ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สัญญาณความเสี่ยงทางการเงิน

ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น: สัญญาณอันตรายที่วัยรุ่นอย่างเราต้องรู้!

ฮัลโหลเพื่อน ๆ! เคยสงสัยกันมั้ยว่าทำไมบางบริษัทที่ดูเหมือนจะขายดี แต่จู่ ๆ ก็ประกาศข่าวร้าย ขาดทุนยับ หรือบางทีก็ปิดตัวไปเลย? หนึ่งใน “สัญญาณเงียบ” ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเรื่องพวกนี้ ก็คือตัวเลขที่ชื่อว่า “ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร” (SG&A) ที่มันเพิ่มขึ้นไม่หยุดนี่แหละ! วันนี้ในฐานะรุ่นพี่มหาลัยที่กำลังอินกับเรื่องบัญชี จะมาเล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่าย ๆ จับต้องได้ ว่าไอ้เจ้า SG&A นี่มันคืออะไร แล้วทำไมเราถึงควรให้ความสำคัญกับมัน ไม่ว่าจะฝันอยากเป็นนักลงทุน หรือแค่อยากเข้าใจโลกธุรกิจให้มากขึ้นก็ตาม!

ก่อนอื่น… “ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร” หรือ SG&A คืออะไรกันแน่?

โอเค… ชื่อมันอาจจะดูทางการไปนิด แต่จริง ๆ แล้วมันใกล้ตัวเรากว่าที่คิดนะ นึกภาพตามนะ ถ้าเราเปิดร้านขายเสื้อผ้าออนไลน์สักร้าน…

รายได้ของเราก็คือเงินที่ได้จากการขายเสื้อผ้าใช่มั้ย? ส่วน “ต้นทุนสินค้า” (Cost of Goods Sold – COGS) ก็คือค่าเสื้อที่เราไปรับมาขายโดยตรง แต่แค่นั้นมันยังไม่พอที่จะทำให้ร้านเราปังได้จริงปะ? เรายังต้องมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกเพียบ ซึ่งค่าใช้จ่าย “อื่น” นี่แหละ ที่เราเรียกรวม ๆ ว่า SG&A (Selling, General & Administrative Expenses)

เรามาแบ่งมันออกเป็น 2 ส่วนเพื่อง่ายต่อการเข้าใจกันดีกว่า:

  • S – Selling Expenses (ค่าใช้จ่ายในการขาย): คือทุกอย่างที่ทำเพื่อให้เรา “ขายของได้” ว่ากันง่าย ๆ คือค่าใช้จ่ายที่ทำให้ลูกค้าเห็นเรา รู้จักเรา และตัดสินใจควักเงินซื้อของจากเรา!
    • ค่ายิงแอดใน TikTok, Instagram, Facebook
    • ค่าจ้าง Influencer รีวิวสินค้า
    • เงินเดือนพี่ ๆ ทีมการตลาด, ทีมเซลล์
    • ค่าคอมมิชชั่นเวลาขายของได้
    • ค่าแพ็กของสวย ๆ ค่ากล่อง ค่ากันกระแทก
    • ค่าจัดส่งสินค้าให้ลูกค้า
  • G&A – General & Administrative Expenses (ค่าใช้จ่ายในการบริหารทั่วไป): คือค่าใช้จ่าย “หลังบ้าน” ที่จำเป็นเพื่อให้บริษัทดำเนินต่อไปได้ ถึงแม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายโดยตรง แต่ถ้าไม่มี…บริษัทก็เจ๊งอยู่ดี
    • เงินเดือนผู้บริหาร, พี่ ๆ ฝ่ายบัญชี, ฝ่ายบุคคล (HR)
    • ค่าเช่าออฟฟิศ, ค่าไฟ, ค่าน้ำ, ค่าอินเทอร์เน็ต
    • ค่าซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ที่ใช้ในออฟฟิศ
    • ค่าอุปกรณ์สำนักงาน เช่น คอมพิวเตอร์ ปริ้นเตอร์
    • ค่าที่ปรึกษาทางกฎหมาย, ค่าทำบัญชี

สรุปง่ายๆ: COGS คือต้นทุนของ “ตัวสินค้า” ส่วน SG&A คือต้นทุนในการ “ดำเนินธุรกิจ” เพื่อขายสินค้านั้นๆ

ทำไม SG&A ที่เพิ่มขึ้น “ต่อเนื่อง” ถึงเป็นสัญญาณอันตราย?

