การจัดการต้นทุนและการตั้งราคาสินค้าแบบเข้าใจลูกค้า

การจัดการต้นทุนและการตั้งราคาสินค้า: How to คิดราคาให้ปัง แบบเข้าใจใจลูกค้า (ฉบับรุ่นพี่มหา’ลัย)

หวัดดีเพื่อน ๆ น้อง ๆ ทุกคน! พี่เป็นนักศึกษาคณะบัญชีนะ วันนี้จะมาแชร์เรื่องที่โคตรจะสำคัญสำหรับใครก็ตามที่ฝันอยากมีธุรกิจเล็กๆ เป็นของตัวเอง หรือแค่กำลังขายของออนไลน์ใน IG, Shopee, Lazada อยู่ก็ตาม นั่นก็คือเรื่อง “การจัดการต้นทุนและการตั้งราคาสินค้า”

ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องซีเรียส น่าเบื่อใช่ไหม? ตอนแรกพี่ก็คิดแบบนั้นแหละ แต่เชื่อพี่เถอะว่าถ้าเราเข้าใจแก่นของมัน มันคือ ‘อาวุธลับ’ ที่จะทำให้ธุรกิจของเราไปรอดและเติบโตได้เลยนะ ไม่ใช่แค่ขายไปวันๆ แล้วมางงทีหลังว่า “เอ๊ะ…ทำไมไม่มีเงินเก็บเลย” บทความนี้จะยาวหน่อย แต่พี่สัญญาว่าจะย่อยเรื่องยากๆ ให้กลายเป็นเรื่องง่ายๆ ที่เอาไปใช้ได้จริงแน่นอน!

“การตั้งราคาไม่ใช่แค่การแปะป้ายตัวเลข แต่มันคือการสื่อสาร ‘คุณค่า’ ของสินค้าเรากับลูกค้า”

Part 1: รู้เขารู้เรา! มาผ่าตัด “ต้นทุน” กันก่อน

ก่อนจะไปตั้งราคาขาย เราต้องรู้จัก ‘ต้นทุน’ ของเราให้ดีซะก่อน ต้นทุนไม่ใช่แค่ค่าของที่เราซื้อมาทำนะเพื่อนๆ มันมีอะไรซ่อนอยู่มากกว่านั้นเยอะเลย ในโลกธุรกิจ เราจะแบ่งต้นทุนออกเป็น 2 ก้อนใหญ่ๆ คือ

1. ต้นทุนคงที่ (Fixed Costs)

มันคืออะไร?: คือรายจ่ายที่ ‘ต้องจ่ายแน่ๆ’ ไม่ว่าเดือนนั้นเราจะขายของได้ 0 ชิ้น หรือ 1,000 ชิ้นก็ตาม มันจะคงที่อยู่อย่างนั้นแหละ
นึกภาพตามง่ายๆ: เหมือนค่าโปรเน็ตมือถือรายเดือนอะ ไม่ว่าเราจะเล่นเน็ตเยอะหรือน้อย ก็ต้องจ่ายเท่าเดิมทุกเดือน

ตัวอย่างสำหรับธุรกิจวัยรุ่น:

  • ค่าเช่าที่/ค่าเช่าร้าน: (ถ้าใครมีหน้าร้าน)
  • ค่าโปรแกรม/แอปฯ รายเดือน: เช่น ค่า Canva Pro สำหรับทำรูปสวยๆ (เดือนละ 229 บาท), ค่า Subscription แอปฯ แต่งวิดีโอ
  • ค่ายิงแอดโฆษณาที่ตั้งงบไว้คงที่: เช่น ตั้งใจว่าจะยิงแอด Facebook เดือนละ 1,000 บาท
  • ค่าจ้าง (ถ้ามี): เช่น จ้างเพื่อนช่วยแพ็คของเป็นรายเดือน

2. ต้นทุนผันแปร (Variable Costs)

มันคืออะไร?: คือรายจ่ายที่ ‘เปลี่ยนไปตามจำนวนของที่ผลิตหรือขาย’ ยิ่งขายเยอะ ก็ยิ่งจ่ายเยอะ ขายไม่ได้เลย ก็แทบไม่ต้องจ่ายส่วนนี้
นึกภาพตามง่ายๆ: เหมือนค่าไฟบ้านที่ใช้แอร์ ยิ่งเปิดแอร์นาน ค่าไฟก็ยิ่งแพง ไม่เปิดเลย ค่าไฟส่วนนี้ก็เป็นศูนย์

