Double Materiality : วิเคราะห์ผลกระทบทางการเงินและสิ่งแวดล้อมในงบการเงินปี 2025

Double Materiality : เมื่อกำไรไม่ได้วัดที่ตัวเลขอย่างเดียว เจาะลึกงบการเงิน 2025 ที่จะเปลี่ยนโลกธุรกิจไปตลอดกาล

เฮ้ทุกคน! เคยสงสัยกันมั้ยว่า เสื้อผ้าที่เราใส่ กาแฟที่เราดื่ม หรือสมาร์ทโฟนที่เราใช้เนี่ย มันมีเรื่องราวอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลังบ้าง? เราอาจจะรู้ราคามัน แต่เคยรู้ “ต้นทุน” ที่แท้จริงของมันต่อโลกใบนี้มั้ย? วันนี้เราจะมาคุยกันเรื่องใหญ่มาก ที่กำลังจะเปลี่ยนวิธีที่บริษัทต่างๆ มองโลก และวิธีที่เรามองบริษัทเหล่านั้น เรื่องนั้นก็คือ “Double Materiality” หรือชื่อไทยเท่ๆ ว่า “หลักการประเมินความสำคัญสองด้าน” ที่จะกลายเป็นดาวเด่นในงบการเงินปี 2025 นี้เลย!

ในฐานะรุ่นพี่ที่คลุกคลีกับเรื่องเศรษฐศาสตร์และการลงทุนมาบ้าง บอกเลยว่านี่ไม่ใช่เรื่องไกลตัว ไม่ใช่ศัพท์วิชาการน่าเบื่อ แต่เป็น Game Changer ที่จะส่งผลกระทบโดยตรงถึงอนาคตของเราทุกคน ทั้งในฐานะผู้บริโภค พนักงานในอนาคต หรือแม้กระทั่งนักลงทุนรุ่นใหม่ มา! เดี๋ยวจะย่อยเรื่องยากๆ นี้ให้เข้าใจง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากเลย

ก่อนจะไป “Double” ขอเข้าใจ “Single Materiality” ก่อน

โอเค ก่อนอื่นเลย เรามาทำความรู้จักกับพี่ใหญ่ของมันก่อน นั่นคือ “Materiality” หรือ “ความมีสาระสำคัญ” แบบเดี่ยวๆ

ลองนึกภาพตามนะ… สมมติว่าบริษัท A เป็นโรงเรียนของเรา “งบการเงิน” ก็เหมือนสมุดพกหรือใบเกรดของเรา ข้อมูลอะไรบ้างที่ “มีสาระสำคัญ” หรือ Material ที่จะบอกว่าเราเป็นนักเรียนที่เรียนดีหรือไม่ดี? ก็ต้องเป็นเกรดเฉลี่ย (GPA), คะแนนสอบวิชาหลักๆ, การเข้าร่วมกิจกรรม ใช่ปะ? คงไม่มีใครเอาเรื่อง “สีของกระเป๋านักเรียน” หรือ “ทรงผม” มาใส่ในใบเกรด เพราะมันไม่ส่งผลกระทบต่อผลการเรียนอย่างมีนัยสำคัญ

ในโลกธุรกิจก็เหมือนกันเลย! Materiality แบบดั้งเดิมจะโฟกัสแค่ข้อมูลทางการเงินที่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น เช่น:

  • ยอดขายตกฮวบ 20% (กระทบกำไรแน่นอน… Material!)
  • มีคดีฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายพันล้านบาท (อาจจะต้องจ่ายเงินมหาศาล… Material!)
  • เครื่องจักรในโรงงานเสียไปตัวนึง ซ่อมหลักหมื่น (เอิ่ม… อาจจะไม่ Material เท่าไหร่)

เห็นมั้ยว่ามันคือการมองจาก “ข้างนอกเข้ามาข้างใน” (Outside-In) คือมองว่าปัจจัยภายนอกอะไรบ้างที่จะส่งผลกระทบต่อ “กระเป๋าตังค์” ของบริษัทบ้าง นี่แหละคือ Single Materiality ที่ใช้กันมาตลอด

และแล้ว… Double Materiality ก็ปรากฏตัว! นี่แหละคือจุดพีค!