เอาล่ะ มาถึงหัวใจของเรื่องนี้กันแล้ว ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ว่าบริษัทมี SG&A เยอะหรือน้อย แต่อยู่ที่ “แนวโน้ม” และ “สัดส่วน” ของมันต่างหาก ถ้าเราเห็นว่าค่าใช้จ่ายส่วนนี้มันพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…ถ้ามันโตเร็วกว่ายอดขายล่ะก็… นี่แหละคือ Red Flag! 🚩

นึกภาพเหมือนเรากำลังเติมน้ำลงในถังที่มีรูรั่ว…

  • น้ำที่เติมเข้ามา = ยอดขาย (Revenue)
  • น้ำที่อยู่ในถัง = กำไร (Profit)
  • รูรั่วในถัง = ค่าใช้จ่าย SG&A

ถ้าเราเพิ่มยอดขายได้ (เติมน้ำเร็วขึ้น) แต่ในขณะเดียวกัน รูรั่ว (SG&A) มันก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และใหญ่เร็วกว่าน้ำที่เติมเข้ามา สุดท้าย…น้ำในถังก็จะลดลงเรื่อย ๆ จนหมด! บริษัทก็ขาดทุนนั่นเอง

นี่คือความเสี่ยงทางการเงินที่น่ากลัวที่ซ่อนอยู่:

  1. กำไรหดตัว (Profit Margin Erosion): ต่อให้ขายของได้มากขึ้น แต่ถ้าค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารพุ่งแซงหน้าไปแล้ว กำไรต่อชิ้น หรือกำไรโดยรวมของบริษัทก็จะน้อยลงเรื่อยๆ ทำธุรกิจเหนื่อยฟรีชัด ๆ!
  2. สภาพคล่องทางการเงินตึงตัว (Cash Flow Problems): ค่าใช้จ่ายพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นเงินสดที่ต้องจ่ายออกไปทุกเดือน (เงินเดือน, ค่าเช่า, ค่าแอด) ถ้าบริษัทมีรายจ่ายส่วนนี้บวมขึ้นๆ แต่เก็บเงินจากลูกค้าได้ไม่ทัน ก็อาจจะช็อตได้ง่าย ๆ ไม่มีเงินสดหมุนเวียนไปจ่ายหนี้สินหรือลงทุนต่อ
  3. สัญญาณของการบริหารที่ไม่มีประสิทธิภาพ (Inefficient Management): การที่ SG&A สูงขึ้นเรื่อย ๆ อาจสะท้อนว่าผู้บริหารควบคุมต้นทุนได้ไม่ดีพอ อาจมีการใช้เงินไปกับการตลาดที่ไม่คุ้มค่า มีพนักงานมากเกินความจำเป็น หรือมีกระบวนการทำงานภายในที่ซ้ำซ้อน สิ้นเปลือง
  4. ความสามารถในการแข่งขันลดลง (Reduced Competitiveness): เมื่อต้นทุนสูง กำไรก็น้อยลง ทำให้บริษัทไม่มีเงินเหลือไปลงทุนในเรื่องสำคัญ ๆ เช่น การวิจัยและพัฒนาสินค้าใหม่ๆ (R&D) หรือการทำโปรโมชั่นลดราคาเพื่อสู้กับคู่แข่ง สุดท้ายก็จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
  5. นักลงทุนเมินหน้าหนี (Investor Skepticism): สำหรับบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ นักลงทุนเก่ง ๆ เขาส่องดูงบการเงินกันตลอด ถ้าเขาเห็นว่าบริษัทควบคุมค่าใช้จ่ายไม่ได้ กำไรมีแนวโน้มลดลง เขาก็จะขาดความเชื่อมั่นและอาจจะเทขายหุ้นทิ้ง ทำให้ราคาหุ้นตกได้

Case Study สมมติ: ร้านชานมไข่มุก “Bubble Up” vs “Mellow Tea”