ตัวอย่างสำหรับธุรกิจวัยรุ่น:

  • ค่าวัตถุดิบ: ค่าผ้าสำหรับทำเสื้อ, ค่าลูกปัดสำหรับทำสร้อย, ค่าส่วนผสมทำเบเกอรี่
  • ค่าแพ็คเกจจิ้ง: ค่ากล่องพัสดุ, บับเบิ้ลกันกระแทก, เทป, สติกเกอร์ขอบคุณ
  • ค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์ม: ค่า GP ที่ Shopee/Lazada หักจากยอดขาย (อันนี้ผันแปรตามยอดขายชัดเจน)
  • ค่าขนส่ง (ถ้าเราออกให้ลูกค้า): ค่าส่งของให้ลูกค้าแต่ละออเดอร์

สูตรสำคัญที่ต้องรู้: คำนวณต้นทุนต่อหน่วย (Cost per Unit)

เอาล่ะ พอเรารู้จักต้นทุน 2 แบบแล้ว เราต้องหาให้ได้ว่า “ของ 1 ชิ้นที่เราขาย มีต้นทุนจริงๆ เท่าไหร่?” นี่คือตัวเลขตั้งต้นที่สำคัญที่สุดในการตั้งราคา

ต้นทุนต่อหน่วย = ต้นทุนผันแปรต่อชิ้น + (ต้นทุนคงที่ทั้งหมด ÷ จำนวนสินค้าที่คาดว่าจะขายได้)

ตัวอย่าง: สมมติเราขายสติกเกอร์ทำเอง

  • ต้นทุนคงที่: ค่า Canva Pro 229 บาท/เดือน
  • ต้นทุนผันแปร: ค่ากระดาษสติกเกอร์ + ค่าหมึกพิมพ์ + ซองแก้ว ตกชิ้นละ 10 บาท
  • เป้าหมาย: เราคิดว่าเดือนนี้น่าจะขายได้สัก 100 ชิ้น

คำนวณต้นทุนต่อหน่วย:
= 10 + (229 ÷ 100)
= 10 + 2.29
= 12.29 บาท

เห็นมั้ย! ต้นทุนสติกเกอร์ 1 ชิ้น ไม่ใช่แค่ 10 บาท แต่เป็น 12.29 บาท เพราะเราเอาต้นทุนคงที่มาหารเฉลี่ยใส่เข้าไปด้วย ถ้าเราตั้งราคาขายที่ 12 บาท ก็คือขาดทุนทันที! นี่แหละความสำคัญของการรู้จักต้นทุนตัวเอง

Part 2: ศิลปะแห่งการตั้งราคา (Pricing Strategy) แบบเข้าใจใจลูกค้า

พอเรารู้ต้นทุนที่แท้จริงแล้ว (12.29 บาท) ทีนี้ก็มาถึงส่วนที่สนุกที่สุด คือการตั้งราคาขาย! การตั้งราคาไม่ใช่แค่บวกกำไรที่อยากได้เข้าไปดื้อๆ นะ มันมีศาสตร์และศิลป์ซ่อนอยู่เยอะเลย เพื่อให้ลูกค้า ‘รู้สึกว่าคุ้มค่า’ และยอมจ่ายเงินให้เรา มาดู 3 กลยุทธ์หลัก ที่นิยมใช้กัน

กลยุทธ์ที่ 1: Cost-Plus Pricing (บวกกำไรจากต้นทุน)

หลักการ: ง่ายและตรงไปตรงมาที่สุด คือ ต้นทุน + กำไรที่อยากได้ = ราคาขาย
เป็นวิธีที่เซฟที่สุดสำหรับมือใหม่ เพราะการันตีได้ว่าเราจะไม่ขาดทุน (ถ้าขายได้นะ!)

