เปิดตำรา #สายบัญชี
จัดการ VAT & หัก ณ ที่จ่าย ร้านค้าออนไลน์ e-Commerce ยังไงให้โปร!
อัปเดตล่าสุดสำหรับเจ้าของธุรกิจออนไลน์ยุคใหม่และน้องๆ ที่กำลังเรียน ปริญญาตรีบัญชี ที่อยากอัปสกิลให้ทันโลก Digital!
ยุคนี้ใครๆ ก็ผันตัวมาเป็นเจ้าของธุรกิจบนโลกออนไลน์กันหมด! การทำธุรกิจ e-Commerce มันดูเหมือนจะง่าย แค่มีของ มีเพจ ก็ขายได้แล้ว แต่เบื้องหลังความปังคือ “เรื่องภาษี” ที่หลายคนมองข้าม จนกลายเป็นฝันร้าย! วันนี้เราจะมาแบทเทิลกับ 2 บอสใหญ่แห่งวงการภาษี นั่นคือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (WHT) ในสไตล์ที่เข้าใจง่ายสุดๆ ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของร้านมือใหม่ หรือน้องๆ ที่กำลังเรียน ปริญญาตรีบัญชี ก็เอาไปใช้ต่อยอดความรู้ได้เลย!
1. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) คืออะไร? ร้านค้า e-Commerce ต้องรู้!
VAT หรือ Value Added Tax ถ้าให้พูดภาษาง่ายๆ มันคือภาษีที่เราเก็บจากลูกค้าตอนขายของ แล้วนำส่งให้สรรพากรอีกทีนึง คิดง่ายๆ คือเราเป็นคนกลางช่วยรัฐเก็บภาษีนั่นเอง
ใครบ้างที่ต้องจด VAT?
กฎหมายกำหนดไว้ชัดเจนว่า ผู้ประกอบการที่มีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการ เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี มีหน้าที่ต้องไปจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่มภายใน 30 วันนับแต่วันที่มีรายได้เกิน! ถ้าไม่ทำตามมีโทษนะบอกเลย!
Key Concept: ภาษีขาย (Output Tax) – ภาษีซื้อ (Input Tax) = ภาษีที่ต้องนำส่ง
- ภาษีขาย: VAT 7% ที่เราเก็บเพิ่มจากลูกค้าตอนขายของ (เช่น ขายของ 100 บาท เก็บเงินลูกค้า 107 บาท)
- ภาษีซื้อ: VAT 7% ที่เราจ่ายไปตอนซื้อของมาเพื่อทำธุรกิจ (เช่น ซื้อกล่องพัสดุ, จ่ายค่าโฆษณา)
เรื่องนี้ถือเป็นพื้นฐานสำคัญมากๆ สำหรับคนทำธุรกิจ e-Commerce และเป็นบทเรียนแรกๆ ของน้องๆ ที่เรียนสาย ปริญญาตรีบัญชี เลยทีเดียว
2. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (WHT) สัมพันธ์กับร้านออนไลน์ยังไง?
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย หรือ Withholding Tax คือการที่เรา “หัก” เงินส่วนหนึ่งไว้ก่อนจ่ายค่าบริการต่างๆ ให้กับคู่ค้า แล้วนำเงินส่วนที่หักไว้นั้นส่งให้สรรพากรแทนคู่ค้าของเรา เป็นการช่วยให้รัฐเก็บภาษีได้ง่ายและเร็วขึ้น
สถานการณ์ WHT ในธุรกิจ e-Commerce ที่เจอบ่อย:
- เมื่อเราเป็น “ผู้จ่ายเงิน”: ถ้าเราจ้างฟรีแลนซ์มาถ่ายรูปสินค้า, จ้างเอเจนซี่ยิงแอด, จ้าง Influencer รีวิวของ ซึ่งเป็นการจ่ายค่า “บริการ” เรามีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 3% แล้วออกเอกสารที่เรียกว่า “หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ)” ให้เขาเป็นหลักฐาน
- เมื่อเราเป็น “ผู้รับเงิน”: หากเราขายของผ่านแพลตฟอร์ม e-Commerce ใหญ่ๆ บางครั้งแพลตฟอร์มอาจมีการหัก ณ ที่จ่ายจากยอดขายของเรา (เช่น ค่าบริการแพลตฟอร์ม) เราต้องเก็บเอกสาร 50 ทวิ ที่เขาออกให้ไว้ดีๆ เพื่อใช้เป็นเครดิตตอนยื่นภาษีปลายปี
3. Case Study: จัดการภาษีร้านค้าออนไลน์ Step-by-Step
มาดูตัวอย่าง “ร้านเสื้อผ้าออนไลน์ของเจนนี่” กันดีกว่า เจนนี่ขายดีมากจนรายได้ทะลุ 1.8 ล้านบาท! เธอต้องทำอะไรบ้าง?