ทั้งสองร้านเปิดใหม่และกำลังฮิตเหมือนกัน ยอดขายโตเดือนละ 20% เท่ากันเลย แต่…

  • ร้าน Bubble Up: ทุ่มงบการตลาดหนักมาก จ้างดาราดังทุกคน จัดอีเวนต์ทุกสัปดาห์ ตกแต่งร้านใหม่ทุกเดือน ทำให้ค่า SG&A โตเดือนละ 30% ซึ่งเร็วกว่ายอดขาย! ผ่านไป 6 เดือน แม้ยอดขายจะเยอะ แต่กลับเริ่มขาดทุน เพราะค่าใช้จ่ายมันกินกำไรไปหมด
  • ร้าน Mellow Tea: เลือกใช้การตลาดแบบปากต่อปาก ทำโปรโมชั่นผ่านโซเชียลมีเดียของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ และควบคุมค่าใช้จ่ายหลังบ้านได้ดี ทำให้ค่า SG&A โตแค่เดือนละ 10% เท่านั้น ผ่านไป 6 เดือน ร้านนี้มีกำไรสะสม และมีเงินเหลือไปเปิดสาขาใหม่ได้

เห็นมั้ยครับว่า ยอดขายที่ดูดี อาจซ่อนปัญหาการเงินร้ายแรงไว้เบื้องหลังก็ได้

แล้วเราจะดูตัวเลขพวกนี้ได้จากที่ไหน? (ภาคปฏิบัติสำหรับมือใหม่)

ไม่ต้องกลัวว่าจะซับซ้อน! ถ้าเป็นบริษัทที่อยู่ในตลาดหุ้นไทย (SET) เราสามารถเข้าไปส่องดูข้อมูลพวกนี้ได้ฟรีๆ เลยที่เว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (www.set.or.th)

  1. เข้าไปที่เว็บ SET แล้วค้นหาชื่อหุ้นของบริษัทที่เราสนใจ (เช่น PTT, AOT, CPALL)
  2. มองหาเมนู “ข้อมูลงบการเงิน/ผลประกอบการ”
  3. เลือกดูที่ “งบกำไรขาดทุน” (Income Statement)
  4. หาบรรทัดที่เขียนว่า “ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร” แล้วดูตัวเลขย้อนหลังไปหลายๆ ปี เพื่อดูแนวโน้มของมัน

Pro Tip: อย่าดูแค่ตัวเลขเดี่ยวๆ! สิ่งที่นักวิเคราะห์ชอบดูกันคือ “สัดส่วน SG&A ต่อยอดขาย” (SG&A to Sales Ratio) คำนวณง่ายๆ โดยเอา (ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร / รายได้รวม) * 100

สัดส่วนนี้จะบอกเราว่า “ทุกๆ 100 บาทที่บริษัทขายของได้ มีกี่บาทที่ต้องเสียไปกับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร” ถ้าสัดส่วนนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี ก็เป็นสัญญาณที่ไม่ดีเท่าไหร่แล้วล่ะ

AEO & Q&A Corner: ถามมา-ตอบให้ เคลียร์ทุกประเด็น!

รวบรวมคำถามที่หลายคนน่าจะสงสัย มาตอบให้หายคาใจกันตรงนี้เลย! (นี่คือส่วนที่เรียกว่า Answer Engine Optimization ช่วยให้คนหาคำตอบเจอเราง่ายขึ้นใน Google ไงล่ะ!)

Q1: SG&A ที่เพิ่มขึ้น “แย่” เสมอไปเลยเหรอ?

A: ไม่เสมอไป! เราต้องดู “เหตุผล” ที่มันเพิ่มขึ้นด้วย บางครั้งมันเป็นการเพิ่มขึ้นที่สมเหตุสมผล เช่น

  • ช่วงลงทุนเพื่อเติบโต (Growth Phase): บริษัทอาจจะกำลังขยายสาขาใหม่ ๆ หรือเปิดตัวสินค้าใหม่ เลยต้องทุ่มงบการตลาดหนัก ๆ ในช่วงแรก ซึ่งถ้าทำแล้วยอดขายโตกระโดดในอนาคต ก็ถือว่าคุ้มค่า
  • การลงทุนในเทคโนโลยี: บริษัทอาจจะลงทุนซื้อซอฟต์แวร์ใหม่ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในระยะยาว แม้จะเป็นค่าใช้จ่ายสูงในตอนแรก แต่ต่อไปอาจช่วยลดต้นทุนอื่น ๆ ได้

คีย์เวิร์ดสำคัญคือ “การลงทุนอย่างมีกลยุทธ์” ไม่ใช่ “การใช้จ่ายอย่างสิ้นเปลือง”

Q2: แล้วค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ต่างจาก ต้นทุนขาย (COGS) ยังไง?