จากตัวอย่างสติกเกอร์ (ต้นทุน 12.29 บาท):

  • สมมติเราอยากได้กำไร 100% จากต้นทุน (เรียกว่า Mark-up 100%)
  • กำไรที่อยากได้ = 12.29 บาท
  • ราคาขาย = 12.29 (ต้นทุน) + 12.29 (กำไร) = 24.58 บาท (อาจจะปัดเป็น 25 บาท)

ข้อดี: ง่าย, คำนวณไม่ซับซ้อน, ไม่ขาดทุนแน่ๆ
ข้อเสีย: ไม่ได้มองตลาด ไม่ได้มองคู่แข่ง และที่สำคัญคือ ไม่ได้มองคุณค่าในสายตาลูกค้า บางทีของของเราอาจจะดีมากจนขายได้แพงกว่านี้ก็ได้!

กลยุทธ์ที่ 2: Value-Based Pricing (ตั้งราคาตามคุณค่าที่ลูกค้ารับรู้)

หลักการ: นี่คือขั้นแอดวานซ์! เราจะเปลี่ยนมุมมองจากการถามว่า “ของชิ้นนี้ต้นทุนเท่าไหร่?” ไปเป็นการถามว่า “ของชิ้นนี้มีคุณค่ากับลูกค้าแค่ไหน?” หรือ “มันช่วยแก้ปัญหาอะไรให้เขาได้บ้าง?”

ราคาจะถูกกำหนดจาก ‘คุณค่า’ ที่ลูกค้าจะได้รับ ไม่ใช่ต้นทุนของเรา

จากตัวอย่างสติกเกอร์ (ต้นทุน 12.29 บาท):

  • ถ้าสติกเกอร์ของเราเป็นลาย Limited Edition ที่วาดโดยศิลปินดัง หรือเป็นลายที่มีความหมายพิเศษสำหรับกลุ่มลูกค้าเฉพาะ (เช่น ลายแมวมีมที่กำลังฮิต, ลายคำคมให้กำลังใจคนอ่านหนังสือสอบ)
  • คุณค่าของมันไม่ใช่แค่กระดาษกับหมึก แต่เป็น ‘ความรู้สึกพิเศษ’, ‘การได้เป็นเจ้าของ’, ‘การแสดงตัวตน’
  • เราอาจจะตั้งราคาขายที่ 39 บาท, 49 บาท หรือแม้แต่ 59 บาท ก็ได้ ถ้าลูกค้ารู้สึกว่ามัน ‘คุ้มค่า’ ที่จะจ่าย

ข้อดี: ทำกำไรได้สูงมาก, สร้างแบรนด์ให้ดูพรีเมียมได้
ข้อเสีย: ต้องเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง, ต้องสื่อสารคุณค่าของสินค้าให้เป็น, ประเมินคุณค่ายาก

กลยุทธ์ที่ 3: Competitor-Based Pricing (ตั้งราคาตามคู่แข่ง)

หลักการ: ทำตัวเป็นนักสืบ! ไปส่องดูเลยว่าร้านอื่นที่ขายของคล้ายๆ กับเรา เขาขายกันอยู่ที่ราคาเท่าไหร่ แล้วเอามาเป็นเกณฑ์ในการตั้งราคาของเรา

จากตัวอย่างสติกเกอร์ (ต้นทุน 12.29 บาท):

  1. เราลองเข้าไปดูใน Shopee, IG ค้นหา #สติกเกอร์ไดคัท
  2. เจอร้าน ก. ขายสไตล์มินิมอล 25 บาท, ร้าน ข. ขายลายการ์ตูนน่ารัก 30 บาท, ร้าน ค. เป็นแบรนด์ดังหน่อย ขาย 45 บาท
  3. ทีนี้เราก็ต้องตัดสินใจว่าจะวางตำแหน่งตัวเองไว้ตรงไหน:
    • Price Higher (สูงกว่า): ตั้งราคา 50 บาท แล้วชูจุดเด่นว่าของเราดีกว่ายังไง (วัสดุกันน้ำ, ลาย unique กว่า) เพื่อจับกลุ่มลูกค้าพรีเมียม
    • Price Same (เท่ากัน): ตั้งราคา 25-30 บาท เพื่อสู้ในตลาดเดียวกัน แล้วไปแข่งกันที่คุณภาพหรือการบริการแทน
    • Price Lower (ต่ำกว่า): ตั้งราคา 20 บาท เพื่อดึงดูดลูกค้าที่เน้นราคาถูก (แต่อย่าลืมนะว่าเราต้องได้กำไร! 20 – 12.29 = กำไร 7.71 บาท)

