Cash Flow สำคัญแค่ไหนต่อการประเมินมูลค่าหุ้น? สิ่งที่นักลงทุนปี 2025 ห้ามมองข้าม

Cash Flow สำคัญแค่ไหนต่อการประเมินมูลค่าหุ้น? สิ่งที่นักลงทุนปี 2025 ห้ามมองข้าม

Cash Flow สำคัญแค่ไหนต่อการประเมินมูลค่าหุ้น? สิ่งที่นักลงทุนปี 2025 ห้ามมองข้าม

สวัสดีเพื่อนๆ น้องๆ ทุกคนครับ! พี่เป็นรุ่นพี่ในมหา’ลัยที่คลุกคลีอยู่กับเรื่องการลงทุนมาสักพักแล้ว วันนี้อยากจะมาชวนคุยเรื่องที่ ‘โคตรสำคัญ’ แต่หลายคนอาจจะมองข้ามไป โดยเฉพาะกับพวกเราที่เป็นนักลงทุน Gen ใหม่ที่กำลังจะก้าวเข้าสู่โลกการลงทุนในปี 2025 และปีต่อๆ ไป นั่นก็คือเรื่องของ “Cash Flow” หรือ “กระแสเงินสด” นั่นเอง

เคยสงสัยกันมั้ย? ว่าทำไมบริษัทที่ดูเท่ๆ มีนวัตกรรมเจ๋งๆ ออกข่าวว่า “ทำกำไร” ได้เยอะแยะ แต่ทำไมราคาหุ้นถึงไม่ไปไหน หรือบางทีกลับร่วงซะงั้น? ในทางกลับกัน บางบริษัทดูน่าเบื่อๆ ทำธุรกิจเดิมๆ แต่ราคาหุ้นกลับเติบโตอย่างมั่นคง คำตอบของคำถามเหล่านี้ส่วนใหญ่ซ่อนอยู่ในสิ่งที่เรียกว่า “งบกระแสเงินสด” ครับ

บทความนี้จะไม่ได้มาสอนสูตรคณิตศาสตร์ยากๆ แต่จะมาไขข้อข้องใจแบบภาษาคนคุยกันให้เคลียร์ไปเลยว่า Cash Flow คืออะไร? ทำไมมันถึงเป็นหัวใจของการประเมินมูลค่าหุ้น และทำไมนักลงทุนยุคใหม่อย่างพวกเราถึงห้ามมองข้ามเด็ดขาด!

Part 1: Back to Basics – Cash Flow ไม่ใช่ “กำไร” นะวัยรุ่น!

ก่อนอื่นเลยต้องขอย้ำตัวโตๆ ว่า Cash Flow ≠ กำไร (Profit) สองอย่างนี้คนละเรื่องกันเลย เพื่อให้เห็นภาพง่ายที่สุด ลองนึกภาพตามนะ…

ตัวอย่างร้านน้ำมะนาวของพวกเรา

สมมติว่าเราเปิดร้านขายน้ำมะนาวหน้าบ้าน

  • วันนี้เราขายน้ำมะนาวได้ 10 แก้ว แก้วละ 20 บาท เท่ากับเรามี รายได้ (Revenue) 200 บาท
  • ต้นทุนค่ามะนาว น้ำตาล แก้ว รวมทั้งหมด 80 บาท
  • ดังนั้น วันนี้เรามี กำไร (Profit) ทางบัญชีคือ 200 – 80 = 120 บาท

ดูดีใช่มั้ย? กำไรตั้ง 120 บาท! แต่… ถ้าวันนี้เพื่อนสนิทเรามาซื้อไป 5 แก้ว (100 บาท) แล้วบอกว่า “เห้ยเพื่อน เดี๋ยวสิ้นเดือนโอนให้นะ”

สถานการณ์จริงจะเป็นแบบนี้ครับ:

  • กำไรทางบัญชี: ยังคงเป็น 120 บาทเหมือนเดิม (เพราะตามหลักบัญชีถือว่าการขายเกิดขึ้นแล้ว)
  • แต่! เงินสดในมือ (Cash Flow) จริงๆ: เราได้เงินสดมาแค่ 100 บาท จากลูกค้าคนอื่น แต่ต้องจ่ายค่ามะนาวไปแล้ว 80 บาท ดังนั้น เงินสดสุทธิที่เพิ่มขึ้นในกระเป๋าเราจริงๆ คือ 100 – 80 = แค่ 20 บาท!