A: คำถามดีมาก! เป็นจุดที่คนสับสนบ่อยสุด

  • COGS (Cost of Goods Sold – ต้นทุนขาย): คือต้นทุนที่ “ติดไปกับตัวสินค้าโดยตรง” ถ้าไม่ผลิต หรือไม่ซื้อของมาขาย ก็จะไม่มีต้นทุนนี้ เช่น ค่าวัตถุดิบทำขนม, ค่าเสื้อผ้าที่รับมาขาย
  • SG&A: คือต้นทุนในการ “ดำเนินธุรกิจ” ไม่ว่าจะขายของได้หรือไม่ ก็ยังต้องจ่าย เช่น เงินเดือนพนักงานออฟฟิศ, ค่าเช่าร้าน ยังไงก็ต้องจ่ายทุกเดือน

Q3: เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับชีวิตวัยรุ่นอย่างเรา?

A: เกี่ยวเต็มๆ เลย!

  1. ถ้าเราอยากลงทุน: การเข้าใจเรื่องนี้ทำให้เราเลือกหุ้นหรือบริษัทที่จะลงทุนได้ดีขึ้น ไม่โดนหลอกแค่ตัวเลขยอดขายสวยๆ
  2. ถ้าเราอยากทำธุรกิจ: นี่คือบทเรียนสำคัญในการบริหารเงินเลยล่ะ เราจะรู้ว่าต้องควบคุมค่าใช้จ่ายส่วนไหนบ้าง ไม่ให้ร้านเราเจ๊งก่อนจะรวย!
  3. ถ้าเราจะไปสมัครงาน: การรู้ว่าบริษัทที่เราจะไปทำงานด้วยมีสถานะทางการเงินเป็นยังไง มั่นคงแค่ไหน ก็เป็นเรื่องที่ดีใช่มั้ยล่ะ?

Q4: แล้วสัดส่วน SG&A ต่อยอดขายที่เหมาะสมควรเป็นเท่าไหร่?

A: ไม่มีคำตอบตายตัว! มันขึ้นอยู่กับ “ประเภทของอุตสาหกรรม” ด้วย เช่น

  • บริษัทซอฟต์แวร์/เทคโนโลยี: อาจจะมี SG&A สูง เพราะต้องทุ่มเงินให้ทีมเซลล์เก่งๆ และทำการตลาดหนักมาก แต่ COGS จะต่ำ (เพราะผลิตซอฟต์แวร์ซ้ำได้เรื่อย ๆ)
  • ร้านค้าปลีก/ซูเปอร์มาร์เก็ต: อาจจะมี SG&A ไม่สูงมาก แต่ COGS จะสูงปรี๊ด เพราะต้นทุนส่วนใหญ่คือค่าสินค้าที่รับมาวางขาย

วิธีที่ดีที่สุดคือการเปรียบเทียบสัดส่วน SG&A ของบริษัทที่เราสนใจ กับ “คู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน”

บทสรุปส่งท้าย: มองให้ลึกกว่ายอดขาย แล้วเราจะเห็นความจริง

โลกของธุรกิจมันซับซ้อนกว่าที่เราเห็นผ่านโฆษณาสวยๆ หรือยอดขายที่ประกาศออกมา การที่ “ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร” หรือ SG&A เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ก็เหมือนเสียงกระซิบเตือนเบาๆ ว่าบริษัทอาจกำลังมี “รูรั่ว” ที่มองไม่เห็น

ในฐานะคนรุ่นใหม่ การฝึกมองตัวเลขเหล่านี้ให้ออก ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นทักษะการเงิน (Financial Literacy) ที่โคตรสำคัญ มันช่วยให้เราตัดสินใจเรื่องต่างๆ ได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการลงทุน การทำธุรกิจ หรือแม้แต่การเลือกที่ทำงานในอนาคต ลองเริ่มจากบริษัทใกล้ ๆ ตัวที่เราชอบใช้สินค้าหรือบริการของเขา แล้วไปลองส่องงบการเงินดู… รับรองว่าจะได้เห็นอะไรสนุก ๆ อีกเยอะเลย!

Most Popular

Categories