โลกเปลี่ยนไปแล้วทุกคน! ตอนนี้เราไม่ได้สนแค่ว่าบริษัทจะรวยแค่ไหน แต่เราสนด้วยว่า “ความรวยนั้นต้องไม่เบียดเบียนใคร” ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อมหรือสังคมก็ตาม

Double Materiality เลยถือกำเนิดขึ้นมา โดยบอกว่า “เฮ้! มันไม่แฟร์ที่จะมองแค่มุมเดียวนะ” เราต้องมอง 2 มุมเลย! มันคือการอัปเกรดครั้งใหญ่ ที่เพิ่มอีกหนึ่งมิติเข้ามา นั่นคือการมองจาก “ข้างในออกไปข้างนอก” (Inside-Out)

Double Materiality = มุมมองที่ 1 (Outside-In) + มุมมองที่ 2 (Inside-Out)

มุมมองที่ 1: ผลกระทบจากภายนอกสู่องค์กร (Outside-In / Financial Materiality)

อันนี้ก็คือแบบเดิมที่เราคุยกันไปนั่นแหละ เป็นการดูว่าปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) จากโลกภายนอก จะส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของบริษัทได้ยังไงบ้าง

  • ตัวอย่าง (สิ่งแวดล้อม): ภาวะโลกร้อนทำให้น้ำท่วมใหญ่ โรงงานของบริษัทในนิคมอุตสาหกรรมจมน้ำ สินค้าเสียหาย ผลิตต่อไม่ได้ นี่คือความเสี่ยงที่กระทบการเงินเต็มๆ
  • ตัวอย่าง (สังคม): เทรนด์ผู้บริโภคเปลี่ยนไป คนรุ่นใหม่แห่กันไปสนับสนุนแบรนด์รักษ์โลก และบอยคอตแบรนด์ที่ใช้แรงงานทาส ทำให้ยอดขายของบริษัทตกต่ำ
  • ตัวอย่าง (ธรรมาภิบาล): รัฐบาลไทยออกกฎหมายภาษีคาร์บอน บริษัทที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเยอะๆ จะต้องจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น กำไรลดลง

มุมมองที่ 2: ผลกระทบจากองค์กรสู่ภายนอก (Inside-Out / Impact Materiality)

นี่แหละคือส่วนที่เพิ่มเข้ามาและสำคัญมากๆ! เป็นการประเมินว่าการดำเนินธุรกิจของบริษัทเราเนี่ย มันไปสร้างผลกระทบ (ทั้งบวกและลบ) ต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมภายนอกยังไงบ้าง แม้ว่าผลกระทบนั้นจะยังไม่สะท้อนกลับมาเป็นตัวเงินในวันนี้ก็ตาม

  • ตัวอย่าง (สิ่งแวดล้อม): โรงงานผลิตเสื้อผ้าย้อมสี ปล่อยน้ำเสียที่มีสารเคมีลงในแม่น้ำ ทำให้ปลาตาย ชาวบ้านใช้น้ำไม่ได้ นี่คือผลกระทบเชิงลบที่บริษัทสร้างขึ้น
  • ตัวอย่าง (สังคม): บริษัทเทคโนโลยีเปิดศูนย์การเรียนรู้โค้ดดิ้งให้เด็กๆ ในชุมชนฟรี ช่วยสร้างทักษะอาชีพให้คนรุ่นใหม่ นี่คือผลกระทบเชิงบวก
  • ตัวอย่าง (ธรรมาภิบาล): บริษัทมีนโยบายการจ้างงานที่ไม่เป็นธรรม กดขี่แรงงาน จ่ายค่าแรงต่ำกว่ามาตรฐาน นี่คือผลกระทบเชิงลบต่อสังคมและสิทธิมนุษยชน

สรุปง่ายๆ คือ Double Materiality บังคับให้บริษัทต้องเปิดเผยทั้ง 2 ด้าน คือ “โลกทำอะไรกับฉัน” และ “ฉันทำอะไรกับโลก” นั่นเอง

ทำไมต้องปี 2025? ทำไมเรื่องนี้ถึงด่วนจี๋ไปรษณีย์จ๋า?