เห็นความต่างหรือยัง? บริษัทมี “กำไร” บนกระดาษได้ แต่ถ้าเก็บเงินสดจากลูกค้าไม่ได้ หรือมีรายจ่ายเงินสดออกไปเยอะ สุดท้ายก็อาจไม่มีเงินสดมาหมุนเวียน จ่ายเงินเดือนพนักงาน หรือลงทุนต่อได้ เหมือนร้านน้ำมะนาวของเราที่ถึงแม้จะมีกำไร แต่ถ้าพรุ่งนี้ไม่มีเงินสดไปซื้อมะนาวมาขายต่อ…ก็จบเห่!

กระแสเงินสด 3 ประเภทที่ต้องรู้จัก

ในโลกของบริษัทใหญ่ๆ เขาจะแบ่ง Cash Flow ออกเป็น 3 กิจกรรมหลักๆ เพื่อให้เราเข้าใจว่าเงินสดเข้า-ออกจากทางไหนบ้าง

  1. กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน (Cash Flow from Operating Activities – CFO): นี่คือหัวใจ! เป็นเงินสดที่มาจากการทำธุรกิจหลักของบริษัทจริงๆ เช่น การขายสินค้า การให้บริการ ถ้าเป็นร้านน้ำมะนาวก็คือเงินจากการขายน้ำมะนาวนั่นแหละ CFO ควรจะต้องเป็นบวกเสมอ เพราะมันหมายความว่าธุรกิจหลักสามารถสร้างเงินสดได้
  2. กระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุน (Cash Flow from Investing Activities – CFI): คือเงินสดที่ใช้ไปกับการลงทุนเพื่อการเติบโตในอนาคต เช่น ซื้อที่ดิน สร้างโรงงาน ซื้อเครื่องจักรใหม่ๆ หรือเอาเงินไปลงทุนในบริษัทอื่น ส่วนใหญ่มักจะ “ติดลบ” ซึ่งเป็นเรื่องดีสำหรับบริษัทที่กำลังเติบโต เพราะหมายถึงเขากำลังขยายกิจการ! แต่ถ้าเป็นบวกเยอะๆ อาจแปลว่าบริษัทกำลังขายสินทรัพย์ทิ้งเพื่อเอาเงินสดมาหมุน ซึ่งอาจเป็นสัญญาณอันตราย
  3. กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน (Cash Flow from Financing Activities – CFF): คือเงินสดที่ได้มาหรือจ่ายออกไปจากการหาแหล่งเงินทุน เช่น กู้เงินจากธนาคาร, ออกหุ้นเพิ่มทุน (เงินเข้า), หรือจ่ายคืนเงินกู้, จ่ายเงินปันผลให้นักลงทุน (เงินออก)

จำง่ายๆ คือ CFO คือเงินจากธุรกิจหลัก, CFI คือเงินที่ใช้ลงทุน, CFF คือเงินจากการกู้หรือเพิ่มทุน

Part 2: ทำไม Cash Flow ถึง ‘โคตรสำคัญ’ ต่อการประเมินมูลค่าหุ้น?

โอเค ตอนนี้เรารู้แล้วว่า Cash Flow คืออะไร แต่แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการประเมินว่าหุ้นตัวนี้ “ถูก” หรือ “แพง” ล่ะ?

คำตอบคือ… มูลค่าที่แท้จริงของบริษัท ไม่ได้มาจากกำไรในอดีต แต่มาจากความสามารถในการสร้าง “กระแสเงินสดอิสระ” (Free Cash Flow) ในอนาคต!