ข้อดี: ง่าย, ปลอดภัย, ไม่ตั้งราคาโดดจากตลาดจนเกินไป
ข้อเสีย: อาจทำให้เกิดสงครามราคา (แข่งกันลดราคาจนเจ๊งไปด้วยกัน), ทำให้เราไม่ได้มองที่คุณค่าที่แท้จริงของสินค้าเรา

เทคนิคเสริม: จิตวิทยาการตั้งราคา (Psychological Pricing)

นี่เป็นทริคเล็กๆ ที่แบรนด์ใหญ่ๆ ใช้กันตลอด เพื่อทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า ‘คุ้ม’ หรือ ‘ถูก’

  • Charm Pricing (เลข 9 มหัศจรรย์): ตั้งราคาลงท้ายด้วยเลข 9 เช่น 99 บาท, 199 บาท, 299 บาท สมองเราจะรู้สึกว่ามันถูกกว่า 100, 200, 300 บาท อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งที่ต่างกันแค่บาทเดียว!
  • Bundling (ขายเป็นชุด): จัดเซ็ตขายรวมกันในราคาที่ถูกกว่าซื้อแยก เช่น “สติกเกอร์ 3 ชิ้น คละลาย 100 บาท” (จากปกติชิ้นละ 39 บาท) ทำให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มและตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น แถมยังช่วยเพิ่มยอดขายต่อออเดอร์ด้วย
  • Decoy Pricing (ตัวเลือกหลอก): สร้างตัวเลือกที่ ‘ไม่คุ้ม’ ขึ้นมา เพื่อผลักให้ลูกค้าไปเลือกตัวเลือกที่เราอยากขายมากที่สุด เช่น
    • เสื้อยืด Size S: 350 บาท
    • เสื้อยืด Size L: 450 บาท
    • Bundle S+L: 500 บาท (ตัวเลือกนี้จะดูคุ้มค่าขึ้นมาทันทีเมื่อเทียบกับสองตัวบน)

บทสรุป: แล้วจะเลือกกลยุทธ์ไหนดี?

คำตอบที่ดีที่สุดคือ “ใช้ผสมกัน!” ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว

ขั้นตอนที่พี่แนะนำสำหรับวัยรุ่นที่เริ่มทำธุรกิจ:

  1. คำนวณต้นทุนต่อหน่วยให้แม่นยำ (Cost-Plus): นี่คือเส้นตายของเรา ห้ามตั้งราคาต่ำกว่านี้เด็ดขาด
  2. ส่องตลาดและคู่แข่ง (Competitor-Based): เพื่อดูว่าเรทราคาทั่วไปอยู่ประมาณไหน เราจะได้ไม่ตั้งราคาหลุดโลกเกินไป
  3. ถามใจตัวเองและลูกค้า (Value-Based): สินค้าของเรามี ‘คุณค่า’ อะไรที่แตกต่างจากคนอื่น? เราแก้ปัญหาอะไรให้ลูกค้าได้บ้าง? เอาคุณค่านั้นมาเป็นตัวบวกราคาเพิ่ม
  4. ปรุงแต่งด้วยจิตวิทยา (Psychological Pricing): ใช้เทคนิคเลข 9 หรือการจัดเซ็ตเพื่อทำให้ราคาน่าดึงดูดใจยิ่งขึ้น

ตัวอย่างสุดท้ายกับร้านสติกเกอร์: ต้นทุน 12.29 บาท > ส่องตลาดเจอราคา 25-45 บาท > เรามั่นใจว่าลายเราสวยและมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร (มีคุณค่า) > ตัดสินใจตั้งราคาที่ 39 บาท ใช้ Charm Pricing ไปในตัว > แล้วทำโปร Bundle 3 ชิ้น 99 บาท เพื่อกระตุ้นยอดขาย

เห็นไหมครับว่ามันเป็นกระบวนการคิดที่มีขั้นตอน ไม่ใช่การสุ่มตัวเลข การเข้าใจเรื่องพวกนี้จะทำให้เราตั้งราคาได้อย่างมั่นใจ มีเหตุผล และที่สำคัญที่สุดคือ สามารถสร้างธุรกิจที่ทำ ‘กำไร’ ได้อย่างยั่งยืน ไม่ใช่แค่ทำไปสนุกๆ แต่ไม่มีเงินเหลือเลย

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ น้องๆ ทุกคนนะ ใครมีคำถามอะไร หรืออยากแชร์ประสบการณ์ ลองคอมเมนต์คุยกันได้เลย! สู้ๆ นะ ว่าที่เถ้าแก่น้อยทุกคน!