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ที่คิดกันขึ้นมาเองนะเพื่อนๆ แต่เป็นเทรนด์ใหญ่ระดับโลก โดยมีตัวจุดประกายสำคัญคือ CSRD (Corporate Sustainability Reporting Directive) ของสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งเป็นกฎหมายที่บังคับให้บริษัทขนาดใหญ่ที่ทำธุรกิจใน EU ต้องรายงานข้อมูลความยั่งยืนตามหลัก Double Materiality นี่แหละ

แล้วมันเกี่ยวอะไรกับประเทศไทย? เกี่ยวเต็มๆ เลย! บริษัทใหญ่ๆ ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) หลายแห่งมีการส่งออกสินค้าไปขายที่ยุโรป หรือมีบริษัทลูกอยู่ที่นั่น ดังนั้นก็ต้องปฏิบัติตามกฎนี้ไปด้วย และมันได้สร้างแรงกระเพื่อมให้หน่วยงานกำกับดูแลในไทย เช่น ก.ล.ต. และ SET ต้องยกระดับมาตรฐานการรายงานข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนในไทยให้เทียบเท่าสากล ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเห็นผลชัดเจนและเข้มข้นขึ้นมากๆ ในรายงานประจำปี 2025 เป็นต้นไป

นี่ไม่ใช่แค่การทำรายงานสวยๆ เอาไว้โชว์อีกต่อไป แต่มันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของงบการเงินที่ต้องผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มข้นเหมือนกับตัวเลขกำไรขาดทุนเลยทีเดียว!

ส่องตัวอย่างจริง : Double Materiality ในธุรกิจใกล้ตัว

เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น เรามาลองวิเคราะห์ธุรกิจที่พวกเราคุ้นเคยกันดีกว่า

ธุรกิจ Fast Fashion

  • Impact Materiality (Inside-Out):
    • สิ่งแวดล้อม: การผลิตเสื้อ 1 ตัวใช้น้ำมหาศาล, การปล่อยไมโครพลาสติกจากการซัก, ขยะเสื้อผ้าล้นโลก
    • สังคม: ปัญหาการใช้แรงงานหนัก ค่าแรงต่ำ ในโรงงานประเทศกำลังพัฒนา
  • Financial Materiality (Outside-In):
    • ความเสี่ยง: ผู้บริโภคยุคใหม่บอยคอตแบรนด์ที่ไม่โปร่งใส, กฎหมายใหม่ๆ ที่เข้มงวดเรื่องขยะสิ่งทออาจทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น
    • โอกาส: หากเปลี่ยนมาใช้วัสดุรีไซเคิล อาจสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งและดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ได้

ธุรกิจร้านชานมไข่มุก

  • Impact Materiality (Inside-Out):
    • สิ่งแวดล้อม: ขยะพลาสติกจากแก้ว หลอด ฝา จำนวนมหาศาลในแต่ละวัน
    • สังคม: การส่งเสริมการบริโภคน้ำตาลสูง อาจส่งผลต่อสุขภาพของผู้บริโภคในระยะยาว
  • Financial Materiality (Outside-In):
    • ความเสี่ยง: นโยบายรัฐบาลเก็บค่าถุง/แก้วพลาสติก, เทรนด์ผู้บริโภคใส่ใจสุขภาพมากขึ้นอาจทำให้ยอดขายลดลง
    • โอกาส: การเปลี่ยนไปใช้แก้วที่ย่อยสลายได้ หรือการออกเมนูทางเลือกเพื่อสุขภาพ อาจสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและเพิ่มยอดขาย

AEO & Q&A: ถามมา-ตอบไป สไตล์เด็กหอ

Q1: Double Materiality มันต่างจาก CSR (Corporate Social Responsibility) ที่เคยได้ยินมายังไง?