รู้จักกับ DCF: วิธีประเมินมูลค่าที่โปรฯ เขาใช้กัน

หนึ่งในวิธีประเมินมูลค่าหุ้นที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลกคือ Discounted Cash Flow (DCF) ชื่ออาจจะดูน่ากลัว แต่หลักการมันง่ายมากครับ มันคือการ “คาดการณ์กระแสเงินสดในอนาคตที่บริษัทจะทำได้ทั้งหมด แล้วคิดกลับมาเป็นมูลค่า ณ ปัจจุบัน”

ลองนึกภาพง่ายๆ ว่าถ้าเรารู้ว่าร้านน้ำมะนาวของเราจะสร้างเงินสดส่วนเกิน (หลังจากหักค่าใช้จ่ายทุกอย่าง) ได้ปีละ 10,000 บาท ไปอีก 10 ปีข้างหน้า เราก็จะพอประเมินได้ว่าร้านนี้ควรจะมีมูลค่าเท่าไหร่ในวันนี้ใช่มั้ยครับ? DCF ก็คือการทำแบบนั้นแหละ แต่กับบริษัทขนาดใหญ่และซับซ้อนกว่า

ประเด็นคือ โมเดลนี้ใช้ “Cash Flow” เป็นตัวตั้งต้น ไม่ใช่ “กำไร”

เงินสดไม่เคยโกหก (Cash Never Lies)

ทำไมถึงเป็นแบบนั้น? เพราะตัวเลข “กำไร” ในงบกำไรขาดทุน สามารถ “ตกแต่ง” ได้ค่อนข้างง่ายผ่านวิธีการทางบัญชีต่างๆ เช่น การรับรู้รายได้, การตัดค่าเสื่อมราคา แต่ “เงินสด” ในบัญชีธนาคารมันโกหกไม่ได้! เงินเข้าคือเข้า เงินออกคือออก มันคือความจริงที่จับต้องได้มากกว่า

ดังนั้น บริษัทที่มีกำไรสูงๆ แต่ CFO ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน หรือติดลบตลอดเวลา อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าบริษัทอาจจะกำลังมีปัญหาในการเก็บเงินจากลูกค้า หรือมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลในงบการเงินก็ได้

Part 3: ส่องงบกระแสเงินสด: นักลงทุนปี 2025 ต้องดูอะไรบ้าง?

ถึงเวลาเอาความรู้มาใช้จริง! เวลาเราเปิดดู “งบกระแสเงินสด” (หาได้จากเว็บ SET หรือแอป/เว็บวิเคราะห์หุ้นต่างๆ) ของบริษัทที่เราสนใจ ให้มองหาประเด็นเหล่านี้เป็นหลักครับ

1. CFO ต้องเป็นบวกและเติบโตอย่างสม่ำเสมอ

นี่คือเช็คลิสต์ข้อแรกและสำคัญที่สุด! มันบอกเราว่าธุรกิจหลักของบริษัทแข็งแกร่ง สามารถสร้างเงินสดเลี้ยงตัวเองได้โดยไม่ต้องไปกู้เงินหรือเพิ่มทุนมาโปะตลอดเวลา ถ้า CFO เป็นบวกและโตขึ้นเรื่อยๆ ทุกปีนี่ยิ่งสวยเลย

2. Free Cash Flow (FCF) คือพระเอกตัวจริง

Free Cash Flow (FCF) หรือ กระแสเงินสดอิสระ คือเงินสดที่เหลือจริงๆ หลังจากที่บริษัทเอาเงินจาก CFO ไปจ่ายค่าลงทุนที่จำเป็นเพื่อรักษากิจการแล้ว (เรียกว่า Capital Expenditures หรือ CapEx)

สูตรง่ายๆ: FCF = CFO – CapEx

FCF นี่แหละคือเงินสด “อิสระ” ของจริงที่บริษัทจะเอาไปทำอะไรก็ได้ เช่น:

  • จ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นอย่างเราๆ
  • ซื้อหุ้นคืน (ทำให้หุ้นที่เหลือมีมูลค่าสูงขึ้น)
  • จ่ายคืนหนี้สิน ลดความเสี่ยง
  • เก็บไว้เป็นเงินสดสำรอง เผื่อวิกฤต
  • นำไปลงทุนในโปรเจกต์ใหม่ๆ หรือซื้อกิจการอื่น

