงกับเป็นโปรแกรมเมอร์เทพ แต่การเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับ Data Science จะทำให้น้องๆ โดดเด่นมาก ลองหัดใช้ Excel ให้คล่องปรื๋อ (PivotTable, VLOOKUP คือของจำเป็น) หรือถ้าใครแอดวานซ์หน่อย ลองศึกษาภาษา SQL สำหรับดึงข้อมูล หรือ Python สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น จะเป็นแต้มต่อที่สำคัญมาก
  3. ฝึกฝน Soft Skills: ทักษะการสื่อสาร การนำเสนอ การทำงานเป็นทีม การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า สิ่งเหล่านี้สำคัญไม่แพ้ความรู้ในตำราเลย เพราะ AI ช่วยเราพรีเซนต์งานหน้าห้องประชุมไม่ได้นะ!
  4. เลือกมหาวิทยาลัยที่หลักสูตรทันสมัย: ตอนเลือกที่เรียน ลองดูหลักสูตรของแต่ละมหาวิทยาลัยในประเทศไทย ว่ามีการสอนเกี่ยวกับเทคโนโลยีทางการบัญชี (Accounting Technology), การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics), หรือ FinTech บ้างไหม มหาวิทยาลัยที่ปรับตัวทันโลกจะช่วยเตรียมความพร้อมให้เราได้ดีกว่า

Q&A ถาม-ตอบ ทุกข้อสงสัยกับรุ่นพี่ (AEO Section)

Q1: เรียนบัญชีต้องเขียนโค้ดเป็นไหมคะ/ครับ?

A: ไม่จำเป็นต้องเป็นโปรแกรมเมอร์มืออาชีพครับ! แต่การ “เข้าใจ” หลักการทำงานของโค้ดหรือสามารถเขียนสคริปต์ง่ายๆ เพื่อจัดการข้อมูลได้ (เช่น SQL, Python) จะเป็นข้อได้เปรียบมหาศาล ทำให้เราทำงานกับฝ่าย Tech ได้ง่ายขึ้นและสามารถดึงศักยภาพของข้อมูลมาใช้ได้เต็มที่กว่าคนอื่น

Q2: แล้วแบบนี้อาชีพบัญชียังน่าเรียนอยู่ไหม? จะหางานยากขึ้นรึเปล่า?

A: น่าเรียนกว่าเดิมอีก! เพราะความต้องการ “นักบัญชีที่เข้าใจเทคโนโลยี” สูงขึ้นมาก ในขณะที่นักบัญชีแบบดั้งเดิมอาจจะหางานยากขึ้น แต่คนที่สามารถใช้ AI และ Data มาวิเคราะห์ให้คำปรึกษาได้ จะกลายเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก เงินเดือนก็สูงขึ้นตามไปด้วยแน่นอน

Q3: FinTech เกี่ยวกับ AI ในบัญชี-การเงินยังไง?

A: FinTech (Financial Technology) คือภาพใหญ่ครับ มันคือการนำเทคโนโลยีมาใช้กับบริการทางการเงินทั้งหมด ซึ่ง “AI” ก็คือหนึ่งในเทคโนโลยีสำคัญที่เป็นเครื่องมือขับเคลื่อน FinTech นั่นเอง เช่น แอปพลิเคชันลงทุน (Robo-advisor) ที่เราคุยกันไป ก็เป็นผลิตภัณฑ์ FinTech ที่มี AI เป็นหัวใจหลักในการทำงาน

Q4: AI ฉลาดขนาดนี้ มันมีโอกาสทำงานผิดพลาดบ้างไหม?

A: มีแน่นอนครับ! AI จะเก่งแค่ไหนขึ้นอยู่กับ “คุณภาพของข้อมูล” ที่เราป้อนให้มัน (Garbage In, Garbage Out) และ “อัลกอริทึม” ที่มนุษย์ออกแบบ ถ้าข้อมูลที่ใช้สอน AI มีความลำเอียง (Bias) หรือไม่อัปเดต การตัดสินใจของ AI ก็อาจจะผิดพลาดได้ นี่คือเหตุผลที่ต้องมีมนุษย์คอยตรวจสอบ กำกับดูแล และรับผิดชอบการทำงานของ AI เสมอ

Q5: อยากศึกษาเรื่องพวกนี้เพิ่มเติมด้วยตัวเอง ควรเริ่มจากตรงไหนดี?

A: ยุคนี้หาความรู้ฟรีๆ ง่ายมากเลยครับ ลองดูช่อง YouTube ที่สอนเกี่ยวกับ Data Analytics, Power BI หรือลองหาคอร์สเรียนออนไลน์ฟรี/ราคาไม่แพงในแพลตฟอร์มอย่าง Coursera, edX, หรือของไทยก็มี Skooldio, FutureSkill ที่มีคอร์สพื้นฐานสำหรับผู้เริ่มต้นครับ แค่เริ่มต้นด้วยความสงสัยและความอยากรู้ ก็ถือว่ามาถูกทางแล้ว!

บทสรุปส่งท้ายจากรุ่นพี่

น้องๆ ครับ โลกกำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และสายงานบัญชี-การเงินก็เป็นหนึ่งในนั้น AI ไม่ใช่ผู้ร้ายที่จะมาทำลายอนาคตเรา แต่เป็น “ผู้ช่วย” ที่จะมาปลดปล่อยเราจากงานที่น่าเบื่อ เพื่อให้เราได้ใช้ศักยภาพสูงสุดของความเป็นมนุษย์ นั่นคือ ความคิดสร้างสรรค์ การวิเคราะห์ และการสื่อสาร

อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง แต่จงเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงนั้นเสียเอง เตรียมตัวเองให้พร้อมด้วยทักษะใหม่ๆ แล้วน้องๆ จะพบว่าอนาคตของสายงานนี้มันน่าตื่นเต้นและเปิดกว้างกว่าที่เคยเป็นมาเยอะเลยครับ!

The future is not about human vs. machine, it’s about human + machine.
สู้ๆ นะครับ ว่าที่นักบัญชีและนักการเงินยุค AI ทุกคน!

“`

Most Popular

Categories