A: ต่างกันเยอะเลย! CSR มักจะเป็นโครงการหรือกิจกรรมที่บริษัท “เลือกทำ” เพื่อสังคม เช่น ไปปลูกป่า, บริจาคของ ซึ่งบางทีก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักโดยตรง แต่ Double Materiality คือการมองลึกลงไปใน “แก่น” ของธุรกิจเลย ว่ากระบวนการผลิต การดำเนินงานทั้งหมดของบริษัท ส่งผลกระทบอะไรบ้าง มันถูกฝังเข้าไปในกลยุทธ์และการวัดผลของบริษัทเลย ไม่ใช่แค่กิจกรรมเสริมอีกต่อไป

Q2: แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับเราที่เป็นแค่นักเรียน/วัยรุ่น?

A: เกี่ยวสุดๆ! อนาคตเราต้องเลือกที่เรียน ที่ทำงาน หรืออาจจะลงทุนในตลาดหุ้น การเข้าใจ Double Materiality จะทำให้เรา:

  • เป็นผู้บริโภคที่ฉลาดขึ้น: เราจะเลือกสนับสนุนบริษัทที่ใส่ใจโลกจริงๆ ไม่ใช่แค่สร้างภาพ
  • เลือกที่ทำงานในฝันได้ดีขึ้น: เราอยากทำงานกับบริษัทที่มีอนาคตยั่งยืนและมีค่านิยมที่ดีใช่มั้ยล่ะ?
  • เป็นนักลงทุนที่มีวิสัยทัศน์: บริษัทที่จัดการความเสี่ยงด้าน ESG ได้ดี มักจะเป็นบริษัทที่เติบโตได้อย่างมั่นคงในระยะยาว

Q3: มันบังคับใช้กับทุกบริษัทเลยหรือเปล่า?

A: ในช่วงแรกจะเน้นไปที่บริษัทขนาดใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ก่อน แต่เชื่อเถอะว่าอีกไม่นานมันจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ที่บริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่อยู่ใน Supply Chain ของบริษัทใหญ่ๆ ต้องปรับตัวตามไปด้วยแน่นอน

Q4: เราจะไปหาข้อมูลพวกนี้ได้จากที่ไหน?

A: สุดยอดคำถาม! เราสามารถหาอ่านได้จาก “รายงานการพัฒนาอย่างยั่งยืน” (Sustainability Report) หรือ “รายงานประจำปี” (Annual Report) ของบริษัทต่างๆ ซึ่งมักจะเผยแพร่อยู่บนเว็บไซต์ของบริษัทนั้นๆ หรือในเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (www.set.or.th) ลองเข้าไปส่องดูสิ สนุกกว่าที่คิดนะ!

บทสรุป: จากบรรทัดสุดท้ายในงบการเงิน สู่บรรทัดฐานใหม่ของโลก

Double Materiality ไม่ใช่แค่ศัพท์บัญชีใหม่ๆ แต่มันคือการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ (Paradigm Shift) ครั้งสำคัญของโลกธุรกิจ มันกำลังบอกเราว่า “กำไร” และ “ความรับผิดชอบ” ไม่ใช่สิ่งที่แยกจากกันอีกต่อไป แต่เป็นเหรียญสองด้านที่ต้องเดินไปพร้อมกัน

สำหรับพวกเราคนรุ่นใหม่ นี่คือเครื่องมืออันทรงพลังที่จะช่วยให้เรามองทะลุเปลือกนอกของบริษัทต่างๆ เราไม่ได้ตัดสินพวกเขาจากแค่ตัวเลขผลกำไรสวยหรู แต่เราจะตัดสินจากผลกระทบที่พวกเขาสร้างขึ้นต่อโลกใบนี้… โลกที่เป็นบ้านของพวกเราทุกคน

จำไว้ว่า… ในปี 2025 และปีต่อๆ ไป เมื่อเราเห็นงบการเงินของบริษัทไหนก็ตาม อย่าลืมถามคำถามสำคัญ 2 ข้อนี้เสมอ: “บริษัทนี้ทำเงินได้ดีแค่ไหน?” และ “บริษัทนี้ทำดีต่อโลกแค่ไหน?” เพราะคำตอบของทั้งสองคำถามนี้ จะเป็นตัวกำหนดอนาคตของเราอย่างแท้จริง

Most Popular

Categories