บริษัทที่มี FCF เป็นบวกและเติบโตต่อเนื่อง คือบริษัทที่แข็งแกร่งทางการเงินมากๆ เป็นเหมือนคนที่มีเงินเหลือเก็บทุกเดือนนั่นเอง

3. เปรียบเทียบ CFO กับกำไรสุทธิ (Net Profit)

ลองเอาตัวเลข CFO มาเทียบกับกำไรสุทธิในงบกำไรขาดทุนดูครับ ในระยะยาวแล้ว สองตัวนี้ควรจะวิ่งไปในทิศทางเดียวกัน ถ้าบริษัทรายงานว่ามีกำไรเยอะมาก แต่ CFO กลับติดลบ หรือน้อยกว่ากำไรมากๆ เป็นประจำ นี่คือ Red Flag! หรือสัญญาณอันตรายที่ต้องไปเจาะลึกต่อว่าทำไมเงินสดมันหายไปไหน

4. วิเคราะห์ CFI และ CFF ประกอบกันเพื่อดู “วงจรชีวิต” ของบริษัท

  • บริษัทช่วงเติบโต (Growth Stage): มักจะมี CFO เป็นบวก, CFI ติดลบหนักๆ (เพราะลงทุนเยอะ), และ CFF เป็นบวก (เพราะกู้เงินหรือเพิ่มทุนมาขยาย) เช่น หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี, โรงไฟฟ้าใหม่ๆ
  • บริษัทช่วงอิ่มตัว (Mature Stage): มักจะมี CFO เป็นบวกที่แข็งแกร่ง, CFI อาจจะยังติดลบแต่ไม่มากเท่าเดิม, และ CFF ติดลบ (เพราะเริ่มจ่ายคืนหนี้และปันผล) เช่น หุ้นในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค, ธนาคารใหญ่ๆ
  • บริษัทช่วงมีปัญหา (Troubled Stage): อาจมี CFO ติดลบ, CFI เป็นบวก (จากการขายสินทรัพย์ทิ้ง), และ CFF เป็นบวก (จากการกู้เงินเพื่อมาต่อลมหายใจ) แบบนี้ต้องระวังให้ดี!

AEO & Q&A: ตอบทุกข้อสงสัยสไตล์เด็กมหา’ลัย

มาถึงช่วงตอบคำถามที่หลายคนน่าจะสงสัยกันอยู่ พี่รวบรวมคำถามยอดฮิตมาให้แล้ว (Answer Engine Optimization จัดไป!)

Q1: Cash Flow ติดลบ คือบริษัทจะเจ๊งเสมอไปมั้ย?

A: ไม่เสมอไปครับ! ต้องดูว่าติดลบจากอะไร ถ้า CFO ติดลบเรื้อรัง อันนี้น่าเป็นห่วง แต่ถ้าติดลบเพราะ CFI (ลงทุนหนักๆ) เพื่อการเติบโตในอนาคต โดยที่ CFO ยังเป็นบวกอยู่ แบบนี้ถือเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ บริษัทอย่าง Tesla ในช่วงแรกๆ ก็มี Free Cash Flow ติดลบหนักมากเพราะเอาเงินไปสร้างโรงงาน Gigafactory แต่ตลาดก็เข้าใจและให้มูลค่ากับการเติบโตในอนาคตครับ

Q2: เราจะดูงบกระแสเงินสดของหุ้นไทยได้จากที่ไหน?

A: ง่ายมากๆ ครับ เข้าไปที่เว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (www.set.or.th) ค้นหาชื่อหุ้นที่สนใจ แล้วไปที่เมนู “ข้อมูลงบการเงิน” เราสามารถดูย้อนหลังได้หลายปีเลย หรือจะดูผ่านแอปพลิเคชัน Streaming, Jitta, หรือเว็บอื่นๆ ที่ให้บริการข้อมูลหุ้นก็ได้เหมือนกันครับ แนะนำให้ดูในส่วนของ “สรุปข้อสนเทศบริษัทจดทะเบียน” หรือที่เรียกว่า 56-1 One Report จะมีคำอธิบายงบแบบละเอียดจากผู้บริหารด้วย

Q3: แล้วพวกค่า P/E, P/BV ที่เคยเรียนมา ยังสำคัญอยู่มั้ย?