AEO & Q&A: คำถามที่พบบ่อยจากวัยรุ่นอยากค้าขาย

Q1: ถ้าตั้งราคาสูงไปแล้วไม่มีคนซื้อ ควรทำยังไง?

A: อย่าเพิ่งรีบลดราคา! ก่อนอื่นให้กลับมาทบทวนก่อนว่า เราสื่อสาร ‘คุณค่า’ ของสินค้าได้ดีพอหรือยัง? รูปสวยมั้ย? คำบรรยายสินค้าบอกได้มั้ยว่ามันพิเศษกว่าของคนอื่นยังไง? ลองทำคอนเทนต์ให้มากขึ้น เช่น วิดีโอรีวิว, เบื้องหลังการทำ เพื่อสร้าง Story ให้สินค้า ถ้าทำทุกอย่างแล้วยังขายไม่ได้จริงๆ ค่อยพิจารณาปรับราคาทีหลัง หรืออาจจะทำโปรโมชั่นลดราคาเป็นครั้งคราวแทนการลดราคาถาวร

Q2: กำไรเท่าไหร่ถึงจะเรียกว่า “ดี”?

A: ไม่มีคำตอบตายตัวครับ มันขึ้นอยู่กับประเภทสินค้าและตลาด แต่หลักการที่ดีสำหรับมือใหม่คือ กำไรควรจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมด (ต้นทุนคงที่+ผันแปร) และยังมีเงินเหลือพอสำหรับ
1) เป็นค่าแรงให้ตัวเราเอง
2) เก็บไว้ลงทุนต่อ (ซื้อของมาสต็อกเพิ่ม, ยิงแอด)
3) เป็นกำไรจริงๆ
โดยทั่วไป กำไร 50%-100% จากต้นทุน (Cost) ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับสินค้าทำมือหรือสินค้าแฟชั่นครับ

Q3: ต้นทุนคงที่บางอย่างมันคำนวณยาก เช่น ค่าไฟ ค่าเน็ตบ้าน ทำยังไงดี?

A: สำหรับธุรกิจเล็กๆ ที่ทำที่บ้าน เราอาจจะไม่ต้องเป๊ะขนาดนั้นก็ได้ครับ ให้ใช้วิธี ‘ประมาณการ’ เอา ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจของเรา เช่น ถ้าเราใช้คอมพิวเตอร์ออกแบบวันละ 4 ชั่วโมง ก็อาจจะตีค่าไฟคร่าวๆ ออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์ หรือช่วงแรกอาจจะยังไม่นำมารวมก็ได้ แต่ให้รู้ไว้ในใจว่ามันมีต้นทุนแฝงเหล่านี้อยู่ เมื่อธุรกิจโตขึ้น มีรายได้สม่ำเสมอ ค่อยนำมาคิดคำนวณอย่างจริงจังอีกที

Q4: การตั้งราคาในแต่ละแพลตฟอร์ม (IG, Shopee, LINE MyShop) ควรเท่ากันไหม?

A: เป็นคำถามที่ดีมาก! คำตอบคือ อาจจะไม่จำเป็นต้องเท่ากัน ครับ เพราะแต่ละแพลตฟอร์มมีค่าธรรมเนียม (GP) ไม่เท่ากัน เช่น Shopee/Lazada อาจจะมีค่าธรรมเนียมสูง เราจึงอาจจะต้องตั้งราคาสูงกว่าใน IG หรือ LINE MyShop เล็กน้อย เพื่อให้หลังหักค่าธรรมเนียมแล้วเรายังเหลือกำไรเท่าเดิม แต่ต้องระวังอย่าให้ราคาต่างกันจนน่าเกลียดเกินไป ลูกค้าอาจจะรู้สึกว่าโดนเอาเปรียบได้ครับ

“`

Most Popular

Categories