- Step 1: จดทะเบียน VAT – เจนนี่รีบไปจดทะเบียน VAT ที่กรมสรรพากรภายใน 30 วันทันที
- Step 2: ออกใบกำกับภาษี – ทุกครั้งที่ขายของ เจนนี่ต้องออกใบกำกับภาษีให้ลูกค้า และเก็บสำเนาไว้เพื่อคำนวณ “ภาษีขาย”
- Step 3: เก็บใบกำกับภาษีซื้อ – เวลาซื้อของเข้าร้าน เช่น ค่าผ้า, ค่าแพ็กเกจจิ้ง, ค่าโฆษณา Facebook (ที่จด VAT ในไทย) เจนนี่จะขอใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบเสมอ เพื่อรวบรวมเป็น “ภาษีซื้อ”
- Step 4: หัก ณ ที่จ่าย – เจนนี่จ้างน้องตูนมาถ่ายแบบเสื้อผ้าให้ในราคา 10,000 บาท เธอต้องหักภาษี 3% (300 บาท) จ่ายเงินให้น้องตูน 9,700 บาท พร้อมออก 50 ทวิให้
- Step 5: ยื่นภาษีรายเดือน – ทุกเดือน เจนนี่ต้องยื่นแบบ ภ.พ.30 (สำหรับ VAT) และ ภ.ง.ด.3 (สำหรับหัก ณ ที่จ่ายบุคคลธรรมดา) ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
4. เคล็ด(ไม่)ลับ สำหรับเจ้าของธุรกิจ e-Commerce ยุคใหม่
- แยกบัญชีชัดเจน: เปิดบัญชีธนาคารสำหรับธุรกิจโดยเฉพาะ อย่าใช้ปนกับบัญชีส่วนตัวเด็ดขาด! จะทำให้ติดตามรายรับ-รายจ่ายง่ายขึ้นเยอะ
- เอกสารคือหัวใจ: เก็บใบกำกับภาษี, ใบเสร็จ, หลักฐานการจ่ายเงินทุกอย่างให้เป็นระบบ เพราะนี่คือหลักฐานชั้นดีในการคำนวณภาษีและลดหย่อน
- ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์: เดี๋ยวนี้มีโปรแกรมบัญชีออนไลน์มากมายที่ช่วยให้การทำบัญชีและภาษีง่ายเหมือนปอกกล้วย
- ศึกษาเพิ่มเติมเสมอ: ความรู้ทางภาษีมีการอัปเดตตลอดเวลา การศึกษาเพิ่มเติม ไม่ว่าจะจากคอร์สสั้นๆ หรือต่อยอดความรู้ในระดับ ปริญญาโท หรือ ปริญญาเอก ด้านบัญชี/ภาษี ก็ยิ่งช่วยให้วางแผนธุรกิจและภาษีได้อย่างเฉียบคมมากขึ้น แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือที่สุดคือ เว็บไซต์กรมสรรพากร
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ถ้าไม่มั่นใจจริงๆ การจ้างสำนักงานบัญชีหรือที่ปรึกษาภาษีมาดูแล ก็เป็นทางเลือกที่คุ้มค่าและช่วยลดความเสี่ยงได้มาก
สำหรับใครที่อยากรู้ลึกเรื่องการทำบัญชีเพื่อปิดงบการเงินให้เป๊ะ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่บทความ “คู่มือปิดงบการเงินสำหรับธุรกิจ SME” ของเราได้เลย!
5. FAQ: ถาม-ตอบ เคลียร์ทุกข้อสงสัยเรื่องภาษีร้านค้าออนไลน์
Q1: รายได้ยังไม่ถึง 1.8 ล้านบาทต่อปี สามารถจด VAT ได้ไหม มีข้อดีข้อเสียยังไง?
A: ได้แน่นอนค่ะ! เราสามารถ “ขอจดทะเบียน VAT” ได้แม้รายได้ยังไม่ถึงเกณฑ์
ข้อดี: สามารถออกใบกำกับภาษีให้ลูกค้าที่เป็นบริษัทได้ ทำให้ขายของให้ลูกค้ากลุ่มองค์กรได้ง่ายขึ้น และสามารถนำภาษีซื้อมาหักลบกับภาษีขายได้
ข้อเสีย: มีหน้าที่ต้องยื่นแบบ ภ.พ.30 ทุกเดือน แม้ว่าจะไม่มีรายการซื้อขายเลยก็ตาม และราคาสินค้าของเราอาจจะสูงขึ้น 7% ในสายตาผู้บริโภคทั่วไป
Q2: จ้าง Influencer หรือเพื่อนมารีวิวสินค้าแบบให้เงิน ต้องหัก ณ ที่จ่ายไหม?
A: ต้องหักค่ะ! การจ้างรีวิวสินค้าถือเป็นการจ่าย “ค่าจ้างทำของ” หรือ “ค่าโฆษณา” ซึ่งเข้าข่ายต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 3% หากผู้รับเงินเป็นบุคคลธรรมดา และ 2% หากผู้รับเงินเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ทำธุรกิจด้านนี้โดยเฉพาะ อย่าลืมออกเอกสาร 50 ทวิให้เขาด้วยนะคะ
Q3: สรุปแล้วคนทำธุรกิจ e-Commerce ต้องยื่นภาษีอะไรบ้าง?
A: สรุปภาษีหลักๆ ที่เกี่ยวข้องกับร้านค้าออนไลน์ มีดังนี้ค่ะ:
- ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา: ยื่นปีละ 2 ครั้ง (ภ.ง.ด.94 สำหรับครึ่งปี และ ภ.ง.ด.90 สำหรับสิ้นปี)
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): ยื่นทุกเดือน (ภ.พ.30) หากมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี
- ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (WHT): ยื่นทุกเดือน (ภ.ง.ด.3, 53) หากมีการจ่ายค่าบริการต่างๆ ที่เข้าเกณฑ์
การจัดการภาษีอาจจะดูยุ่งยากในตอนแรก แต่ถ้าเราเริ่มต้นทำความเข้าใจและวางระบบให้ดีตั้งแต่เนิ่นๆ มันจะกลายเป็นเรื่องง่ายและช่วยให้ธุรกิจ e-Commerce ของเราเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ไม่ต้องมาปวดหัวทีหลังแน่นอน!
สนใจข้อมูลทางด้านบัญชี ภาษี และศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง พบกันได้ที่คณะบัญชี มหาวิทยาลัยศรีปทุม