A: ยังสำคัญอยู่ครับ! แต่มันเป็นแค่ส่วนหนึ่งของจิ๊กซอว์ P/E (Price-to-Earnings) บอกความถูกแพงเมื่อเทียบกับ “กำไร” ส่วน P/BV (Price-to-Book Value) บอกความถูกแพงเมื่อเทียบกับ “มูลค่าทางบัญชี” การดู Cash Flow เหมือนเป็นการเช็คคุณภาพของกำไรและสินทรัพย์นั้นๆ อีกที การใช้หลายๆ เครื่องมือประกอบกันจะทำให้เราเห็นภาพรวมของบริษัทได้ดีที่สุดครับ อย่าใช้อัตราส่วนเดียวในการตัดสินใจเด็ดขาด

Q4: พอจะยกตัวอย่างหุ้นไทยที่มี Cash Flow แข็งแกร่งได้มั้ย?

A: เพื่อให้เห็นภาพ (ไม่ได้เป็นการชี้นำการลงทุนนะ!) หุ้นในกลุ่มที่มักจะมีกระแสเงินสดสม่ำเสมอก็มักจะเป็นธุรกิจที่เก็บเงินสดได้ทันที หรือเป็นธุรกิจที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน เช่น กลุ่มค้าปลีก (อย่าง CPALL ที่เราเข้าร้าน 7-Eleven จ่ายเงินสดตลอด), กลุ่มโรงพยาบาล (BCH, BDMS), หรือกลุ่มโรงไฟฟ้า (BGRIM, GULF) ที่มีสัญญาระยะยาว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทุกบริษัทก็มีปัจจัยเสี่ยงของตัวเองเสมอครับ

ข้อควรระวัง: การยกตัวอย่างชื่อหุ้นในบทความเป็นไปเพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำในการลงทุน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและตัดสินใจด้วยตนเองทุกครั้ง (Do Your Own Research!)

บทสรุป: ทำไมนักลงทุนปี 2025 ต้องโฟกัสที่ Cash Flow?

โลกการลงทุนในอนาคตจะยิ่งซับซ้อนและผันผวนมากขึ้น ทั้งจากเทคโนโลยีดิสรัปชัน, การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก, และความไม่แน่นอนต่างๆ บริษัทที่จะอยู่รอดและเติบโตได้อย่างยั่งยืนไม่ใช่แค่บริษัทที่ “ทำกำไร” ได้เก่ง แต่ต้องเป็นบริษัทที่ “บริหารเงินสด” ได้อย่างยอดเยี่ยม

การเข้าใจเรื่อง Cash Flow จะเป็นเหมือน “เกราะป้องกัน” และ “เข็มทิศ” ให้กับพวกเรานักลงทุนรุ่นใหม่ มันช่วยให้เรามองทะลุตัวเลขกำไรสวยหรูไปเห็นสุขภาพทางการเงินที่แท้จริงของบริษัท ช่วยให้เราหลีกเลี่ยงหุ้นที่มีความเสี่ยงซ่อนอยู่ และที่สำคัญที่สุดคือช่วยให้เราค้นพบ “เพชรในตม” หรือบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งอย่างแท้จริง

จำไว้เสมอครับว่า… “Profit is an opinion, but cash is a fact.” (กำไรเป็นเพียงความเห็น แต่เงินสดคือข้อเท็จจริง)

ลองเริ่มจากวันนี้เลยครับ ลองเลือกหุ้นที่เราชอบหรือบริษัทที่เราใช้บริการบ่อยๆ แล้วเปิดงบกระแสเงินสดของเขาดู ไม่ต้องเข้าใจทุกอย่างในวันแรก แต่การเริ่มต้นทำความคุ้นเคยกับมัน คือก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จในระยะยาวครับ!

“`

Most Popular

Categories